กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 407.3 ในตำรานอกตำรา

บทที่ 407.3 ในตำรานอกตำรา

ชุยตงซานยื่นมือมาขยี้ซีกแก้ม หัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ฮ่องเต้ต้าสุยให้ความสำคัญกับชะตาแคว้น แต่คนที่อยู่เบื้องหลังจะสนใจหรือว่าต้าหลีกับต้าสุยจะเป็นหรือตาย จะพินาศวอดวายไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายหรือไม่? หากการลอบสังหารคนสองคนแล้วสามารถตัดสินแนวโน้มของสถานการณ์ในหนึ่งทวีปได้ เจ้าเว่ยเซี่ยนจะหวั่นไหวหรือไม่? ลูกศิษย์สำนักการค้ายินดีที่จะเห็นเหตุการณ์นั้น การทำสงครามนี่นะ ใช้เงินคนตาย ถึงจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ส่วนยอดฝีมือสำนักจ้งเหิงที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ หลบซ่อนอยู่ลึกหลังม่านหลายชั้นก็ยิ่งเต็มใจจะทำเช่นนี้!”

จิตใจของเว่ยเซี่ยนกระเพื่อมไหว มือสองข้างถึงกับสั่นเบาๆ

นี่ต่างหากจึงจะเป็นวิถีแห่งโลกที่ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนท่านนี้ใฝ่หาเรื่อยมา!

การช่วงชิงท่ามกลางกลียุค!

บนภูเขาล่างภูเขา กษัตริย์ อัครเสนาบดี เทพเซียนและเซียนซืออะไรทั้งหลายแหล่ ล้วนถูกหอบเข้าไปในกระแสแห่งสถานการณ์ใหญ่ ทุกคนล้วนเป็นหมากที่ไม่มีอิสระเป็นของตัวเอง

เพียงแต่ว่าดูเหมือนชุยตงซานจะนึกถึงเรื่องที่น่าเสียใจอะไรขึ้นมาได้ เขาเช็ดใบหน้า พูดอย่างเศร้าซึมว่า “เจ้าดูสิ ข้ามีความสามารถและความรู้มากมายถึงเพียงนี้ ในเวลานี้ก็ยังทำได้แค่เรื่องหยุมหยิมยิบย่อยไม่ใช่หรือ? คิดไปคำนวณมา ก็แค่การกรีดเนื้อมาจากขายุง ทำการค้าขายเล็กๆ เท่านั้น เจ้าตะพาบเฒ่านั่นวางแผนฮุบทั้งแจกันสมบัติทวีปอย่างสบายอุรา ข้ากลับได้แค่ทำหน้าที่เฝ้าบ้านแทนเขา ต้องคอยมานั่งจับจ้องสถานที่อย่างต้าสุยที่เล็กเท่าเปลือกหอยทาก กิจการเล็กเกินไปก็ได้แต่ทำเรื่องส่งเดชไปทั่ว แถมยังต้องคอยกังวลว่าหากทำได้ไม่ดีพอจะถูกอาจารย์ขับไล่ออกจากสำนัก…”

ชุยตงซานกำมือเป็นหมัดทุบลงบนหัวใจของตัวเองแรงๆ “เหล่าเว่ย หัวใจข้าเจ็บปวดยิ่งนัก”

จากนั้นเว่ยเซี่ยนก็เห็นว่าเด็กหนุ่มชุดขาวกลิ้งตัวไปทั่วพื้นห้อง ส่วนเขาก็ก้มหน้าลงมองกวีตกอันดับที่ว่ากันว่าสามารถทำให้มองเห็นความเป็นจริงในมือ

เขาไม่ได้เจ็บปวดใจ แต่เหนื่อยใจ

……

คนสกุลเกาของต้าสุยปฏิบัติต่อปัญญาชนดีเป็นพิเศษ นี่คือประเพณีสืบทอดที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งแคว้น

นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจ้วงหยวนคนใหม่อย่างจางไต้ผู้นี้เลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังคงอยู่ในสำนักฮั่นหลิน แต่กลับมีเรือนสามชั้นสิบห้องอยู่ในเมืองหลวงแล้ว เป็นเงินที่กรมครัวเรือนของราชสำนักควักจ่ายให้

ยามสนธยาของวันนี้ จางไต้สาวเท้าเดินเล่นอยู่ในเรือนที่ว่างเปล่า ป้อนอาหารให้ปลาหลีหางแดงหลายตัวที่อยู่ในอ่างใบใหญ่แล้วก็ไปศึกษาตำราหมากล้อมเพียงลำพังในห้องหนังสือ

จางไต้มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจนในท้องถิ่น บทความที่เขาเขียนขึ้นในการสอบระดับอำเภอเรียกว่าน่าชมเชยพอใช้ได้ ไม่ถือว่าน่าตื่นตาตื่นใจอะไร แต่การสอบหน้าพระที่นั่งกลับสร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน จนกระทั่งกลายเป็นปลาที่กระโดดข้ามประตูมังกร

หลังจากได้กลายเป็นจ้วงหยวนก็ย้ายมาอยู่ที่เรือนหลังนี้ การเปลี่ยนแปลงเดียวก็คือจางไต้จ้างสารถีหนึ่งคนและรถม้าหนึ่งคัน นอกจากนี้แล้วจางไต้ก็ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอะไรมากนัก ยากจะจินตนาการได้ว่าคนหนุ่มที่เพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ ผู้นี้ก็คือผู้นำด้านวรรณกรรมคนใหม่ของต้าสุย ยิ่งไม่อาจนึกภาพออกว่าเขาจะไปปรากฏตัวอยู่ที่จวนตระกูลไช่ในปัจจุบัน ออกความเห็นอย่างฮึกเหิม สุดท้ายยังสามารถจากไปโดยนั่งรถม้าคันเดียวกับเหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิวที่เป็นบรรดาศักดิ์หลังสร้างคุณความชอบบุกเบิกแคว้น

ทั้งหมดนี้ ไช่เฟิงก็ดี เหมียวเริ่นก็ช่าง ล้วนคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมเหตุสมผล จางไต้มีสถานะจ้วงหยวนที่มีราคาอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่จิตวิญญาณของต้าสุยที่มีชื่อเสียงไปทั่วราชสำนัก ตัวตนต่ำต้อยแต่กลับขาวสะอาด กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อน ดังนั้นจึงควบคุมได้ง่าย รู้สึกว่าคนผู้นี้ยินดีทำเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง เป็นผู้นำแก่ฝูงชน

จางไต้ได้ยินเสียงเคาะประตูก็หยุดการเล่นหมากล้อม เงยหน้ากล่าวว่า “เข้ามา”

คือสารถีเฒ่าที่มาขอพักอยู่ในเรือน

ผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าประตูห้องหนังสือที่ค่อนข้างมืดสลัว เอ่ยเชื่องช้า “เหมาเสี่ยวตงพาคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันออกมาจากสำนักศึกษา”

“พวกเขาไม่ได้ป่าวประกาศว่าจะฆ่าปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงให้ตายหรอกหรือ ก็ไปฆ่าได้ตามสบายเลย”

จางไต้เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าบอกให้คนที่ถูกจัดวางไว้ในสำนักศึกษาหาข้ออ้างบอกให้จ้าวซื่อและกวางขาวออกจากสำนักศึกษาไปพร้อมกัน หาสถานที่เงียบๆ ตีให้สลบแล้วซ่อนตัวเอาไว้ หลังจากควบคุมกวางขาวตัวนั้นได้แล้ว จำไว้ว่าเจ้าอย่าทำให้เหลียงเริ่นซือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่เฝ้าประตูเกิดคลางแคลงใจ ขอแค่เข้าไปในสำนักศึกษาได้อย่างราบรื่น ลงมือให้เด็ดขาดสักหน่อย ต้องให้ตายคนหนึ่ง หากตายได้สองคนก็ยิ่งดี”

ผู้เฒ่าพยักหน้า

จางไต้ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “คืนนี้ข้าจะออกจากเมืองหลวงต้าสุย”

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ทำเรื่องนี้สำเร็จ คุณชายกลับไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วย่อมต้องมีอนาคตยาวไกลหมื่นลี้รออยู่”

จางไต้ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

พอผู้เฒ่าจากไปแล้ว

จางไต้ก็วางตำราหมากล้อมในมือลง หลุบตาต่ำมองสถานการณ์หมากบนกระดาน

กลยุทธสร้างความสามัคคีในกลุ่มผลประโยชน์และแตกสามัคคีในกลุ่มศัตรู

……

ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้แจกันสมบัติทวีป ริมอาณาเขตของบริเวณใกล้เคียงกับเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน มีจวนส่วนตัวแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังตั้งอยู่

คนหนุ่มที่เป็นหนึ่งในผู้นำสายลับของศาลาคลื่นมรกตแคว้นต้าหลีมีสีหน้ามืดทะมึน

ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงมีสถานะแตกต่างกันออกไป ทว่าทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือด้านการใช้พู่กันของวงการขุนนาง วงการการประพันธ์แคว้นชิงหลวน แน่นอนว่ายิ่งเป็นคนสนิทชิดเชื้อที่ถูกราชสำนักต้าหลีซื้อใจ

หลี่เป่าเจินมองพื้นดิน วนนิ้วไปตามขอบจอกชาที่เขายังไม่ได้ดื่มน้ำชาด้านในเลยสักอึก

ทุกคนมีท่าทางหวาดหวั่นกระสับกระส่าย

พวกเขามารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้เพราะต้องการทำเรื่องหนึ่ง

นั่นคือใช้พู่กันแต่ละด้ามลากหลิ่วจิ้งถิงผู้นำแห่งวงการวรรณกรรม เจ้าประมุขด้านวัฒนธรรม รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่กลับไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษในสวนสิงโตผู้นั้นให้จมลงบ่อโคลน ต้องการให้คนผู้นี้ล้มแล้วไม่อาจลุกกลับคืนมาได้อีก ยากที่จะเป็นจุดศูนย์รวมกองกำลังให้กับเหล่าปัญญาชนที่เร่งรีบเดินทางลงใต้กลุ่มนั้น แคว้นชิงหลวนยังคงต้องการผืนป่าแห่งวรรณกรรมที่ต้นไม้เขียวชอุ่มรกครึ้ม แต่ไม่ต้องการไม้ที่เด่นเกินไพรอย่างหลิ่วจิ้งถิง

มีเพียงชื่อเสียงของหลิ่วจิ้งถิงย่อยยับลง ปัญญาชนตระกูลใหญ่เหล่านั้นถึงจะแตกฉานซ่านเซ็น

ต้าหลีเต็มใจจะเห็นภาพนี้ แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนก็ยังรู้สึกว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย จะได้ไม่ต้องถูกคนต่างถิ่นที่แยกแยะสถานการณ์ไม่ออกกลุ่มนั้นเข้ามาควบคุม วันๆ ต้องถูกพวกคนที่ไม่รู้จักเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามกลุ่มนี้ชี้ไม้ชี้มือออกคำสั่งอยู่ในราชสำนักแคว้นชิงหลวน ต้องทนฟังวิธีการแก้ปัญหาสารพัดเรื่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงเวลานั้นฮ่องเต้สกุลถังยังสามารถนั่งลงแบ่งสมบัติกับต้าหลี ต่างคนต่างซื้อใจพวกชนชั้นสูงไปควบคุมเอง

ทว่าคนหลายสิบคนในคืนนี้ใช้กองกำลังของทุกตระกูลมาพยายามหาแผนการโจมตีหลิ่วจิ้งถิงอย่างกำเริบเสิบสาน แทบจะพลิกค้นบทความ กวีนิพนธ์ เอกสารรายงานทุกฉบับของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าออกมาแล้วไล่หาช่องโหว่ในทุกคำทุกประโยค

คาดไม่ถึงเลยว่าไม่เพียงแต่ได้ผลลัพธ์ไม่เด่นชัดนัก ยังถึงขั้นชักนำให้ฝูงชนจำนวนมากที่เป็นปัญญาชนของแคว้นชิงหลวนโกรธแค้น ขุนนางในราชสำนักบางคนที่เดิมทีความเห็นไม่ตรงกับหลิ่วจิ้งถิง และยังมีผู้รอบรู้ในท้องถิ่นอีกมากมายต่างก็ทนมองไม่ไหว เริ่มพากันช่วยพูดแทนหลิ่วจิ้งถิง โดยเฉพาะปัญญาชนตระกูลใหญ่ที่มุ่งหน้าลงใต้มายังที่แห่งนี้ที่ยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้น พากันวิ่งวุ่นไปสี่ทิศเพื่อหลิ่วจิ้งถิง แม้แต่ข่าวเล็กๆ ที่บอกว่าหลิ่วจิ้งถิงจะย้อนกลับมาสู่ใจกลางของราชสำนัก เลื่อนขั้นมารับตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการก็ยังเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว

หลี่เป่าเจินเงยหน้า ยิ้มพูดว่า “ทุกคนไม่ต้องตึงเครียด เรื่องนี้ทำได้ไม่ดี เปิดประตูมาไม่เด่นสะดุดตา กลับกันยังถูกป้ายสีดำใส่ สะดุดล้มหัวทิ่ม คนแรกที่โดนมีดจ้วงแทงย่อมเป็นข้าหลี่เป่าเจิน หลังจากนั้นจึงจะเป็นคราวของพวกเจ้า หากใต้เท้าราชครูเข้าใจ ไม่แน่อาจรู้สึกว่าพวกเรามีเหตุผลให้พออภัยได้ เปลี่ยนกระดานใหม่แล้วให้โอกาสพวกเราอีกครั้ง”

ไม่พูด ‘คำปลอบใจ’ พวกนี้ก็ยังดี แต่พอหลี่เป่าเจินพูดออกมาแบบนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

ขนลุกขนพองไปทั้งร่าง

แสงเทียนในห้องโถงใหญ่ส่ายสะบัด

แน่นอนว่าหลี่เป่าเจินย่อมต้องเดือดดาลเป็นที่สุด ไอ้พวกเศษสวะไร้ค่า!

และเวลานี้เองในห้องโถงใหญ่ก็มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏ คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านใน อีกคนหนึ่งรออยู่นอกประตู

มองปัญญาชนสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ผู้นั้น หลี่เป่าเจินรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าจะอ้อมพ้นคนผู้นี้ไปแล้ว และตนก็สามารถทำเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นลงอย่างงดงาม ไหนเลยจะคิดว่าตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

คนผู้นั้นพูดเนิบช้าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “ทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ทำสำเร็จไปได้ครึ่งทางแล้ว หลังจากนี้ยังมีก้าวเล็กๆ อีกสามก้าวให้ต้องเดิน”

“ก้าวแรก หยุดการสาดน้ำโคลนโจมตีหลิ่วจิ้งถิงชั่วคราว หันกลับมาพูดยกย่องชมเชยรองเจ้ากรมผู้เฒ่าให้เกินจริง และในก้าวนี้ยังแบ่งขั้นตอนออกเป็นอีกสามขั้นตอน ข้อแรก ทุกท่านรวมถึงสหายของพวกท่านต้องพากันโยนบทความที่แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นกลางและสุขุมมีสติออกไปบางส่วนเพื่อให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงต่อเรื่องนี้ก่อน พยายามอย่าทำให้บทความของตัวเองไร้พลังในการชักจูง ข้อที่สองเริ่มเชื้อเชิญคนอีกกลุ่มหนึ่งมาทำให้หลิ่วจิ้งถิงกลายเป็นเทพเจ้า ยิ่งใช้ถ้อยคำที่ชวนเลี่ยน ไพเราะแต่ไร้ประโยชน์ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี โอ้อวดคุยโวถึงบทความของหลิ่วจิ้งถิงให้ถึงขั้นที่หากเขาตายไปรูปปั้นก็สามารถถูกยกไปบูชาในศาลบุ๋นได้ ข้อที่สามเขียนบทความขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง วิจารณ์โจมตีขุนนางและปัญญาชนที่เคยแก้ข่าวให้หลิ่วจิ้งถิงทุกคน ไม่แบ่งแยกดีเลว ยิ่งใช้คำที่เลวร้ายเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่ต้องระวังไว้ว่าจุดประสงค์สำคัญในการเขียนบทความคือต้องบรรยายให้คนทุกคนที่เคยช่วยเหลือหลิ่วจิ้งถิงเป็นเหมือนพวกสุนัขรับใช้”

แรกเริ่มที่ทุกคนได้ยินคำพูดประโยคแรกของคนผู้นี้ต่างก็หัวเราะเสียงหยัน นินทาอยู่ในใจไม่หยุด

เพียงแต่ยิ่งฟังไปถึงช่วงท้ายก็ยิ่งรู้สึกว่า…นี่เป็นวิธีใหม่เอี่ยมที่ควรลอง!

คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า “ก้าวที่สอง หลังจากรออย่างสงบระยะเวลาหนึ่งค่อยหันหัวหอกชี้กลับไปที่หลิ่วจิ้งถิงคนเดียวอีกครั้ง จำเป็นต้องใช้ลูกไม้เล็กน้อย วัตถุประสงค์และรากฐานของบทความทุกฉบับให้เน้นถ้อยคำอย่าง ‘แม้ว่า’ ‘ต่อให้’ ยกตัวอย่างเช่น ‘แม้ว่า’ คุณธรรมของหลิ่วจิ้งถิงผู้นี้จะมีข้อบกพร่อง แต่จุดด่างพร้อยเล็กน้อยไม่อาจบดบังจุดเด่น ลูกศิษย์ของเขามีคนที่มีความสามารถอยู่มากมาย จากนั้นพวกเจ้าก็สามารถยกวีรกรรมต่างๆ ขึ้นมา จุดสังหารให้อยู่ที่พวกขุนนางชื่อเสียงโด่งดังที่ทำให้ผู้คนอิจฉาตาร้อนทั้งหลาย หรือยกตัวอย่างเช่น ‘ต่อให้’ ผลงานด้านการปกครองของหลิ่วจิ้งถิงจะธรรมดาสามัญ แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือว่าเป็นคนมือสะอาดและสุจริต ก็แค่ได้ครอบครองสวนสิงโตที่มีชื่อเสียงไปครึ่งทวีปเท่านั้น”

คนผู้นั้นเอ่ยอธิบาย “เหตุใดต้องทำเช่นนี้? เพราะสำหรับคนนอกแล้ว บทความเหล่านี้หากมองผิวเผินนับว่ายังสุภาพและเยือกเย็น แล้วก็เป็นการช่วยแก้ตัวแทนให้กับหลิ่วจิ้งถิง หลายคนที่เดิมทีวางตัวเป็นกลางไม่เข้าร่วมศึกแห่งวงการวรรณกรรมครั้งนี้จะเริ่มยอมรับสมมติฐานที่กลายเป็นจริงนั้นไปโดยปริยาย บวกกับการอธิบายที่ซุกซ่อนจิตสังหารในภายหลังก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ”

ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงหันมามองหน้ากัน

คนผู้นั้นยิ้มบางๆ “ก้าวที่สามอยู่ที่การเขียนบทความด้านคุณธรรมส่วนตัว เช่นว่าจ้างคนมาเขียนแทน ไม่ต้องสนใจว่าลายมือจะดีหรือเลว ขอแค่สอดแทรกมุขตลกไปด้วยก็พอ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องรักใคร่ที่หลิ่วจิ้งถิงไปอยู่ในอารามชีท่ามกลางค่ำคืนที่ลมพายุพัดกระหน่ำ ยกตัวอย่างเช่นเขาเป็นตาแกที่ผิดประเวณีในครอบครัว หรือยกตัวอย่างเช่นดอกหลีกดทับดอกไห่ถัง (ดอกหลีเป็นสีขาว ดอกไห่ถังเป็นสีแดง ดอกหลีกดทับดอกไห่ถังจึงเปรียบเปรยว่าคนแก่ผมขาวแต่งสาวน้อยมาเป็นอนุภรรยา) ระหว่างเจ้าสวนสิงโตกับสาวใช้หน้าตางดงาม แล้วก็ถือโอกาสแต่งกลอนคล้องจองที่ผู้คนท่องได้คล่องปาก เอามาแต่งเป็นนิทาน จ้างให้นักเล่านิทานและคนในยุทธภพช่วยกันเผยแพร่ออกไปให้ทั่ว”

คนผู้นั้นมองผู้คนที่ทั้งตกตะลึงทั้งไม่เข้าใจ ยังคงเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น “อย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์ บัณฑิตตกอับที่ไม่มีตำแหน่งชื่อเสียงชอบเห็นเรื่องแบบนี้มากที่สุด และชาวบ้านที่ไม่สนใจความจริงก็ชอบฟังเรื่องพวกนี้ ในกลุ่มของปัญญาชน สามคนก็กลายเป็นพยัคฆ์ได้ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ฝูงยุงรวมกันก็กลายเป็นสายฟ้าได้เช่นกัน”

สุดท้ายคนผู้นั้นคลี่ยิ้ม หยิบกระดาษหลายแผ่นออกมา เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลี่เป่าเจิน ยื่นส่งให้อีกฝ่ายพลางกวาดตามองรอบด้าน “ทุกท่านที่อยู่ที่นี่อาจไม่รู้ว่าวิธีการ ราคาในการจัดพิมพ์ตำราเรื่องรักใคร่ รวมไปถึงการจ้างนักเล่านิทานมาเล่าเรื่องต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ เรื่องยิบย่อยที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงทั้งหลายนี้ ข้าเขียนไว้บนกระดาษหมดแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกท่านกลายเป็นคนเสียเปรียบที่ต้องจ่ายเงินเกินจริงโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งชาวบ้านตัวเล็กๆ หลายคนที่ทำการค้าเป็น แม้ฐานะจะต่ำต้อย แต่อันที่จริงกลับเจ้าเล่ห์และเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ต่างคนต่างมีวิธีในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก หากปล่อยให้พวกเขาได้เปรียบในเรื่องเงินทอง ไม่แน่ว่าทุกท่านอาจถูกพวกเขาดูแคลน”

คนผู้นี้บอกลาจากไป

เดินไปใกล้ถึงประตู เขาก็พลันหมุนตัวกลับมายิ้มกล่าวว่า “เพราะทุกท่านมีผลงานอันโดดเด่นแสดงให้เห็นมาก่อน ข้าถึงได้มีโอกาสโอ้อวดกลเม็ดเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ หวังว่าจะช่วยเหลือพวกท่านได้ไม่มากก็น้อย”

ทุกคนเหม่อมองคนผู้นั้นเดินจากไป

หลี่เป่าเจินปากคอแห้งผาก กำกระดาษที่อยู่ในมือแน่น

คนอื่นๆ ที่เหลือก็ยิ่งรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ

ต้องรู้ว่าคนผู้นั้นมีนามว่าหลิ่วชิงเฟิง

คือบุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิง

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท