กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวเหล่าเฉิงก็เด็ดกิ่งหลิวมากิ่งหนึ่งแล้วเริ่มถักอย่างคล่องแคล่ว “ข้าคุณสมบัติดี โชคก็ดียิ่งกว่า เส้นทางในการฝึกตนของข้าเจอกับอุปสรรคอยู่ตลอดเวลา ยากลำบากมาไม่น้อย แต่ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาสำคัญมักจะก้าวเดินมาได้อย่างราบรื่นเสมอ ดังนั้นจึงเลื่อนเป็นก่อกำเนิดมาตั้งนานแล้ว แต่พันไม่ควรหมื่นไม่ควร ข้าไม่ควรชอบนางเลยจริงๆ ที่ร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นคือนางยังมองออก ตอนแรกเพื่อหลบเลี่ยงนาง ข้าจึงออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ผลกลับกลายเป็นว่าผ่านไปหลายสิบปี กิ่งหลิวบนเกาะกงหลิ่ว (กิ่งหลิวกับชื่อเกาะกงหลิ่วเขียนเหมือนกันความหมายเดียวกัน แต่คนไทยจะชินกับการเรียกต้นหลิวมากกว่าต้นหลิ่ว ผู้แปลจึงใช้คำว่าต้นหลิวแทนต้นหลิ่ว) ล้วนถูกนางเด็ดมาจนหมดแล้ว (เด็ดกิ่งหลิวมาถักทอเหมือนการบอกให้รู้ว่ารอคอยคิดถึงและรอคอยคนที่จากไปไกล) ข้าก็เลยเริ่มใจอ่อน คิดว่าไม่อย่างนั้นก็ทำตามใจตัวเองไปดีกว่า ก่อนหน้านี้ไร้หัวใจเกินไปถึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้เสียที ไม่แน่ว่าเมื่อนิ่งอย่างถึงที่สุดอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ กลับกลายเป็นว่ามีโอกาสฝ่าทะลุคอขวด ข้าก็เลยผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับนาง และคอขวดก็มีการขยับเคลื่อนจริงๆ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้น เนื่องจากปีนั้นนางต้องการอยู่กับข้าไปนานๆ อยากจะมีชีวิตที่ยืนยาว แต่กลับไม่ยอมมาขอร้องข้า กลัวว่าข้าจะดูแคลนนาง ไม่รู้ว่านางไปหาตำราลับที่ไม่สมบูรณ์แบบเล่มหนึ่งมาจากที่ใด วิธีการของมันค่อนข้างจะนอกรีต จึงเกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก ข้าถึงต้องทุ่มเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่เพื่อช่วยเหลือนาง เงินสะสมของเกาะกงหลิ่วในยามนั้นหายไปเกือบครึ่ง แต่ยังดี แม้จะทุลักทุเลก็ยังได้เป็นผู้ฝึกตนโอสถทอง แต่เพียงไม่นานข้าก็ค้นพบว่าการดำรงอยู่ของนางคือฝันร้ายสำหรับข้า แต่ข้าก็ไม่อยากสังหารนางเพื่อชดเชยจุดด่างพร้อยในจิตใจ ให้ตัวเองได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน จึงผลักดันนางให้ขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพ จากนั้นก็ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ว่าข้าผิดไปแล้ว ผิดมาก ผิดมหันต์ เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป นางที่ถูกข้าทิ้งไว้บนเกาะกงหลิ่วก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะนางกลัวตาย โอสถทองเม็ดนั้นของนางเดิมทีก็กึ่งจริงกึ่งปลอม ลมรั่วเข้าแปดทิศ ก่อนหน้านี้นางใช้วิธีลัดของสำนักนอกรีตมาสร้างโอสถ สภาพจิตใจจึงย่ำแย่ซ้ำซ้อน พอข้าจากไปเช่นนี้ก็ยิ่งเหมือนการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ทำให้นางยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้นทุกที สุดท้ายมีวันหนึ่งนางออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วเริ่มตามหาข้าทั่วสารทิศอย่างบ้าคลั่ง ทุกที่ที่ข้าเคยปรากฏตัวหรืออาจจะเคยผ่านไป นางล้วนไปเยือนมาหนึ่งรอบ ด้วยนิสัยของนาง ออกไปจากเกาะกงหลิ่ว อีกทั้งไม่มีตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพ ตลอดทางจึงเผชิญแต่ความยากลำบาก หากไม่เป็นเพราะอาศัยสมบัติอาคมสองชิ้นที่ข้ามอบให้นาง ไม่แน่ว่าอาจต้องตายไปทั้งอย่างนั้น…แต่สำหรับพวกเราทั้งสองฝ่ายแล้ว นี่กลับกลายเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง”
หลิวเหล่าเฉิงเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งหมุนกำไลกิ่งหลิวเบาๆ “ตอนที่ข้าหานางพบ จิตวิญญาณของนางแตกสลายคล้ายแผ่นกระเบื้องร้อยชิ้นพันชิ้น ต่อให้จนกระทั่งถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่านางอาศัยอะไรถึงอดทนจนวันที่ได้พบเจอข้า หากเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง เกรงว่าก็คงทนไม่ไหว นางในเวลานั้นไม่เหลือสติอยู่แล้ว แค่พอจะรู้สึกได้ว่าข้าไม่ค่อยเหมือนกับคนอื่น นางจึงยืนอยู่ที่เดิม ตอนนั้นสายตานางที่มองข้า…เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคือความรู้สึกแบบใด? เจ้าไม่มีทางเข้าใจ นางพยายามที่จะจดจำข้าให้ได้ คล้ายกับว่ากำลังงัดข้ออยู่กับสวรรค์”
หลิวเหล่าเฉิงโยนเบาๆ กำไลกิ่งหลิวก็ตกลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยน
ริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำถูกเปิดใช้งานอย่างเงียบเชียบ
น้ำเสียงของหลิวเหล่าเฉิงเริ่มเย็นชา “นาทีนั้น ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอย่างข้าที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ จิตแห่งเต๋าเกือบจะแตกสลายคาที่ ไม่ต่างจากสภาพจิตวิญญาณของนาง จนกระทั่งบัดนั้นข้าถึงเพิ่งจะกระจ่างแจ้งอยู่ในใจว่า ที่แท้นางคือโอกาสใหญ่ในการบรรลุมรรคาของข้าจริงๆ ปีนั้นที่ข้าเลือกทำตามใจตัวเอง ไม่ใช่ความผิดพลาด ดังนั้นข้าจึงต้องกำจัดมารในใจ สังหารนางด้วยมือของตัวเอง”
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะเสียงเย็น “เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้าใจดำอำมหิตมากพอ แต่มันกลับยังไม่ผสานกับมหามรรคาของข้าได้สมบูรณ์แบบมากพอ ถึงได้มีหงซูอย่างในทุกวันนี้ เดิมทีจิตวิญญาณของนางควรแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง แม้แต่โอกาสไปจุติใหม่ก็ยังไม่มี ยิ่งไม่มีทางมีหงซูที่ไหนมาปรากฏตัวบนเกาะจูเสียน จากนั้นก็ถูกเจ้าคนโง่เขลาเบาปัญญาอย่างหลิวจื้อเม่านำมากุมเป็นจุดอ่อน ในเมื่อฆ่าไปแล้วครั้งหนึ่ง ฆ่าอีกครั้งจะเป็นไรไป?”
สีหน้าของหลิวเหล่าเฉิงเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “ความใจอ่อนเพียงแค่เสี้ยวเดียวในเวลานั้น ทำให้ข้าที่กำลังฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดเกือบจะต้องกลายเป็นเหยื่อของเทวบุตรมารนอกโลก ศึกครั้งนั้นต่างหากที่เป็นการเข่นฆ่าสังหารที่เหี้ยมโหดที่สุดในชีวิตนี้ของข้าหลิวเหล่าเฉิง เทวบุตรมารนอกโลกใช้รูปโฉมของหวงฮั่น…ไม่สิ มันก็คือนาง นางก็คือมัน ก็คือหวงฮั่นในใจของข้าคนนั้น ในทะเลสาบหัวใจ กายธรรมร่างทองของข้าสูงเท่าไหร่ นางก็สูงเท่านั้น ตบะของข้าแข็งแกร่งเท่าไหร่ พละกำลังของนางก็แข็งแกร่งเท่านั้น ทว่าจิตใจของข้าได้รับบาดเจ็บ นางกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ถูกข้าตีให้แหลกสลายไปครั้งหนึ่ง ก็ปรากฏตัวอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง นางสู้สุดชีวิตกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แทบไม่เคยหยุดพัก สุดท้ายนางก็เปิดปากด่าว่าข้าหลิวเหล่าเฉิงเป็นคนทรยศ ด่าว่าเพื่อบรรลุมรรคาของตัวเอง แม้แต่นางก็ยังฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่าได้ลงคอ”
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะหยันตัวเอง “นั่นถือเป็นครั้งแรกที่นางด่าข้าเลยนะ ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่บอกว่าฆ่านางไปแล้วครั้งหนึ่งกลับไม่ถูกต้องนัก เพราะอันที่จริงข้าฆ่านางไปเป็นร้อยครั้งแล้ว”
“อันตรายหรือไม่?”
หลิวเหล่าเฉิงถามเองตอบเอง “เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังก็ไม่ต่างจากเด็กเล็กที่ทะเลาะกัน เกาผิวหนังถลอกแล้วร้องไห้จ้าก็เท่านั้น”
“หลังจากถูกข้าสังหารไปอีกนับครั้งไม่ถ้วน นางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จ้องมองข้าอย่างหลงใหลเหมือนในอดีต ราวกับว่าพยายามจะนึกให้ออกว่าข้าเป็นใคร แล้วก็เหมือนมีอะไรดลใจ สติเสี้ยวหนึ่งของนางจึงกลับคืนมา เลือดเริ่มไหลออกมาจากดวงตา ใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด นางใช้เสียงในใจบอกข้าอย่างขาดๆ หายๆ ว่า ให้รีบลงมือ อย่าได้ลังเลเด็ดขาด สังหารนางแค่อีกครั้งก็พอแล้ว นางจะไม่เสียใจที่ชีวิตนี้เคยชอบข้า นางแค่เกลียดที่ตัวเองไม่สามารถเดินเคียงข้างข้าไปได้ถึงท้ายที่สุด…”
“ตอนนั้นสภาพจิตใจของข้าวุ่นวายอย่างหนัก เกือบจิตตายปณิธานสลาย เพื่อคำว่าห้าขอบเขตบน เพื่อให้มีที่หยัดยืนอยู่บนยอดเขา มันคุ้มกันแล้วหรือ? ไม่มีนางอยู่ข้างกายก็จะกลายเป็นเทพเซียนที่อิสระเสรีได้จริงๆ หรือ?”
“นางเดินเข้ามาหาข้าทีละก้าวอย่างโซซัดโซเซ แขนขาทั้งสี่แข็งทื่อ แต่กระนั้นก็ยังพยายามใช้เสียงในใจพูดสามคำซ้ำๆ ว่า ‘ขอร้องเจ้าล่ะ’ ประโยคสุดท้ายนางเอ่ยว่า ‘คิดซะว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อข้า’”
“ข้าจึงทุบตีนางให้แหลกสลายเหมือนคนบ้า ฟ้าดินเงียบสงัด”
“ข้าล้มลงมิอาจลุกขึ้นมาได้อีก”
“ผลคือเมื่อข้าลืมตาขึ้นมองไปบนท้องฟ้า หวงฮั่นนางเหมือนนางฟ้าที่โบยบินลงมา หุ่นอรชรอ้อนแอ้น คาดเข็มขัดหลากสีอาภรณ์พลิ้วไสว นางไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่าในดวงตานางได้บอกกล่าวทุกสิ่งอย่างแล้วว่า ความดิ้นรนพยายามทั้งหลาย ความรักความผูกพันลึกซึ้งทั้งหมดก่อนหน้านี้ เป็นเพียงแค่การเล่นละครของนางเท่านั้น”
หลิวเหล่าเฉิงหยุดพูด ไม่ได้เล่าจุดจบระหว่างตนกับหวงฮั่น หรือควรจะพูดว่าเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้น แต่หันหน้ากลับมา
ผลคือเห็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นทำหน้ายับยุ่งทอดสายตามองไปไกล ริมฝีปากสั่นระริกเบาๆ
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ดูท่าคงจะมีแม่นางที่ชอบแล้วสินะ เพียงแค่ลองพาตัวเข้ามาในสถานการณ์ก็รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้เกิดกับตัวเอง มิอาจแบกรับได้ไหว”
คนทั้งสองเดินหน้าต่อ หลิวเหล่าเฉิงกล่าวอย่างสะท้อนใจ “ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า แน่นอนว่าเป็นเพราะข้าวางได้ลง อีกอย่างก็คือเจ้าสามารถค้นหาชาติกำเนิดของหงซูได้เจอ อีกทั้งสาเหตุที่แท้จริงที่เจ้ามาเยือนเกาะกงหลิ่วแห่งนี้ ทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนคงไม่มีทางเดาได้ว่าจะเพียงแค่เพราะหมากที่ถูกทอดทิ้งซึ่งไม่มีน้ำหนักตัวหนึ่ง ส่วนคำตอบของคำถามนั้นของเจ้า ข้าสามารถบอกเจ้าได้ หงซูก็ดี หวงฮั่นก็ช่าง นางจำเป็นต้องตาย ไม่อย่างนั้นคอขวดในการเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินของข้าจะกลายมาเป็นหายนะใหญ่อีกครั้ง ต่อให้นั่นจะมีโอกาสเพียงแค่ ‘หนึ่งในหมื่น’ ก็ตาม แต่ข้าก็ต้องลงมือสังหารนางด้วยตัวเอง อยู่บนมหามรรคา หนึ่งในหมื่นนั้นมักจะเป็นทั้งหมดเสมอ ถึงเวลานั้นเจ้าก็ค่อยลองดูว่าจะยังห้ามข้าได้อีกหรือไม่ ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากสังหารเจ้าแล้ว ข้าจะมีสภาพอเนจอนาถอย่างตู้เม่าหรือไม่ หึหึ ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ ใครบ้างที่ไม่ต้องขุดดินใต้เท้าของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเพื่อหาอาหารกิน หรือต้องกินของเหลือเดนจากคนอื่นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง กินไปพลางถูกตีจนเกือบตายไปด้วย หรือว่าปีนั้นทำได้ กว่าจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนไม่ใช่เรื่องง่าย คราวนี้กลับจะไม่กล้าทำแล้ว? แล้วนี่จะคู่ควรเป็นหมาบ้าในสายตาของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทั้งหลายหรือ?”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เหมือน ‘เจ้าเกาะหลิวของทะเลสาบซูเจี่ยน’ อย่างยิ่งผู้นี้ เวลานี้กลับเริ่มพูดจาบีบคั้นกดดัน “หากเจ้ากล้าพูดว่าเจ้าจะลองดูให้จงได้ ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้”
“หากเจ้าอยากจะอาศัยหงซูมาเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนทำการใหญ่กับข้า คิดจะใช้ความฉลาดแกมโกงฉกฉวยผลประโยชน์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่างที่ไม่อาจบอกใครได้ของเจ้า ผลกลับกลายเป็นว่าถูกข้าบีบบังคบให้เข้าสู่ทางตันก็เลยเลือกละทิ้งวิธีนี้ เจ้าคิดว่าข้าหลิวเหล่าเฉิงเป็นคนโง่อย่างหลิวจื้อเม่าหรือไง? ข้าไม่มีทางสังหารเจ้าโดยตรง แต่ข้าจะเล่นงานให้เจ้าลุกจากเตียงไม่ขึ้นสี่ห้าปี แผนการและกิจการที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากทั้งหมดของเจ้าล้วนต้องไหลหายไปกับสายน้ำ”
“หากเจ้าเปลี่ยนวิธีใหม่ คอยพิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าตัวเองช่วยหงซูไม่ได้ ก็เลยเลือกจะปล่อยมือ แต่เตรียมจะให้ข้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ยินดีจะจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อสตรีคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นาน ก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ภายใต้เปลือกตาของข้าหลิวเหล่าเฉิง คิดจะเป็นคนดี เป็นวีรบุรุษ ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีที่จะถูกข้าแก้แค้นด้วย วางใจเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าย่ำแย่ยิ่งกว่าเดินลงจากเตียงไม่ได้หลายปีซะอีก จะแล่เนื้อเถือหนังเจ้า แม้จะไม่ได้บาดเจ็บมากนัก สามารถเดินเหินได้เป็นปกติ แต่ก็ไม่ต่างจากคนไร้ค่าสักเท่าไหร่ ข้ามีเวลาจะเล่นกับเจ้าเหลือเฟือ”
“เฉินผิงอัน ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องฟังคำตอบจากเจ้าบ้างแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าเลือกข้อที่สาม”
“เจ้าจะฆ่าหงซู ข้าไม่ขัดขวาง แต่ข้าก็จะอาศัยแผ่นหยกแผ่นนั้นมาดึงปราณวิญญาณของทะเลสาบซูเจี่ยนไปจนหมด ถึงเวลานั้นค่อยเอาไปให้คนบางคนของต้าหลี ‘ยืม’ ทั้งแผ่นหยกและปราณวิญญาณไปพร้อมกัน”
เฉินผิงอันจ้องสายตาหลิวเหล่าเฉิงไม่หลบ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นกองทัพม้าเหล็กอยู่ในสายตา แต่นี่ก็อธิบายให้เห็นอย่างชัดเจนพอดีว่าเจ้าให้ความสำคัญต่อทะเลสาบซูเจี่ยนมากผิดปกติ นี่ไม่ใช่แค่การค้าขายอะไรแน่นอน แต่นี่คือรากฐานแห่งมหามรรคาของเจ้า ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ได้เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว เจ้าก็จะไม่มีทางละทิ้งรากฐานนี้ไป อีกทั้งมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะสามารถโน้มน้าวสกุลซ่งต้าหลีให้อนุญาตให้เจ้าแบ่งแยกดินแดนอยู่ที่นี่ได้ ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าเลือกทางเลือกข้อที่สาม เจ้าก็จะยิ่งอนาถมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันแบมือ “แผ่นหยกอยู่นี่ ลองแย่งไปดูสิ? ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าตอนนี้เลย หรือไม่ก็ทำลายช่องโพรงลมปราณที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวของข้าให้สิ้นซาก แต่ก็ขอโทษที แผ่นหยกได้เริ่มกลืนกินโชคชะตาน้ำปราณวิญญาณของตลอดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมาแล้ว”
บนแผ่นหยกที่ใสแวววาวแผ่นนั้น ตัวอักษร ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ เริ่มส่องประกายแสงรัศมีเรืองรอง
ปราณวิญญาณและโชคชะตาน้ำจากสี่ด้านแปดทิศที่มีเกาะกงหลิ่วเป็นใจกลางเริ่มพากันรวมตัวเป็นสายๆ แล้วกรูกันเข้าหาตัวอักษรทั้งหกตัวนี้
หลิวเหล่าเฉิงสีหน้ามืดทะมึน
เฉินผิงอันกล่าว “ตอนนี้ถึงคราวที่เจ้าต้องเลือกแล้ว จะสังหารข้าให้ปราณวิญญาณของทะเลสาบซูเจี่ยนหายไปเกลี้ยง แล้วเข้าไปอยู่ในแผ่นหยกที่เจ้าไม่กล้ารับเอาไป และต่อให้เอาไปแล้วก็เปิดไม่ออก ปิดไม่ลงแผ่นนี้ หรือไม่ก็เล่นงานข้าเกือบตาย ข้าก็จะดูดโชคชะตาน้ำครึ่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนไปอยู่ดี หรืออีกทางคือพวกเราก็ทำการค้ากันตามกฎเกณฑ์ ต่างคนต่างถอยคนละก้าว ช่วงชิงผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดมาให้กันและกัน ซึ่งเงื่อนไขก็คือปล่อยให้ข้ากลับออกไปจากเกาะกงหลิ่ว รอจนข้ากลับคืนสู่เกาะชิงเสียอย่างปลอดภัย ร่ายเวทผนึกแผ่นหยกแล้ว มันก็จะสามารถ ‘บุกเบิกจวนด้วยตัวเองแม้ข้าจะตายก็ตาม’ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยมานั่งลงคุยกัน และตอนนั้นจะคุยกันที่เกาะชิงเสียหรือเกาะกงหลิ่วก็ได้ทั้งนั้น”
หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยเย้ยหยัน “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถควบคุมหยกแผ่นนี้จริง?”
จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย ความเร็วในการดูดซับปราณวิญญาณของแผ่นหยกก็ชะลอช้าลง ไม่หอบลมม้วนเมฆ พลังอำนาจน่าสะท้านพรั่นพรึงเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง นี่ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนในรัศมีร้อยลี้รอบเกาะกงหลิ่วที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุตกใจจนขวัญหนีกระเจิดกระเจิง เข้าใจผิดนึกว่าหลิวเหล่าเฉิงจะเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน จึงเริ่มฆ่าไก่ชิงไข่ คิดจะฮุบกลืนโชคชะตาน้ำในทะเลสาบซูเจี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่เหลือทางรอดให้แก่ผู้ฝึกตนอิสระคนอื่นๆ
หลิวเหล่าเฉิงพูดกลั้วหัวเราะ “เฉินผิงอัน เจ้ามันร้ายกาจ ล่าเหยี่ยวมานานปี เกือบจะถูกเหยี่ยวจิกตาจนตาบอดซะแล้ว” (เปรียบเปรยว่าต้องพลาดท่าในเรื่องที่ตัวเองถนัดที่สุด)
ผู้ฝึกตนเฒ่าโบกมือ “รอให้เจ้ากลับไปถึงเกาะชิงเสีย จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยมาคุยกัน”
เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าไม่สู้ท่านเกาะหลิวกลับไปที่เกาะชิงเสียพร้อมกันกับข้าดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้ากังวลว่าระหว่างทางที่กลับไป เจ้าเกาะหลิวจะแอบไปที่เกาะชิงเสีย ถึงเวลานั้นหลิวจื้อเม่าหรือจะกล้าใช้ค่ายกลของเกาะชิงเสียช่วยอำพรางความลับสวรรค์ให้ข้า ป้องกันไม่ให้เทพเซียนขอบเขตหยกดิบอย่างเจ้าใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือมาตรวจสอบว่าข้ามีความสามารถที่จะใช้ความเป็นความตายของตัวเองมาเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดปิดแผ่นหยกจริงหรือไม่”
—