เซี่ยเซี่ยนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน “ไม่เคยคิด”
อวี๋ลู่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาวางสองมือทาบไว้บนหน้าท้อง “ก่อนที่คุณชายของเจ้าจะออกไปจากสำนักศึกษาได้ซ้อมข้าไปรอบหนึ่ง”
เซี่ยเซี่ยเอ่ยเย้ยหยัน “ทำไม เอาชนะเขาชุยตงซานไม่ได้ก็เลยคิดจะเอาข้ามาเป็นที่ระบายอารมณ์? ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดที่แบกรับโชคชะตาบู๊ของครึ่งแคว้นเอาไว้ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเอาชนะข้าได้เสมอไป?”
หลังจากที่นางถูกต้าหลีจับตัวมา ถูกเหนียงเนียงในวังผู้นั้นสั่งให้ฝึกกระบี่ผู้ถวายงานคนหนึ่งตรอกตรึงตะปูกักมังกรหลายตัวไว้ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของนางหลายแห่ง เป็นวิธีการที่อำมหิตอย่างถึงที่สุด
ภายหลังชุยตงซานช่วยดึงตะปูกักมังกรออกให้ครึ่งหนึ่ง ตบะกลับคืนมาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต ก่อนหน้าที่ชุยตงซานจะไปจากสำนักศึกษาก็ได้ดึงออกให้อีกหลายตัว ในร่างของเซี่ยเซี่ยจึงเหลือแค่ตะปูกักมังกรตัวสุดท้ายที่ตรึงอยู่หน้าประตูใหญ่ของช่องโพรงอันเป็นที่เก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตของนางเท่านั้น ในที่สุดนางก็ได้ย้อนกลับมาสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรอีกครั้ง บวกกับเวทลับมากมายที่ชุยตงซานร่ายไว้ในเรือนเล็กแห่งนี้ ซึ่งการควบคุมใจกลางของค่ายกลส่วนใหญ่ เขาล้วนถ่ายทอดวิธีการเปิด ขับไล่และปิดให้แก่เซี่ยเซี่ย ด้วยเหตุนี้ขอแค่เซี่ยเซี่ยอยู่ในเรือนขนาดเล็กแห่งนี้ก็จะมีลักษณะคล้ายเหมาเสี่ยวตงที่เฝ้าบัญชาการณ์สำนักศึกษาซานหยา
อวี๋ลู่ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากจะต้องประมือกันจริงๆ เจ้าก็ยังต้องแพ้อยู่ดี”
เซี่ยเซี่ยร้องอ้อหนึ่งที พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “เจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ เป็นข้าที่มองผิดไป ต้องให้ข้าเอ่ยขอโทษเจ้าด้วยหรือไม่?”
อวี๋ลู่ล้มตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง ใช้สองมือต่างหมอน เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เจ้านี่นะ”
แม้ว่าจะเป็นเศษเดนของราชวงศ์สกุลหลูเหมือนกัน เดิมทีควรเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ประคับประคองช่วยเหลือกันถึงจะถูก แต่ส่วนลึกในใจของเซี่ยเซี่ยกลับรังเกียจอวี๋ลู่ที่รู้จักพอในทุกสถานการณ์ผู้นี้มากที่สุด อีกทั้งนางยังไม่เคยปกปิดความรู้สึกนี้ไว้แม้แต่น้อย
อวี๋ลู่หลับตาลง “นอนที่นี่สบายดีจัง ขอข้างีบสักพัก”
เซี่ยเซี่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ไล่เขาไป
อันที่จริงนางสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย เหตุใดอวี๋ลู่ถึงไม่ได้ติดตามเกาเซวียนไปสำนักศึกษาหลินลู่
