กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 396.1 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้

บทที่ 396.1 น้ำแกงไก่หนึ่งถ้วยยังไม่รู้

พ้นออกมาจากถนนเส้นเล็กของสวนสิงโต เดินผ่านกอต้นอ้อต้นกกเขียวขจีที่ขึ้นริมทะเลสาบขนาดเล็ก เลี้ยวโค้งอีกทีก็สามารถแยกเข้าไปยังทางหลวงของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนได้แล้ว ผลคือพออ้อมออกมาจากทางเล็กที่ขึ้นเต็มไปด้วยพงต้นกกต้นอ้อก็เห็นคนผู้หนึ่งนั่งโดยสารรถมาท่าทางเร่งรีบ เขาเพิ่งจะออกจากถนนทางหลวงเข้ามาในทางเส้นเล็ก เพราะถนนคับแคบ พื้นผิวถนนก็ขรุขระ รถเทียมวัวกระเด้งกระดอนหนึ่งที บุรุษชุดเขียวที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เกือบจะถูกเหวี่ยงออกมา รถที่โยกคลอนแทบจะทำให้กระดูกเคลื่อน ส่วนสารถีก็คือเด็กหนุ่มลักษณะเหมือนเด็กรับใช้คนหนึ่ง คงเป็นเพราะนายท่านของตนเร่งรัดมาตลอดทาง เดิมทีนิสัยและวัยของเขาก็อยู่ในช่วงใจร้อนอยู่แล้ว บวกกับที่ทักษะในการขับรถเทียมวัวไม่เชี่ยวชาญ สี่ขาของวัวจึงควบตะบึงพุ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาในทางเล็กเส้นนี้ คิดไม่ถึงว่าสุดปลายทางของทางเล็กที่เดิมควรมีเพียงพงต้นกกต้นอ้อของสวนสิงโตจะมีคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา แถมคนที่เดินนำหน้ายังเป็นแม่นางน้อยที่ในมือถือไม้เท้าเดินกระโดดโลดเต้นอีกด้วย หากชนเข้าจะไม่มีคนตายหรอกหรือ?

เด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ตระหนกลน บุรุษที่สวมชุดเขียวก็ยิ่งร้อนใจ คนหนึ่งมือไม้พันกันเป็นพัลวัน อีกคนหนึ่งร้องเตือนเสียงดัง ดังนั้นเผยเฉียนจึงเบิกตากว้างมองวัวแก่ลากรถพาคนโง่สองคนส่ายไปส่ายมา ก่อนจะพุ่งพรวดเข้าไปในทะเลสาบหลังพงต้นกกต้นอ้อ

อันที่จริงเผยเฉียนเบี่ยงตัวหลบพวกเขาตั้งนานแล้ว นางมายืนอยู่กลางพงต้นกกต้นอ้อกอใหญ่ ต่อให้รถเทียมวัวจะพุ่งตรงมาข้างหน้าก็ไม่เป็นไร ไม่มีทางชนนางอย่างแน่นอน

อะไรกัน เช้าตรู่ขนาดนี้ก็มีคนนึกอยากอาบน้ำแล้วหรือ? หรือว่าแท้จริงแล้วนั่นคือเทพเซียนคู่หนึ่ง วัวตัวนั้นก็สามารถลากรถเดินบนน้ำได้ เมื่อทำเช่นนั้นจะมีกลิ่นอายแห่งเซียนมากเป็นพิเศษ? ก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งได้ขี่วัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธุ์ของวัวดินนี่นะ มันมหัศจรรย์มาก ขึ้นเขาลงน้ำก็ล้วนมั่นคงปลอดภัย

ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้าเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กร้องโวยวายดังระงม จากนั้นเสียงตูมก็ดังขึ้น สะเก็ดน้ำแตกกระจาย แล้วก็มองไม่เห็นเงาพวกเขาอีก

