ความคิดในหัวของเฉินผิงอันตีกันอยู่พักหนึ่งถึงได้บอกให้ชุยตงซานและจิตหยางกายนอกกายที่สือโหรวสิงสู่เข้ามาในห้อง
ชุยตงซานยังคงใช้กระบี่บินสีทองเล่มนั้นวาดวงกลมวงใหญ่ เฉินผิงอันอดไม่ไหวสอบถามว่านี่คือวิชาอภินิหารอะไร ชุยตงซานยิ้มบอกว่าเป็นวิธีการของเทพบรรพกาล วาดพื้นให้เป็นกรงขัง สามารถนำมาเป็นได้ทั้งสถานที่ปกป้องคุ้มครองคน แล้วก็สามารถกักขังผู้คน เข้าไปไม่ได้ ออกมาไม่ได้ ดังนั้นจึงมีคำเรียกว่า ‘บ่อสายฟ้า’ คนรุ่นหลังนำวิชาตระกูลเซียนนี้มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนแตกกิ่งก้านออกไปอีกหลายสิบชนิด ส่วนใหญ่ล้วนเบี่ยงออกจากทางสายตรง ไม่มีค่าพอให้พูดถึง
พอนั่งลงแล้วพูดถึงสือโหรว ชุยตงซานก็หน้าบานเป็นกระด้ง ชื่นชมฐานกระดูกของสือโหรวคำรบใหญ่ บอกว่าเรื่องของการเปิดภูเขานี้ นอกจากต้องผลาญเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปสองถุงแล้ว ทุกอย่างล้วนราบรื่นไปหมด สือโหรวที่เป็นวิญญาณหยินถึงกับสามารถใช้ความเด็ดเดี่ยว ใช้โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่มาเปลี่ยนร่างทองแก้วใสที่ดึงออกมาจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานให้กลายเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่ฝากวิญญาณพักพิงเอาไว้ ตอนนี้ระหว่างเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของตู้เม่ากับจิตวิญญาณของสือโหรว แม้ว่ายังมีบางส่วนที่ขัดแย้งผลักไสกัน แต่หลังจากนี้ก็แค่ต้องใช้เวลาและเงินทองเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว
ชุยตงซานบอกข่าวดีใหญ่เทียมฟ้านี้แล้วก็เริ่มพูดถึงข้อบกพร่อง “เมื่อเปิดประตู เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน ก็เป็นแค่ด่านแรกเท่านั้น ในเรื่องฐานกระดูก สือโหรวนับว่าได้รับการดูแลจากสวรรค์เป็นพิเศษ หากก่อนหน้านี้มีคนที่มองของดีออก อีกทั้งยังยอมทุ่มเงิน จะช่วยวางแผนให้นางกลายเป็นองค์เทพของห้าขุนนางอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปก็ยังไม่มีปัญหา เพราะว่ารากฐานดี นางถึงได้สามารถช่วงชิงความได้เปรียบใหญ่ขนาดนี้มาได้ เพียงแต่ว่าฐานกระดูกของนางดีไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์จะเลิศล้ำไปด้วย ในความเป็นจริงแล้วสือโหรวเป็นวิญญาณเร่ร่อนมีชีวิตมาหลายร้อยปีก็ยังไม่สามารถฝึกตนจนเป็นรูปเป็นร่างอะไร ไม่ได้กลายเป็นพวกราชาแห่งผีอะไรนั่น นอกจากที่เจ้านายคนเก่าพึ่งพาไม่ได้แล้ว ยังเป็นเพราะพรสวรรค์ของสือโหรวเองไม่ถือว่าโดดเด่นนัก ดังนั้นคอขวดของสือโหรวจึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ถูกกำหนดมาแล้วว่านางจะไม่สามารถทำลายขีดจำกัดของร่างทองแก้วใสนี้จนพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น กระทั่งมีอิสระเสรีที่แท้จริงได้”