อวี๋ลู่ไปอยู่ต้าหลี อย่างน้อยที่สุดก็สามารถดูแลชาวเมืองสกุลหลูที่ประหนึ่งตกอยู่ในน้ำลึกถูกแผดเผาอยู่ท่ามกลางกองไฟได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่อันที่จริงตอนนี้ก็มีขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ของสกุลหลูไม่น้อยที่แม้จะพึ่งพาต้าหลี แต่ก็ยังถือว่าพอจะเชื่อใจได้ แม่ทัพบู๊หลายคนก็ยิ่งติดตามกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ ว่ากันว่าพวกเขาสร้างคุณความชอบได้โดดเด่นอย่างถึงที่สุด จนเริ่มกลมกลืนเข้ากับกองทัพต้าหลีได้แล้ว
ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ตอนนี้อวี๋ลู่ก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตโอสถทองที่อายุน้อยในสำมะโนครัวของต้าหลีแล้ว
พูดออกไปก็ทำให้คนตกใจตายได้
ฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แต่มีข้อหนึ่งที่เซี่ยเซี่ยจำเป็นต้องยอมรับ นั่นคือเขาไม่ขาดความใจกว้าง
ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองก็เป็นเช่นนี้
ไม่ว่าจะมองอย่างไร อวี๋ลู่ก็ควรไปสำนักศึกษาหลินลู่
ทว่าอวี๋ลู่กลับเลือกจะอยู่ต่อในสำนักศึกษาซานหยา
ในบรรดาคนต่างถิ่นอย่างพวกเขาที่เข้ามาในสำนักศึกษาพร้อมกันปีนั้น นอกเหนือจากในสายตาของราชสำนักต้าสุยและบุคคลระดับสูงสุดของสำนักศึกษาแล้ว ยังคงเป็นหลินโส่วอีที่เป็นตัวอ่อนในการฝึกตนที่โดดเด่นเจิดจรัสมาโดยตลอด ความสำเร็จในอนาคตก็จะสูงที่สุด หลี่เป่าผิงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงน่าสนใจที่สุด ไม่ว่าใครก็รังเกียจไม่ลง เซี่ยเซี่ยเป็นคนที่มีที่พึ่งแข็งแกร่งสุด พรสวรรค์ในด้านการเรียนรู้ของหลี่ไหวธรรมดาสามัญที่สุด แต่กลับไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากที่สุด ส่วนอวี๋ลู่นั้น เป็นคนที่ไม่สะดุดตาที่สุดมาโดยตลอด ง่ายที่จะถูกคนลืมเลือน ต่อให้หลังจากมีองค์ชายเกาเซวียนเป็นสหายก็ยังไม่มีใครรู้สึกว่าคนหนุ่มอวี๋ลู่มีค่าพอให้จับตามอง กลับกันยิ่งทำให้คนดูแคลน มองว่าเป็นคนหนุ่มที่ชอบฉกฉวยโอกาส ดีแต่เกาะขาป่ายปีนชนชั้นสูงเท่านั้น
อวี๋ลู่พลันลืมตาโพลง “คุณชายของเจ้าบอกว่า เฉินผิงอันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าที่ใกล้จะฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว พลังในการต่อสู้ที่แท้จริงมีแต่จะยิ่งสูงขึ้น”
เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ทำไม เจ้ากลัวว่าจะถูกตามทันงั้นหรือ?”
อวี๋ลู่ส่ายหน้า “ต้องถูกตามทันอยู่แล้ว”
เซี่ยเซี่ยขมวดคิ้ว “เร็วมาก?”
อวี๋ลู่พยักหน้ารับ “เร็วจนเจ้าคาดไม่ถึงเลยล่ะ”
เซี่ยเซี่ยถามอีก “ผลจากบุญคุณแห่งโชคชะตาบู๊?”
อวี๋ลู่ส่ายหน้า “ก็เพราะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าถึงได้รู้สึก…กลุ้มเล็กน้อย”
เซี่ยเซี่ยไร้คำพูดตอบโต้
ไม่รู้ว่าครั้งหน้าที่พบกัน เฉินผิงอันจะเป็นอย่างไร
เซี่ยเซี่ยนึกภาพไม่ออก
คงจะยังสะพายหีบไม้ไผ่ สวมรองเท้าสาน ทว่าตัวสูงขึ้นเล็กน้อยกระมัง?