เผยเฉียนขยับเท้ามองไปตามทางเส้นเล็กที่รถเทียมวัวคันนั้นบดพงต้นกกต้นอ้อให้ราบไปเป็นทาง รถทั้งคันพุ่งลงน้ำไปทั้งอย่างนั้น

เผยเฉียนจับคางจมสู่ภวังค์ความคิด ได้ยินว่าขอแค่เทพเซียนบนภูเขาพกไข่มุกหลบน้ำแหวกว่ายลงไปยังหุบเหวลึกใต้น้ำเพื่อจับเจียวจับมังกรก็ล้วนเหมือนเดินอยู่บนพื้นที่ราบ

จูเหลี่ยนและสือโหรวต่างพากันพุ่งตัวไปช่วยทั้งคนและวัว

เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน “บอกเจ้าแล้วไงว่าให้เดินดูทางด้วย”

เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ร้องวิงวอนเสียงดัง อธิบายว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร วัวตัวนั้นเดินไม่ตรงทางเอง พุ่งส่ายไปส่ายมาเหมือนคนเมาอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายก็พาตัวเองลงน้ำไปเอง โอ้ย เจ็บๆๆ …อาจารย์ ข้าหลบทางให้พวกเขาแล้วจริงๆ นะ…อีกอย่างอาจารย์ท่านก็เคยเห็นรถเทียมวัวเทียมลามาแล้วไม่ใช่หรือ แต่ละคันไม่ควรช้าอืดอาดหรอกหรือ รถเทียมวัวคันนี้กลับเผด็จการนัก แทบจะบินขึ้นไปบนฟ้าอยู่แล้ว…”

เฉินผิงอันปล่อยมือให้เผยเฉียนได้ยืนดีๆ เผยเฉียนแยกเขี้ยว ยื่นมือมาลูบหูตัวเองเบาๆ เจ็บชะมัด

จูเหลี่ยนปากอีกาจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าไม่ให้ตนหลงระเริงลำพองตนอะไรสักอย่างนี่แหละ

เฉินผิงอันพอจะโล่งใจได้บ้าง เพราะหลังจากจูเหลี่ยนและสือโหรวลงน้ำไปแล้ว เพียงไม่นานก็พาทั้งนายบ่าวทั้งวัวและรถขึ้นมาบนฝั่งได้

เด็กหนุ่มยังหวาดผวาไม่คลาย นั่งอยู่บนต้นอ้อต้นกกที่ก่อนหน้านี้ถูกรถเทียมวัวบดขยี้เป็นทางราบแล้วร้องไห้โฮเสียงดังลั่น

วัวแก่ขึ้นฝั่งมาแล้วก็สะบัดร่าง หางของมันฟาดเข้าที่ศีรษะของเด็กหนุ่มพอดี คราวนี้เขากลับหยุดเสียงร้องเอาไว้ได้

บุรุษสวมชุดสีเขียวอายุประมาณสามสิบปี หน้าตาไม่แก่ พอถูกช่วยขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็กุมมือโค้งตัวขอบคุณสือโหรว

เฉินผิงอันเดินเข้าไปหา กุมหมัดขออภัย

บุรุษชุดเขียวรู้สึกอับอายและละอายใจยิ่งนักจึงรีบคารวะขออภัยติดๆ กันอีกครั้ง

สุดท้ายบุรุษผู้นี้เช็ดคราบน้ำบนใบหน้า ดวงตาพลันเป็นประกาย ถามเฉินผิงอันว่า “ใช่คุณชายเฉินที่ร่วมมือกับเซียนซือนักพรตหญิงช่วยสวนสิงโตของพวกเราไว้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วลองถามหยั่งเชิง “ท่านคือนายอำเภอหลิ่ว?”

บุรุษชุดเขียวหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ “ข้าน้อยหลิ่วชิงเฟิง คือพี่ชายของหลิ่วชิงซาน”

หลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้ฒ่าหลิ่ว ตอนนี้รับหน้าที่เป็นนายอำเภอของอำเภอแห่งหนึ่ง ไม่อาจพูดได้ว่าเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน แต่ก็ถือว่าเป็นบัณฑิตที่มีอนาคตราบรื่นยาวไกล

เพียงแต่ว่าเมื่อบิดาของเขาคือหลิ่วจิ้งถิงที่หน้าที่การงานรุ่งโรจน์ มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการนักประพันธ์แล้ว หลิ่วชิงเฟิงจึงกลายเป็นว่าความสามารถธรรมดาสามัญ ตอนที่หลิ่วจิ้งถิงอายุเท่าเขาก็ใกล้จะได้รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมพิธีการลำดับรองขั้นสามของแคว้นชิงหลวนแล้ว อีกทั้งหลิ่วจิ้งถิงยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำแห่งวงการวรรณกรรม ประมุขแห่งบุคคลผู้มีวัฒนธรรม ตอนนี้พอหันกลับมามองหลิ่วชิงเฟิงผู้เป็นบุตรชายอีกครั้ง ก็ไม่แปลกที่บางคนจะทอดถอนใจที่บิดาเป็นพยัคฆ์แต่บุตรกลับเป็นสุนัข

ต้องรู้ว่าเมื่อหลิ่วจิ้งถิงตายไปเขาย่อมได้รับบรรดาศักดิ์ยกย่องย้อนหลังในลำดับต้นๆ จากทางราชสำนักอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาไว้แล้ว ส่วนด้านหลังคำว่า ‘บุ๋น’ จะเป็นตัวอักษรอะไร จะเป็นคำว่าเที่ยงตรง หรือจะเป็นคำว่าภักดี หรือบางทีอาจจะเป็นคำว่านอบน้อม สำเร็จ ที่เป็นระดับรองลงมาก็ล้วนมีความเป็นไปได้ ทั้งสองอย่างนี้ล้วนต้องให้ฮ่องเต้เป็นคนออกพระราชโองการ ไม่อาจให้เหล่าขุนนางตัดสินใจกันได้เอง ก่อนหน้านี้คนในราชสำนักรู้สึกว่าความเป็นไปได้ของข้อแรกมีมากกว่า แต่หลังจากที่หลิ่วชิงซานบุตรชายคนรองของเขากลายเป็นคนขาพิการ สิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ก็ถูกลดทอนลงไปมาก อย่าว่าแต่ผู้เที่ยงตรงแห่งสายบุ๋นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวนเลย ต่อให้เป็นผู้ภักดีแห่งสายบุ๋นก็ยังไม่น่าจะได้มาครองแล้ว

เฉินผิงอันตะโกนเรียกเผยเฉียนมา

เผยเฉียนที่เหมือนถูกแปะแผ่นยันต์หยุดนิ่งของตระกูลเซียนมาโดยตลอดประหนึ่งได้รับอภัยโทษ วิ่งปรู๊ดมาหยุดข้างกายเฉินผิงอัน ประสานมือคารวะขออภัยหลิ่วชิงเฟิงและเด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ของเขา อธิบายเสียงดังถึงความผิดมากมายของตนเอง

อันที่จริงในใจเผยเฉียนกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดมากสักเท่าไหร่ แถมยังบ่นความไม่ได้เรื่องของหลิ่วชิงเฟิง เพียงแต่ว่าอาจารย์โกรธแล้ว นางยังจะทำอะไรได้อีก? อย่าว่าแต่เอ่ยคำขอโทษที่ไม่ต้องเสียเนื้อหนังเลย ต่อให้นางต้องควักเงินมาเป็นค่าไถ่โทษ เคลื่อนย้ายสิ่งของที่อยู่ในกล่องเก็บสมบัติออกมาข้างนอก เผยเฉียนก็ได้แต่ทำตามแต่โดยดี

หลิ่วชิงเฟิงรีบช่วยพูดแทนเผยเฉียน เผยเฉียนถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกว่าบัณฑิตที่เป็นนายอำเภอผู้นี้มีคุณธรรมไม่น้อย