เฉินผิงอันหยิบเหล้ากุ้ยฮวาออกมาหนึ่งกา หลังจากชุยตงซานรับไปดื่มแล้วก็แหงนหน้ากระดกอึกใหญ่ ก่อนจะเช็ดปากกล่าวว่า “ยังดีที่เข้ามาในภูเขาทอง ต่อให้เป็นผีน้อยขนสมบัติที่น่าเวทนา ทุกครั้งขนสมบัติได้น้อยแค่ไหน แต่ผ่านไปหลายสิบปีหลายร้อยปี มุมานะไม่ย่อท้อ สุดท้ายก็จะขนสมบัติจนกลายเป็นคนมีเงินเป็นเศรษฐีในพื้นที่แถบหนึ่งได้ หลังจากนี้สือโหรวแค่ต้องใช้วิธีโง่ๆ แทะกระดูกแข็งๆ เท่านั้น นางจะไม่เจอด่านในการฝึกตนใดๆ อีก นี่ก็คือจุดที่น่าอิจฉาที่สุดของคราบร่างเซียนเหริน มันมุ่งไปยังห้าขอบเขตบนตลอดเวลา ไม่ต้องสร้างโอสถทอง ไม่ต้องฟูมฟักทารกก่อกำเนิด แม้แต่เทวบุตรมารก็ไม่ต้องสนใจ ใครเล่าจะไม่ริษยา?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “แน่นอนว่าอาจารย์เฉลียวฉลาดและมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ไม่มีทางอิจฉาแน่ ส่วนศิษย์อย่างข้าก็มีอัญมณีมาวางไว้ตรงหน้านานแล้ว ไม่จำเป็นต้องอิจฉา สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ข้าก็ยังสู้อาจารย์ไม่ได้อยู่ดี”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ไม่ว่าสือโหรวจะต้องสั่งสมเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเพื่อใช้ในการฝึกตนอย่างไร ข้าก็จะต้องเก็บเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไว้ในมือหกเหรียญ เจ้าอย่าได้หวังว่าจะแตะต้องเงินก้อนนี้”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีอาจารย์ที่จิตใจกว้างขวางเปี่ยมเมตตาเป็นเจ้านายของมดสี่ตัวจากพื้นที่มงคลดอกบัว ช่างเป็นโชควาสนาที่พวกเขาสั่งสมมาหลายชาติจริงๆ หากพวกเขายังไม่รู้จักทะนุถนอมความโชคดีนี้ไว้ก็ควรถูกฟ้าผ่าตายแล้ว อาจารย์ท่านวางใจได้ วิชาห้าอสนีของภูเขามังกรพยัคฆ์ ศิษย์พอจะใช้เป็นอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะเชี่ยวชาญยิ่งกว่าชนชั้นสูงหวงจื่อของจวนเทียนซือบางคนด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นอาจารย์สั่งมาคำเดียว ข้าจะผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์ทันที”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้ายังคงหวังให้พวกเขาทั้งสี่คนมีการเริ่มต้นที่ดีและจุดจบที่ดี”
ชุยตงซานเอ่ยเบาๆ “เหตุใดอาจารย์ถึงไม่ถามว่า อีกหกสิบปีให้หลังควรจะควบคุมสือโหรวให้อยู่มืออย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าไม่ถาม แล้วเจ้าจะไม่พูดหรือ? พูดแค่เรื่องทำการค้า เรื่องการวางแผน ข้าห่างชั้นจากเจ้าไกลนัก ข้าเชื่อเจ้า ยิ่งเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางทำลับๆ ล่อๆ อยู่นอกมหามรรคา เพราะแบบนั้นเป็นการดูแคลนเจ้าชุยตงซานเกินไป”
ชุยตงซานซาบซึ้งใจเหลือแสน “ไม่เคยคิดเลยว่าในใจอาจารย์ ศิษย์จะเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นถึงเพียงนี้ อาจารย์เต็มใจเชื่อใจศิษย์ ศิษย์จะกล้าไม่ทุ่มเทให้ท่านจนตัวตายได้อย่างไร?!”
เฉินผิงอันมองผีงามโครงกระดูกที่มาเดินอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยรูปลักษณ์ของตู้เม่าก็ถามว่า “ไม่เสียใจภายหลังรึ?”
สือโหรวยิ้มกล่าว “นายท่านไม่รู้ถึงความเจ็บปวดนานาประการที่วิญญาณหยินต้องพบเจอ ได้ยินเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ เสียงระฆังตียามเช้าเย็น ลมพายุปราณสะอาดบริสุทธิ์ระหว่างฟ้าดิน ความหนาวเหน็บในช่วงฤดูใบไม้ร่วง กลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าบนสนามรบ ศาลตามภูเขาแม่น้ำและศาลเทพอภิบาลเมืองของพื้นที่แต่ละแห่ง และอีกมากมาย ล้วนเป็นความทุกข์ทรมานสำหรับผีเร่ร่อนอย่างพวกเรา อีกทั้งยังง่ายที่จะทำให้สูญเสียสติปัญญาส่วนสุดท้าย กลายมาเป็นผีชั่วร้ายที่รู้จักแต่การเข่นฆ่า…”
สือโหรวพูดจ้อเกี่ยวกับเรื่องวงในและกฎเกณฑ์มากมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกของวัตถุหยิน
เฉินผิงอันตั้งใจรับฟัง นั่นถึงพอจะลดความรู้สึกกระดากเวลาที่เขาเผชิญหน้ากับ ‘ตู้เม่า’ ให้ลดน้อยลงไปได้บ้าง
ใบหน้าของชุยตงซานมีรอยยิ้มบางๆ แต้มอยู่ตลอดเวลา เงี่ยหูรับฟังคำอธิบายของสือโหรวพร้อมกับเฉินผิงอันไปด้วย
เรื่องที่เข้ามาพักอยู่ในร่างทองแก้วใสของตู้เม่าคงจะถือว่าเรียบร้อยดีแล้ว
ชุยตงซานบอกแค่ว่าพรุ่งนี้ต้องหยุดพักอีกหนึ่งวัน เฉินผิงอันก็พยักหน้าตอบรับ
บรรยากาศในห้องค่อนข้างคล้ายกับการเฉลิมฉลอง เพียงแต่ว่าสามคนที่อยู่ในสถานการณ์มีแค่เหล้ากุ้ยฮวากาเดียวเท่านั้น
สุดท้ายชุยตงซานก็ลุกขึ้นยืนบอกลา เฉินผิงอันเดินมาส่งคนทั้งสองที่หน้าประตูห้อง พอปิดประตูลงแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวและผู้เฒ่าชุดขาวก็เดินตามหลังกันไปกลางระเบียง
แม้ว่าใบหน้าของชุยตงซานจะเต็มไปด้วยแววปิติยินดี แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดสือโหรวถึงรู้สึกอกสั่นขวัญผวามากขึ้นทุกที พอไปถึงในห้องของชุยตงซานก็จริงอย่างที่นางคาด เขาคว้ากระชากศีรษะของ ‘ตู้เม่า’ ห้านิ้วงอเป็นตะขอกดหัวสือโหรวเข้ากับผนัง พูดเสียงกร้าวสีหน้าดุดัน “เป็นแค่วัตถุหยินตัวเล็กๆ ยังสู้กับมดสักตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าบังอาจพูดจาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าอาจารย์ข้ารึ?! ใครให้ความกล้านี้แก่เจ้า!”
ร่างทองแก้วใสที่เท่าเทียมกับร่างของขอบเขตเซียนเหรินแข็งแกร่งไม่แพ้ร่างของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าเลย ตามหลักแล้วเมื่อถูกชุยตงซานที่มีแค่ขอบเขตเซียนดินกระชากดึงทึ้ง สือโหรวก็น่าจะแค่คันๆ เท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าชุยตงซานใช้วิชาอภินิหารลับบางอย่างที่บอกกับใครไม่ได้ ประหนึ่งเหมือนมีพายุลมกรดพัดกระโชกใส่รากฐานจิตวิญญาณของสือโหรว พาให้จิตวิญญาณของนางสั่นสะเทือน เจ็บปวดจนใบหน้าแก่ชราของสือโหรวบิดเบี้ยว หลั่งน้ำตาไม่ขาดสาย
ชุยตงซานยกมืออีกข้างหนึ่งดีดนิ้วลงบนหน้าผากของสือโหรว ปานประหนึ่งเสียงระฆังดังกังวานสะเทือนไปทั้งห้องหัวใจของสือโหรว
หลังจากปล่อยนิ้วทั้งห้าออก สือโหรวก็ตัวอ่อนยวบทรุดลงกับพื้น ร่างทั้งร่างสั้นเทิ้ม เหงื่อแตกโซมกาย
ชุยตงซานยกเท้าเหยียบลงบนศีรษะของนาง เป็นเหตุให้ท้ายทอยของสือโหรวกระแทกกับผนัง ชุยตงซานค้อมเอวลง หลุบตามองนางจากมุมสูง พูดเย้ยหยันว่า “ความสามารถไม่คู่ควรกับคุณธรรม คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง เจ้ากลับยึดครองมันทั้งสองอย่าง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะกระชากดวงวิญญาณเจ้าออกมาจากคราบร่างเซียนใหม่อีกครั้ง ปล่อยให้เจ้าอาบไล้อยู่ท่ามกลางฝนรสหวานและลมชำระบาปที่ยิ่งใหญ่ทั้งวันทั้งคืน หรือไม่ก็เอาคราบร่างนี้มาทำเป็นตะเกียงดวงหนึ่ง โดยใช้วิญญาณของเจ้าเป็นไส้ตะเกียง แต่เจ้ากลับไม่อาจรับรู้ได้เลย หกสิบปีให้หลังเจ้าก็จะตายอย่างเฉียบพลัน?!”
ชุยตงซานเพิ่มน้ำหนักเท้า ผนังด้านหลังท้ายทอยของสือโหรวเกิดรอยปริแตกออกทีละนิด
ชุยตงซานสายตาเย็นชา “ทำไม แค่ในกางเกงมีไอ้จ้อนโผล่มาก็เย่อหยิ่งจนลืมหน้าที่ที่ตนต้องทำไปแล้วหรือ?”
สือโหรวพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาเฉยเมย ต่อให้ได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงและได้รับความเจ็บปวดทางวิญญาณก็ยังคงเงยหน้าขึ้น จ้องมองสบตากับเซียนซือชุดขาวผู้นี้เป็นครั้งแรก
ชุยตงซานรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด จึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “กากเดนที่แคว้นล่มสลายเมื่อหกร้อยปีก่อนอย่างเจ้า สายรองของลัทธิเต๋าสายนั้นตายดับกันไปหมด สู้ลำบากอดทนมานานหลายปีขนาดนี้ กลับฝึกปรือจนมีน้ำอดน้ำทนได้แค่นี้เองหรือ? ถึงขั้นกล้าแข่งฝีมือหมากล้อมกับข้า? ผู้อื่นถามคำถาม แต่ตอบกลับเป็นบทเพลง รูปร่างดุจโครงกระดูก หัวใจดุจขี้เถ้ามอด เป็นอย่างไร ถูกข้าจับจุดได้แล้วสินะ? ไม่อย่างนั้นให้ข้าใช้เวทลับที่มีเฉพาะของบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ในสายของเจ้ามาลบรัศมีแสงลัทธิเต๋าที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดของเจ้าให้หมดสิ้นไปเลยดีไหม?”
สือโหรวทำสีหน้าเหลือเชื่อ ในที่สุดก็เผยความหวาดกลัวอย่างลึกล้ำออกมา นั่นเป็นความหวาดกลัวที่มากกว่ายามเผชิญหน้ากับความตายเสียอีก
ตอนอยู่บนป้ายศิลาในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี นางเคยคลอเพลงหนึ่งเบาๆ ซึ่งเฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพลงพื้นบ้านของแคว้นไฉ่อี เดิมทีนางนึกว่านั่นเป็นเรื่องเก่าแก่ของเมื่อหลายร้อยปีก่อน บวกกับที่ร่องรอยทุกอย่างล้วนถูกกองกำลังฝ่ายต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปทำลายทิ้งไปหมด จึงไม่มีใครรู้เรื่องวงในมานานแล้ว อีกทั้งต่อให้เปิดเจอเนื้อเพลงที่ไม่เต็มบทพวกนี้จากหนังสืออ่านเล่น แต่จะเอามาอนุมานถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง อยู่ดีๆ ก็คว้าจับจุดตายของผีสาวตัวเล็กๆ อย่างนางได้อย่างไร?
ชุยตงซานยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว กระบี่บินสีทองเล่มนั้นพุ่งออกมาจากหว่างคิ้ว บินล้อมวนอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลับวาดยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ทำให้บนปลายนิ้วของชุยตงซานคล้ายมีดอกบัวสีทองที่เคร่งขรึมโอฬารผลิบานหนึ่งดอก
สือโหรวอยากจะอ้าปากขอร้อง แต่กลับค้นพบว่าไม่ว่าตนจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจเปล่งเสียงได้ ได้แต่เบิกตามองปลายนิ้วของคนผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้หว่างคิ้วของนางเรื่อยๆ
สือโหรวหลับตาลง ริมฝีปากสั่นสะท้าน ใช้เสียงในใจคลอเพลงช่วงต้นของบทเพลงสายรองลัทธิเต๋าที่นางเคยอยู่ในปีนั้นขึ้นมา
สือโหรวที่กำลังรอความตายลืมตาขึ้นช้าๆ พบว่าคนผู้นั้นหยุดมือแล้ว กำลังใช้สายตาเวทนามองประเมินนาง
ชุยตงซานยืดเอวตั้งตรง ถูพื้นรองเท้าลงบนใบหน้าของ ‘ตู้เม่า’ ปานประหนึ่งเหยียบโคลนแล้วรองเท้าสกปรกจึงต้องเช็ดออกให้สะอาด
เขาชำเลืองตามองสือโหรวที่เพิ่งรอดพ้นจากความตายมาอย่างหวุดหวิด “คราวหน้าห้ามทำอีก”
สือโหรวพยักหน้ารับเบาๆ
ชุยตงซานเพิ่งเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันขวับกลับมา กระทืบเท้าลงบนศีรษะของสือโหรวแรงๆ หนึ่งครั้ง ศีรษะเกินครึ่งผลุบหายเข้าไปฝังในผนัง พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พระคุณที่ไม่ฆ่า ยังไม่รู้จักพูดขอบคุณข้าสักคำหรือ?”
สือโหรวงัดศีรษะออกมาจากผนัง คุกเข่าโขกหัวคำนับชุยตงซานสามครั้งเงียบๆ
ชุยตงซานไปนั่งข้างโต๊ะ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่อาจเดินทางร่วมกับอาจารย์ได้ตลอดไป เมื่อข้าจากไปแล้ว จำไว้ว่าอย่าได้ย่ำยีเรือนกายที่ทนทานกับการถูกซ้อมมากที่สุดนี้ให้เสียเปล่า หากอาจารย์ข้าได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้าไม่พยายามอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะบาดเจ็บน้อยหรือมาก ข้าก็จะดึงแสงรัศมีของเมล็ดพันธ์เต๋าที่อยู่ในจุดลึกของจิตวิญญาณเจ้าออกมา แล้วค่อยย้ายเอาไปปลูกไว้บนร่างของภิกษุ”
สือโหรวเงยหน้าขึ้นช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าระทม มองเซียนซือที่รูปงามดั่งเทพเซียน ความคิดละเอียดรอบคอบ แต่จิตใจกลับอำมหิตโหดเหี้ยมผู้นี้แล้วพึมพำเบาๆ “บนโลกมีคนน่ากลัวอย่างเจ้าอยู่ได้อย่างไร?”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “นี่ก็ไม่ใช่เพราะอาจารย์สั่งสอนหรอกหรือ ข้าก็เรียนรู้ด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จอย่างไรล่ะ”
สือโหรวลุกขึ้นยืน ได้แต่กล้ายืนแนบอยู่ติดผนัง
ชุยตงซานเอามือตบโต๊ะ “ยังไม่รีบไสหัวกลับไปที่ห้องของตัวเองอีก มายืนบื้อเป็นคนตายอยู่ตรงนี้ทำไม? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเฉือนเจ้าของเล่นในกางเกงเจ้าออกมา แล้วให้เจ้ากินมันลงไป?”
สือโหรวที่ทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าใจก้มหน้าลง เดินเร็วๆ ออกไปจากห้องที่เหมือนนรกบนดินแห่งนี้
ชุยตงซานเปิดตำราที่นักประพันธ์แคว้นชิงหลวนเขียนซึ่งวางไว้บนโต๊ะออกอ่าน ยิ่งอ่านไฟโทสะก็ยิ่งลุกโหม กระแทกหน้าหนังสือปิดลงอย่างแรง ปากก็สบถด่าไปด้วย “สามวันไม่อ่านตำรา พูดจาน่าเบื่อ เห็นหน้าให้พาลรังเกียจ (คนที่ไม่อ่านหนังสือมักจะเป็นคนน่าเบื่อหน่าย พานให้คนอื่นไม่ชอบ) กับผายลมสุนัขอะไร อ่านเจ้าของเล่นพวกนี้แล้ว เหมือนมีคนเอาขี้มาป้ายหน้าข้าผู้อาวุโส แถมแม่งยังเป็นขี้ท้องเสียด้วย”
—–