……
หลี่เป่าผิงเองก็พักอยู่ในหอเพียงลำพัง
นี่คือเรื่องเดียวที่ศัตรูคู่แค้นสองคนอย่างชุยตงซานกับเหมาเสี่ยวตงไม่ได้ทะเลาะถกเถียงกัน
เพราะในหอพักมีที่นอนของคนสี่คน ตามหลักแล้วแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพักอยู่เพียงลำพัง ในหอพักก็ควรจะว่างเปล่า
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากเตียงนอนของนาง เตียงที่เหลืออีกสามหลังล้วนเต็มแน่น กระดาษกองกันเป็นพะเนิน แต่ละปึกถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
ด้วยเรื่องนี้อาจารย์สอนหนังสือยังอดไปบ่นกับเจ้าขุนเขาทั้งหลายไม่ได้ แม่นางน้อยคัดหนังสือที่มากพอสำหรับการถูกลงโทษร้อยกว่าครั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้จะยังลงโทษนางอย่างไร?
พวกอาจารย์ที่ลาดตระเวนยามค่ำคืนก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แทบทุกคนล้วนได้เห็นภาพที่แม่นางน้อยจุดตะเกียงคัดหนังสือทุกคืน นางตวัดพู่กันรวดเร็วราวกับบิน ออกจะขยันเกินเหตุไปบ้าง
ตอนแรกยังมีอาจารย์ผู้เฒ่าบางส่วนรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนแม่นางน้อย เข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับแม่นางน้อยอคติกับนางเกินไป เข้มงวดกับนางมากไป พวกเขายังเคยแอบมานินทากันเป็นการส่วนตัว ผลกลับกลายเป็นว่าคำตอบทำให้คนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อาจารย์เหล่านั้นบอกว่านี่ก็คืองานอดิเรกของแม่นางน้อย ไม่จำเป็นต้องให้นางคัดลอกบทความอริยะปราชญ์มากมายถึงเพียงนั้น มีบางครั้งที่หลี่เป่าผิงขาดเรียนไปนั่งเหม่ออยู่บนยอดเขาตงซาน หรือไม่ก็ออกจากสำนักศึกษาไปเดินเล่น หลังจากนั้นต้องถูกลงโทษให้คัดหนังสือตามกฎของสำนักศึกษาก็จริง แต่ต้องคัดมากขนาดนี้เสียที่ไหน ปัญหาก็คือแม่นางน้อยชอบคัดหนังสือ พวกเขาจะห้ามได้อย่างไร? ลูกศิษย์คนอื่นของสำนักศึกษา โดยเฉพาะพวกคนวัยเดียวกันที่นิสัยร่าเริงซุกซน พวกอาจารย์ต้องใช้ไม้บรรทัดและไม้เรียวบีบให้พวกเขาคัดตำรา แต่แม่นางน้อยกลับดีนัก นางคัดจนได้ภูเขาหนังสือลูกหนึ่งแล้ว
ยังดีที่แม่นางน้อยที่อาจารย์ของสำนักศึกษาทุกคนต่างรู้จักผู้นี้ นอกจากจะทำให้อาจารย์มีโทสะยามที่นางโดดเรียนแล้ว ยังมีจุดที่ทำให้คนรู้สึกว่าหาได้ยาก แน่นอนว่าไม่นับรวมคำถามประหลาดพิลึกทั้งหลายที่มักจะทำให้เหล่าอาจารย์หัวโต ในหัวสมองเล็กๆ นั่น เหตุใดถึงได้บรรจุความคิดที่น่าเหลือเชื่อไว้มากมายปานนั้น เหตุใดแม่น้ำลำคลองในใต้หล้าถึงชอบบิดไปบิดมา ท่านอาจารย์ท่านรู้คำตอบไหม? เวลาฝนตกหนัก ยุงที่อยู่นอกหอพักจะถูกเม็ดฝนกระแทกจนตายหรือไม่ ท่านอาจารย์ท่านรู้หรือไม่? แต่พอท้องฟ้าสดใสแล้วข้าออกไปหาดูบนพื้นอยู่ตั้งนานกลับหาศพของยุงไม่เจอเลยสักตัว ทำไมพวกปลาในทะเลสาบดื่มน้ำไปตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วยังไม่ท้องแตกตาย ท่านอาจารย์ท่านคงไม่รู้อีกแล้วสินะ ในตำรามีบอกไว้ไหม ข้าไปเปิดอ่านเองก็ได้…
และนอกเหนือจากที่อาจารย์ทั้งหลายซึ่งสอนหนังสือให้กับแม่นางน้อยจะปวดหัวแล้ว พวกเขายังพูดคุยสัพยอกกันเองว่า คงต้องหาเวลามารวบรวมคำถามของหลี่เป่าผิงไว้สักบทแล้วกระมัง
……
วันนี้หลี่ไหวเหมือนผีดลใจจึงไม่ได้ติดตามหลิวกวานกับหม่าเหลียนไป บอกพวกเขาว่าจะไปห้องส้วม แต่กลับไปที่ยอดเขาตงซานเพียงลำพัง
บังเอิญมาก เขาได้พบหลี่เป่าผิงที่สวมชุดกระโปรงสีแดงนั่งอยู่บนกิ่งไม้จริงดังคาด
หลี่ไหวไม่กล้าเอ่ยทักทาย เขาทำเพียงแค่ฟุบตัวลงบนโต๊ะหินของยอดเขา มองแม่นางน้อยคนนั้นที่มักจะมาปีนต้นไม้ของที่นี่บ่อยๆ อยู่ไกลๆ
หลังจากหลี่เป่าผิงเหม่อลอยเสร็จก็กอดลำต้นของต้นไม้แล้วกลิ้งตัวลงมาบนพื้นอย่างคล่องแคล่ว ชักเท้าได้ก็ออกวิ่งทันที
นางเองก็มองเห็นหลี่ไหวที่ชูมือขึ้นสูงอยู่ตรงนั้นแต่กลับพูดไม่ออกเหมือนกัน
หลี่เป่าผิงแค่ชำเลืองตามองหลี่ไหวแล้วหันหน้ากลับ วิ่งลงไปยังด้านล่างภูเขาประหนึ่งใต้ฝ่าเท้ามีสายลม
หลี่ไหวรู้สึกน้อยใจและขุ่นเคืองเล็กน้อย จึงหากิ่งไม้มาจากบนพื้นกิ่งหนึ่ง นั่งยองลงบนพื้นแล้วขีดๆ เขียนๆ
หลี่ไหวตาเป็นประกาย นึกขึ้นได้ว่าคราวก่อนตนเขียนชื่อของพ่อแม่ แล้วพวกเขาก็มาพบตนที่สำนักศึกษาจริงๆ
ถ้าอย่างนั้นหากตนเขียนชื่อของเฉินผิงอัน ก็จะได้ผลเหมือนกันมั้ย?
หลี่ไหวยิ้มกว้าง เริ่มเขียนตัวอักษรสามตัวเป็นชื่อของเฉินผิงอัน
ไม่รอให้เขาเขียนจบก็มีมือหนึ่งยื่นมาลบตัวอักษรที่อีกขีดเดียวก็จะเขียนเสร็จของเขาทิ้งไป
หลี่ไหวมึนงง มองเห็นหลี่เป่าผิงที่ไม่รู้ว่าย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่
หลี่ไหวเขียนตัวอักษรเฉินอย่างดื้อดึงอีกครั้ง หลี่เป่าผิงก็ยื่นมือมาลบมันทิ้งอีก
หากเป็นเมื่อก่อน หลี่ไหวอาจจะยอมถอยให้แล้ว แต่วันนี้เหมือนเขากินดีหมีหัวใจเสือ ต่อให้ต้องฝืนใจก็ต้องเริ่มเขียนอีกครั้ง
หลี่เป่าผิงเองก็ไม่พูดไม่จา หลี่ไหวใช้กิ่งไม้เขียน นางก็ยื่นมือออกไปลบทิ้ง
ผลคือรอจนหลี่ไหวเขียนจนกิ่งไม้กิ่งนั้นหัก แต่ก็ยังไม่สามารถเขียนอักษรตัวเฉินที่สมบูรณ์ลงบนพื้นได้สำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองคำว่าผิงอันที่อยู่ด้านหลังเลย
หลี่ไหวโยนกิ่งไม้ที่หักแล้วทิ้งไป เริ่มร้องไห้โฮ
หลี่เป่าผิงไม่สนใจหลี่ไหว หยิบกิ่งไม้นั้นมา ยังคงนั่งยองต่อไป วางคางที่เริ่มแหลมเล็กลงบนแขนตัวเอง เริ่มเขียนตัวอักษรสามคำว่าอาจารย์อาน้อย พอเขียนเสร็จก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
หลี่ไหวเช็ดหน้าตัวเองลวกๆ สูดจมูกพูดว่า “หลี่เป่าผิง หากเจ้ายังกล้ารังแกข้าแบบนี้อีก เฉินผิงอันมาเมื่อไหร่ ข้าจะฟ้องเขา! ถ้าเขาโมโหขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เต็มใจเป็นอาจารย์อาน้อยของเจ้าแล้วก็ได้!”
หลี่เป่าผิงยังคงเขียนตัวอักษรสามคำว่าอาจารย์อาน้อยต่อ แต่เปลี่ยนมาใช้รูปแบบตัวอักษรอย่างใหม่ รวบรวมสมาธิจ้องพื้น แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำข่มขู่ของหลี่ไหว
หลี่ไหวพลันเค้นรอยยิ้มออกมา ถามอย่างระมัดระวังว่า “หลี่เป่าผิง เจ้าให้ข้าเขียนสักสามตัวสิ? ศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เฉินผิงอันอาจมาถึงสำนักศึกษาของพวกเราแล้วก็ได้ ไม่โกหกเจ้าจริงๆ นะ คราวก่อนข้าคิดถึงพ่อแม่ก็เขียนแบบนี้แหละ พวกเขาสามคนล้วนมากันครบเลย เจ้าเองก็รู้นี่นา”
หลี่เป่าผิงไม่เงยหน้า แค่ยื่นกิ่งไม้ส่งให้
หลี่ไหวดีใจสุดขีด เพียงแต่ว่ากิ่งไม้บนมือเพิ่งจะขีดลงบนพื้น หลี่เป่าผิงก็ขมวดคิ้วฉับ “เขียนดีๆ!”
หลี่ไหวตกใจมือสั่น ขีดอักษรนั้นจึงบิดเบี้ยวจนแทบทนมองไม่ได้ เขาพูดเสียงสะอื้น “เจ้าทำอะไรน่ะ?!”
หลี่เป่าผิงช่วยลบตัวอักษรนั้นทิ้งไปให้
หลี่ไหวยิ้มทั้งน้ำตา เริ่มเขียนตัวอักษรเฉินอย่างตั้งใจ
หลังจากเขียนเสร็จ
หลี่เป่าผิงก็กวาดตามองรอบด้าน “คนล่ะ?”
หลี่ไหวหน้ามุ่ย “เร็วขนาดนั้นซะเมื่อไหร่”
หลี่เป่าผิงลุกขึ้นวิ่งปรู๊ดไปที่ต้นไม้ใหญ่ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ทอดสายตามองไปไกล
หลี่ไหวกลอกตา ในใจรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วจึงโยนกิ่งไม้ทิ้งแล้วเริ่มวิ่งหนี
เพียงแต่เขาหรือจะวิ่งได้เร็วเท่าหลี่เป่าผิง เพียงไม่นานหลี่เป่าผิงก็วิ่งตามมาทัน หลี่ไหวตกใจรีบทรุดตัวนั่งยองยกมือกุมหัว
เพียงแต่ว่าคราวนี้หลี่เป่าผิงไม่ได้ตีเขาอย่างที่หาได้ยาก นางวิ่งไปบนถนนภูเขาจนกระทั่งไปถึงหน้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ไปเดินเล่นอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่ในเมืองหลวงต้าสุย
ในขณะที่หลี่เป่าผิงท่องเที่ยวอยู่ตามถนนซอกซอยของเมืองหลวงอย่างกระตือรือร้น ส่วนหลี่ไหวที่หลังจากพ้นหายนะมาได้ก็ย้อนกลับไปที่หอพัก
ตรงประตูใหญ่ของสำนักศึกษาซานหยาต้าสุย
มีคนสี่คนที่ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง คนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่และหีบไม้ไผ่กำลังยื่นเอกสารผ่านด่านส่งให้กับชายชราลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าอยู่ตรงประตู
ชายชราลัทธิขงจื๊อมองอยู่นาน บนเอกสารผ่านด่านมีตราประทับของแคว้นต่างๆ ในสองทวีป ตราประทับเบียดกันแน่นขนัด ในใจของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาเงยหน้ายิ้มถาม “คุณชายเฉินท่องเที่ยวไปหลายสถานที่ขนาดนี้เชียวหรือ?”
คนหนุ่มที่มาเยือนสำนักศึกษาผงกศีรษะรับพร้อมรอยยิ้มบางๆ
—–