หลังจากนั้นก็ย่อมเป็นการชักชวนเฉินผิงอันให้กลับไปสวนสิงโตด้วยกัน เพียงแต่เมื่อเฉินผิงอันบอกว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อดูว่าจะไปทันช่วงท้ายของงานโต้วาทีพุทธเต๋าหรือไม่ หลิ่วชิงเฟิงก็เกรงใจเกินกว่าจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมได้อีก

เฉินผิงอันช่วยหลิ่วชิงเฟิงซ่อมรถเทียมวัวให้ดีก่อน จากนั้นสองฝ่ายก็บอกลากัน ต่างคนต่างเร่งเดินทางต่ออีกครั้ง

พอเดินแยกเข้ามาบนถนนทางหลวงแล้ว จูเหลี่ยนจึงยิ้มเอ่ยว่า “รู้สึกว่าหลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแห่งสวนสิงโตผู้นี้มีลักษณะเหมาะให้เป็นขุนนางมากกว่าหลิ่วชิงซานผู้เป็นน้องชาย”

เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

หลิ่วชิงซานมีกลิ่นอายของบัณฑิตเข้มข้นกว่า ความสามารถมากกว่า ความรู้มีอยู่เต็มท้อง การปฏิบัติตัวก็ยิ่งสมกับเป็นวิญญูชนที่แท้จริง ส่วนพี่ชายอย่างหลิ่วชิงเฟิงคล้ายจะไม่มีประกายคมกริบเช่นนั้น แทบจะไม่มีเหลี่ยมมุมใดๆ เลย

แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าพี่น้องทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นบัณฑิตที่โลกใบนี้ต้องการ เพียงแค่นี้เท่านั้น ส่วนในอนาคตใครจะประสบความสำเร็จมากกว่ากัน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วพวกเขาก็ยังเป็นคนของสวนสิงโต เป็นคนในครอบครัวเดียวกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

เฉินผิงอันถาม “เผยเฉียน รู้หรือไม่ว่าจุดที่น่านับถือที่สุดของนายอำเภอหลิ่วผู้นี้อยู่ตรงไหน?”

เผยเฉียนหลุดปากตอบออกไป “เป็นขุนนางแต่นิสัยยังดีอยู่ ไม่มีการวางมาดใดๆ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “คือการกระทำที่ออกมาจากใจจริงของเขา เขายอมให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ก็ต้องหลีกทางให้เจ้าให้ได้”

เผยเฉียนร้องอ้อรับหนึ่งทีคล้ายเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ “อาจารย์ ข้าจะจำเอาไว้ก่อน ก็เหมือนเมื่อสองวันก่อนตอนที่เอาตำราและแผ่นไม้ไผ่พวกนั้นออกมาตากแดด ตอนที่แดดแรงๆ ก็ต้องคอยเอาเจ้าพวกนี้มาตากแดดพลิกกลับไปกลับมา”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ลูบศีรษะนางแล้วไม่พูดอะไรให้มากความอีก

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “นายน้อย วันหน้าหากมีโอกาส บ่าวเฒ่าจะช่วยป้อนหมัดให้ท่านดีไหม?”

เฉินผิงอันตอบรับอย่างไม่ลังเล “ดีสิ”

จากนั้นจูเหลี่ยนก็หันไปมองเผยเฉียน “เห็นหรือยัง นี่ก็คือการกระทำที่ออกมาจากใจจริง ต้องรู้ว่าการป้อนหมัดเลี้ยงหมัดระหว่างผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวบนโลกใบนี้ประหนึ่งกบกระโดดแตะผิวน้ำ ต่อยเบาๆ ปล่อยเบาๆ ล้วนไม่มีประโยชน์ หากต้องการจะให้ได้ผล บ่าวเฒ่าก็ต้องเอาความสามารถที่แท้จริงออกมา เมื่อเอาความสามารถที่แท้จริงออกมาแล้ว หมัดก็จะมีปราณสังหาร บนร่างก็จะมีจิตสังหาร ถ้าอย่างนั้นหากแท้จริงแล้วบ่าวเฒ่ามีการวางแผนมาล่วงหน้า ในใจมีจิตสังหารอยู่ก่อนแล้วก็จะต้องเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี แต่นายน้อยก็ยังคงเชื่อใจบ่าวเฒ่า นี่จึงเรียกว่าการกระทำที่ออกมาจากใจจริง…”

เผยเฉียนยังคงกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ นางตั้งใจคิดตามแล้วกล่าวว่า “พ่อครัวเฒ่า ตอนที่อยู่สวนสิงโต ทุกวันเวลาเจ้าอ่านหนังสือจบเล่มก็จะต้องพึมพำกับตัวเองว่า ในกระเป๋าไม่มีเงินจิตใจว้าวุ่น หากไปถึงเมืองหลวงแล้วพลาดตำราดีๆ พวกนั้นไปจะทำอย่างไร แถมยังพูดถึงภาพตำหนักวสันต์ (หรือภาพชุนกง คือภาพการร่วมเพศในสมัยโบราณ) อะไรของแคว้นชิงหลวนนั่น บอกว่าคือสุดยอดในแจกันสมบัติทวีป เข้าไปในภูเขาสมบัติแล้วกลับมามือเปล่าจะไม่เสียดายตายหรอกหรือ…เจ้าบอกกับข้ามาตามตรงดีกว่าว่า เจ้าคิดจะหลอกเอาเงินของอาจารย์ข้าไปซื้อหนังสือและภาพตำหนักวสันต์ใช่ไหม?”

จูเหลี่ยนมีสีหน้าอับอาย ได้แต่ถูมือไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ป้อนหมัดนั้นได้ แต่เงินไม่มีให้!”

จูเหลี่ยนร้อนใจขึ้นมาครามครัน “นายน้อย พวกเราเดินทางมาสวนสิงโตครั้งนี้ได้เงินมาตั้งเยอะนี่นา แม้ว่าครั้งนี้บ่าวเฒ่าจะไม่ได้ลงมือ แต่ตะวันจันทราส่องกระจ่าง เป็นพยานความจงรักภักดีของข้าได้!”

เฉินผิงอันพูดกับเผยเฉียน “เจ้าเป็นคนพูด”

เผยเฉียนจึงตะเบ็งเสียงดังลั่น “เงินอะไรกัน! เงินที่เข้าไปในกระเป๋าของอาจารย์ข้าก็ไม่ใช่เงินแล้ว!”

สือโหรวที่เดินอยู่ด้านหลังสุดทอดถอนใจไม่หยุด

เห็นไหม สันดอนเปลี่ยนง่ายสันดานเปลี่ยนยาก สามคนนี้เอาอีกแล้ว

……

หลิ่วชิงเฟิงถูกเด็กรับใช้บ่นมาตลอดทาง และเขาก็ไม่โต้แย้ง ยิ่งไม่ใช้สถานะของตัวเองมากดข่มอีกฝ่าย ร่างของคนทั้งคู่เปียกโชก รถเทียมวัวที่นั่งมาเคลื่อนมาใกล้สวนสิงโต เด็กรับใช้เห็นหน้าผาหินและต้นไม้โบราณ เห็นเค้าโครงร่างของสวนสิงโตที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดแล้วก็ไม่มีคำบ่นอีกต่อไป เด็กหนุ่มเติบโตมาจากที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก และสำหรับจ้าวหยาที่เติบโตเคียงคู่กันมานั้น เขาก็ชื่นชอบนางอย่างมาก…

บุตรชายหญิงห้าคนของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วซึ่งเป็นเด็กรุ่นที่ใช้อักษรตัวชิง มีชื่อเป็นห้าคำว่า ‘เฟิง หย่า ซาน ชิง อวี้’ พอดี (หากแปลรวมกันจะได้ว่าสายลมงามสง่าขุนเขาครึ้มเขียวขจี)

เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้านเรียบร้อย หลิ่วชิงเฟิงก็ตรงดิ่งไปที่ห้องหนังสือของน้องชาย เด็กรับใช้บอกว่านายท่านผู้เฒ่าไปรออยู่ที่นั่นแล้ว

พ่อลูกสามคนนั่งลงบนเก้าอี้

หลิ่วจิ้งถิงได้พบหน้าหลิ่วชิงเฟิงก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความผ่อนคลายนี้ไม่น้อยไปกว่าตอนที่ได้เห็นปีศาจถูกจับตัวได้เลย

ทุกคนคงจินตนาการไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือต่างถิ่นอย่างเฉินผิงอันหรือหลิ่วป๋อฉี แม้แต่คนส่วนใหญ่ในสวนสิงโตก็คงไม่รู้เรื่องหนึ่ง นั่นคือหัวใจหลักตามความหมายที่แท้จริงของสวนสิงโตนั้น แท้จริงแล้วคือหลิ่วชิงเฟิงที่ระดับขุนนางไม่สูง ความสามารถและชื่อเสียงก็ธรรมดาสามัญผู้นี้ต่างหาก หาใช่หลิ่วจิ้งถิงที่เป็นประมุขของตระกูลไม่ ตอนนั้นหลิ่วป๋อฉีแอบฟังคนทั้งสามคุยกันในวงสุรา ความสนใจส่วนใหญ่ล้วนถูกหลิ่วชิงซานดึงดูดไป ไม่อาจขบคิดใคร่ครวญได้ถึงความนัยของการ่ำสุราครั้งนั้นออก เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจของพ่อลูกสามคนที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ประดุจน้ำมาคลองก็เสร็จนี้ หาใช่สิ่งที่หลิ่วชิงเฟิงจงใจทำให้เป็นเช่นนั้นไม่ หลิ่วชิงเฟิงบุตรชายคนโตที่เน้นในด้านการปฏิบัติ ศรัทธาในการสร้างคุณความชอบได้รับหน้าที่ซึ่งมีบทบาทคล้ายคลึงกับเค่อชิง (คนต่างแคว้นที่มารับหน้าที่ขุนนางในอีกแคว้นหนึ่ง) หรือไม่ก็กุนซือของหลิ่วจิ้งถิงมานานมากแล้ว เพราะนอกจากหลิ่วชิงซานจะต้องออกไปหาประสบการณ์และสอบเคอจวี่แล้วก็ล้วนมุ่งมั่นศึกษาหาความรู้อยู่ในสวนสิงโตมาโดยตลอด แต่หลิ่วชิงเฟิงนั้นไม่เหมือนกัน ในช่วงเวลาระหว่างที่หลิ่วจิ้งถิงเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวง บุตรชายคนโตอย่างเขาก็คอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้างในจวนที่เมืองหลวงตลอดเวลา ดังนั้นจึงเข้าใจภาระงานด้านการปกครองของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วมากกว่าหลิ่วชิงซาน และยิ่งคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของคลื่นลมมรสุมในราชสำนักแคว้นชิงหลวนเป็นอย่างดี

หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว “จดหมายที่ท่านพ่อส่งไปยังที่ว่าการอำเภอ ข้าได้อ่านอย่างละเอียดแล้ว”

หลิ่วชิงซานพบว่าพี่ชายกำลังยิ้มมองตนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข

หลิ่วชิงเฟิงพลันหัวเราะเสียงดังกึกก้อง

หลิ่วชิงซานหน้าแดงน้อยๆ “พี่ใหญ่!”

หลิ่วจิ้งถิงทอดถอนใจกล่าวว่า “เรื่องของเจ้าแม่ต้นหลิ่ว หากยอมฟังคำของเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ พูดคุยกับนางอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ว่าความสัมพันธ์ก็อาจจะไม่ชะงักงันอย่างในทุกวันนี้”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยปลอบใจ “ท่านพ่อ การเป็นคนก็ดี เป็นเทพรับควันธูปก็ช่าง ถึงอย่างไรจิตใจก็เป็นรากฐานของแต่ละคน อันที่จริงไม่ใช่ว่าคำพูดจากใจจริงแค่ไม่กี่คำของฝ่ายพวกเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่สวนสิงโตประสบพบเจอในครั้งนี้ได้ โชคดีที่เจ้าแม่ต้นหลิ่วต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับสวนสิงโตของพวกเรา หายนะครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการตักเตือนนาง ได้พบโชคดีหลังหายนะ นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับคุณชายเฉินที่มีจิตใจของจอมยุทธ์ผู้ผดุงธรรม รวมไปถึงนักพรตหญิงที่ชิงซานคุ้นเคยดีผู้นั้น…แซ่หลิ่ว ชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”

หลิ่วชิงซานอับอายจนพานเป็นความโกรธ “หลิ่วป๋อฉี! พี่ใหญ่ท่านพูดไม่แล้วไม่เลิกสักทีนะ?!”

หลิ่วชิงเฟิงหุบยิ้ม ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าชอบนางจริงๆ หรือ?”

หลิ่วชิงซานเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย

หลิ่วจิ้งถิงลังเลอยู่ชั่วขณะก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ถึงอย่างไรนักพรตหญิงคนนั้นก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขา หากพูดถึงแค่เรื่องของสวนสิงโต พวกเราซาบซึ้งในพระคุณของนางอย่างไรก็ล้วนไม่มากเกินไป แต่เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ในชีวิตของน้องชายเจ้าอย่างเรื่องของการแต่งงานนี้ เฮ้อ วุ่นวายซะจริง”

ในฐานะรองเจ้ากรมพิธีการผู้เฒ่าแห่งแคว้นชิงหลวน ตระกูลเซียนในอาณาเขตของหนึ่งแคว้นหรือเซียนซือที่เดินทางผ่านมาย่อมไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ บวกกับที่ฮ่องเต้สกุลถังมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ดังนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนซือเทียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระแห่งภูเขาแม่น้ำ รองเจ้ากรมอย่างเขาก็ล้วนหยัดเอวได้ตรงอยู่เสมอ

เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นขุนนางที่เที่ยงธรรมแค่ไหนก็ยากจะตัดสินใจเรื่องในบ้านได้

หลิ่วชิงเฟิงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่บิดาว่าเขารู้ดีว่าควรทำเช่นไร ก่อนจะพูดกับหลิ่วชิงซานว่า “ชิงซาน ข้าเชื่อว่าเมื่อเจ้าชอบแล้วก็เป็นความชอบที่มาจากใจจริง รูปร่าง ชาติกำเนิด นิสัยใจคอ สิ่งเหล่านี้เจ้าต้องผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบมาด้วยตัวเองแล้ว และข้าก็เชื่อในสายตาของเจ้า ข้าผู้เป็นพี่ชายจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ และยิ่งไม่มีทางเข้าไปจู้จี้กับเรื่องของพวกเจ้าสองคน แต่พวกเรามาลองสมมติกันว่าหลังจากนี้เซียนซือนักพรตหญิงจากทวีปอื่นที่ชื่อว่าหลิ่วป๋อฉีผู้นี้อาจแต่งเข้ามาในสวนสิงโตของพวกเรา กลายมาเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาอย่างถูกต้องเปิดเผยของเจ้าชิงซาน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องพิจารณาสองเรื่อง เรื่องแรก หลิ่วป๋อฉีคือคนบนเส้นทางของการฝึกตน ดังนั้นพวกเราจะไม่เรียกร้องในเรื่องยิบย่อยกับนาง เพียงแต่ว่านางจะเต็มใจมาฝึกตนอยู่ในสวนสิงโต ปฏิบัติกับเจ้าชิงซานตามมารยาทของสามีภรรยาอย่างจริงใจ หรือว่าเมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็จะอาศัยสถานะเซียนซือบนภูเขาของตนถือตัวอยู่เหนือเจ้าหลิ่วชิงซาน อาจถึงขั้นยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจธุระในสวนสิงโตหรือไม่?”

“ข้อที่สอง ชิงซาน นางเคยพูดอะไรที่เป็นการบอกนัยๆ ให้เจ้าฝึกวิชาเซียนกับนางหรือไม่? ต้องการให้เจ้าละทิ้งตำราอริยะปราชญ์ทั้งหมด ไปจากสวนสิงโต ออกจากวิถีของมนุษย์ปุถุชนขึ้นไปบนภูเขาหรือไม่?”

“ความรักระหว่างชายหญิงบนโลก แรกเริ่มมักจะทำให้คนรู้สึกงดงามเสมอ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนน่าประทับใจ ก็เหมือนกับสวนสิงโตแห่งนี้ที่สร้างขึ้นระหว่างภูเขาเขียวสายน้ำใส ประหนึ่งแดนสุขาวดีนอกโลกอย่างไรอย่างนั้น แต่พอถึงเวลาเกิดเรื่อง เจ้าแม่ต้นหลิ่วเทพแห่งผืนดินที่ได้รับการยกย่องมาทุกยุคสมัยล่ะเป็นอย่างไร? หากไม่เป็นเพราะเจ้าแม่ต้นหลิ่วไม่อาจย้ายถิ่นฐานได้ เกรงว่านางคงทอดทิ้งสวนสิงโตไปหลบภัยอยู่ไกลๆ นานแล้ว บุญสัมพันธ์และควันธูปที่คนเจ็ดรุ่นของสกุลหลิ่วสร้างไว้ พอถึงเวลา อยู่ต่อหน้าป้ายวิญญาณบรรพบุรุษมากมายในศาลบรรพชน คำพูดของเจ้าแม่ต้นหลิ่วก็ทำร้ายจิตใจคนอย่างถึงที่สุดอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ดังนั้นชิงซาน ใช่ว่าข้าจะไม่ต้องการให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหลิ่วป๋อฉี เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ บนภูเขากับล่างภูเขาคือโลกสองใบ ปัญญาชนกับผู้ฝึกตนก็เป็นมนุษย์คนละประเภท เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม หลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว จะเป็นนางหลิ่วป๋อฉีที่ย้ายมาอยู่กับเจ้า หรือเป็นเจ้าหลิ่วชิงซานที่ต้องติดตามนาง? เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากเคยคิดแล้ว ได้คิดให้กระจ่างแล้วหรือยัง?”

“ใช่ หลิ่วป๋อฉีมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อสวนสิงโต ไม่เพียงแต่กำจัดปีศาจปราบมาร ช่วยสกุลหลิ่วของพวกเราที่เป็นดั่งอาคารใหญ่ใกล้จะล้มลงเอาไว้ หลังจบเรื่องก็ยิ่งยอมทุ่มเงินก้อนใหญ่จ่ายเงินเทพเซียนตั้งมากมายให้แทนสกุลหลิ่วของพวกเรา แต่ชิงซานเจ้าคิดดีแล้วหรือ ใช่ว่าพระคุณยิ่งใหญ่นี้ของหลิ่วป๋อฉีสกุลหลิ่วของเราจะไม่ยินดีใช้คืน ตั้งแต่ท่านพ่อมาจนถึงพี่ชายอย่างข้า และไปถึงคนทั้งสวนสิงโต ล้วนไม่มีใครต้องการให้เจ้าหลิ่วชิงซานแบกรับไว้คนเดียว คนรุ่นนี้ของสกุลหลิ่วไม่อาจชดใช้พระคุณครั้งนี้คืนได้หมด ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นคนสองรุ่น คนสามรุ่น ขอแค่หลิ่วป๋อฉียินดีรอ พวกเราก็ยินดีชดใช้ให้ตลอดไป”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท