หลังจากเฉินผิงอันเก็บกระดาษและพู่กัน แม่ทัพบู๊แคว้นสือหาวก็เอ่ยขึ้นว่าใกล้จะต้องจากลากันแล้ว เขาอยากออกไปเดินเล่นนอกอารามหลิงกวานพร้อมกับเฉินเซียนซือเสียหน่อย เฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ
คนทั้งสองเดินผ่านตำหนักด้านหน้า หลังจากข้ามผ่านธรณีประตูออกมาแล้ว วัตถุหยินแม่ทัพบู๊ก็หัวเราะเบาๆ “เฉินเซียนซือคงเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลต่างถิ่นกระมัง? ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงขั้นฟังภาษาทางการของพวกเราลำบากขนาดนี้?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ามาจากทางเหนือ”
แม่ทัพบู๊ลูบลำคอตัวเองตามจิตใต้สำนึก ยิ้มกล่าวว่า “ต่อให้มาจากต้าหลีก็ไม่เป็นไร จำต้องยอมรับว่า กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีนั้น…ร้ายกาจจริงๆ บนสนามรบ ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกตนที่ติดตามกองทัพเข้ามาในสนามรบเลย หนึ่งเพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็น สองเพราะไม่กล้าพาตัวไปตาย และเมื่อเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้นมา สถานการณ์ในสมรภูมิที่เดิมทีกองกำลังทหารสองฝ่ายแทบจะเท่าเทียมกันจะเอนเอียงไปข้างหนึ่งทันที สาเหตุยังคงเป็นเพราะกองทหารม้าของต้าหลีกองนั้นลงจากหลังม้ามาต่อสู้กับพวกเรา กลศึกที่ใช้ในสนามรบก็มีพลังน่าเกรงขาม ทหารของแคว้นสือหาวพวกเราเทียบคนอื่นเขาไม่ได้ แพ้อย่างน่าอัดอั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้ากับเหล่าพี่น้องก็คงไม่ถึงขั้นตายตาไม่หลับหรอก แต่จะว่าไปแล้วก็ยังรู้สึกนับถือพวกเขาอยู่หลายส่วน”
เฉินผิงอันอืมตอบรับหนึ่งที
แม่ทัพบู๊หยุดเดิน “ข้าคงไม่ถามอะไรให้มากความ แต่ข้าเองก็ไม่โง่ รู้ดีว่าแท้จริงแล้วเฉินเซียนซือก็คือคนที่จะจัดงานพิธีกรรมทางศาสนาของสองลัทธินั่นขึ้น เพราะฉะนั้น…”
แม่ทัพบู๊ขยับเสื้อเกราะเบาๆ ปล่อยมือที่กุมด้ามดาบออก เตรียมจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พระคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ควรต้องแสดงการขอบคุณเทพเซียนบนภูเขาท่านนี้แทนเหล่าพี่น้อง
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยื่นสองมือมาจับประคองเขาไว้ ให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาคุกเข่าลงไป
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้าไม่อาจรับพิธีการยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้”
แม่ทัพบู๊จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดอย่างจนใจ เอ่ยหยอกล้อว่า “เฉินเซียนซือเกรงใจกันขนาดนี้ หรือคิดจะให้ข้าตายอย่างละอายใจอีกรอบ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มิกล้าๆ”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไปไกล ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาแล้ว ม่านราตรีค่อยๆ จางลง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “อันที่จริงแม่ทัพเว่ยเก่งกว่าข้ามากนัก เพราะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าควรจะทำเรื่องที่ถูกต้องอย่างไร นี่ต่างหากจึงจะดีต่อสหายร่วมสมรภูมิรบอย่างแท้จริง ข้าทำอะไรไม่คล่องแคล่วฉับไวเช่นแม่ทัพเว่ย ไม่พูดถึงตัวเองที่ต้องเหนื่อยยาก ยังลำบากให้ทุกคนต้องเดือดร้อนตามไปด้วย”
แม่ทัพบู๊เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “เหตุใดจึงไม่พูดถึงตัวเองที่ต้องเหนื่อยยาก? ตัวเองไม่มีความสุขแล้วยังไม่ยอมให้พูดอีกงั้นหรือ? แล้วจะเอา ‘ลำบากให้ทุกคนต้องเดือดร้อนตามไปด้วย’ มาจากไหน? เฉินเซียนซือ แม้ข้าจะเป็นคนนอก แต่ตลอดทางที่เดินทางมานี้ ทั้งขมขื่นและหวานชื่นข้าล้วนผ่านมาหมดแล้ว นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ โดยเฉพาะยามที่ต้องชักดาบเข้าห้ำหั่นสหายร่วมสมรภูมิ โทษทัณฑ์นั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าตัวเองถูกดาบของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีฟาดฟันเสียอีก เวลาที่ทุกข์ทรมานจนคิดว่าผ่านไปไม่ได้ ข้าก็จะเรียกพี่น้องที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสองสามคนมา แล้วซ้อมพวกเขาเป็นการส่วนตัวไปรอบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้าก็คงถูกบีบให้ต้องเป็นบ้าไปตั้งนานแล้ว คาดว่าพวกพี่น้องยังไม่ทันสูญเสียจิตวิญญาณกลายเป็นผีร้าย ข้าก็คงกลายเป็นผีอาฆาตที่สร้างหายนะไปทั่วเสียก่อน ดังนั้นเฉินเซียนซือไม่ควรคิดเช่นนี้”
เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียด จากนั้นก็คลี่ยิ้ม “ขอบคุณมาก พอได้ยินแม่ทัพเว่ยพูดเช่นนี้ ในใจข้าก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”
แม่ทัพบู๊แซ่เว่ยหัวเราะร่า “ข้าไม่ใช่แม่ทัพอะไรทั้งนั้น เป็นแค่ชาวยุทธที่มีตำแหน่งขุนนางระดับหกติดตัว อันที่จริงยังเป็นแค่ขุนนางคุณูปการ (ชื่อเรียกขุนนางที่มีคุณความชอบด้วยความยกย่อง แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่แท้จริง) ด้วย เพียงแต่ว่าแม่ทัพที่กุมอำนาจอย่างแท้จริงนั้น ส่วนที่หนีก็หนีไป ส่วนที่หลบเลี่ยงสงครามก็หลบเลี่ยงไป ข้าถึงต้องเป็นผู้นำของพี่น้องมากมายขนาดนั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็กระทืบเท้าเบาๆ เหยียบเข้าไปในกองหิมะริมทาง “ก็แค่กระโจนเข้าหาความตายเท่านั้น ไม่ถือเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อะไร แค่ได้รับความอยุติธรรมก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงควักเงินเกล็ดหิมะออกมาหนึ่งเหรียญ “นี่คือเงินเทพเซียนบนภูเขา พวกเจ้าสามารถเอาไปดูดซับปราณวิญญาณเพื่อรักษาสติปัญญาเอาไว้ คือเงินประเภทที่ไม่มีค่ามากที่สุด”
แม่ทัพบู๊ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังยื่นมือมารับไป แล้วจึงเอ่ยสัพยอกว่า “เฉินเซียนซือจะให้มากกว่านี้ก็ได้ ข้าไม่รังเกียจเงินเทพเซียนที่มีน้ำหนัก ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วข้าก็ล้วนรักเงิน สิ่งที่ไม่หนักมือมากที่สุดบนโลกใบนี้ก็ไม่ใช่เงินหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันรีบโบกมือยิ้ม “ตอนนี้ข้าเป็นนักบัญชีคนหนึ่ง ทำการค้าต้องฉลาดหน่อย ข้ารู้ภูมิลำเนาของพวกเจ้าแล้ว ไม่มากไม่น้อย ควรต้องให้เงินเทพเซียนเป็นค่าเดินทางยามค่ำคืนแก่พวกเจ้ากี่เหรียญ ข้ารู้ชัดเจนนักล่ะ”
แม่ทัพบู๊แซ่เว่ยหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ
ดีนักนะ
ใต้หล้านี้ยังมีคนที่กลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองคือพ่อค้าที่ ‘ฉลาด’ อยู่อีกหรือ?
เฉินผิงอันถาม “ในเมื่อภูมิลำเนาของแม่ทัพเว่ยอยู่ที่เขตทหารแห่งหนึ่งทางชายแดนเหนือแคว้นสือหาว คิดจะพาพวกพี่น้องไปส่งให้ครบแล้วค่อยย้อนกลับมาทางทิศเหนือเพียงลำพังใช่ไหม?”
แม่ทัพบู๊แซ่เว่ยที่แท้จริงแล้วเพิ่งจะอายุสามสิบต้นๆ ส่ายหน้า “คงไม่กลับไปแล้วล่ะ พ่อแม่ข้าจากไปนานแล้ว แล้วก็ไม่มีลูกเมีย คนรู้จักของที่บ้านเกิดล้วนตายกันหมดแล้ว เมื่อปีก่อนฮ่องเต้ก็เริ่มโยกย้ายกำลังทหารจำนวนมาก นอกจากพวกกระดูกแข็งที่เดิมทีก็อยู่ในกองทัพทางเหนือแล้ว ทหารชายแดนหลายกองที่กล้าต่อสู้ อีกทั้งยังเก่งกาจในการทำสงครามต่างก็ถูกโยกย้ายให้ไปทางทิศเหนือจนหมด ส่วนกองกำลังของพื้นที่เมืองชายแดนอย่างสกุลหวงที่อยู่ทางใต้นั้น เรียกมาแล้ว แต่ก็แค่พวกเขาไม่ยอมมาเท่านั้น นี่ไม่ได้เรียกว่ากบฏหรือไร? ไม่ต่างจากการจ้วงมีดเข้าที่เอวของพวกเราอย่างแรง อันที่จริงข้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความกล้าหาญของแคว้นสือหาวเราถูกกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำจนสิ้นหมดแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “หากแม่ทัพเว่ยยินดี รอให้เจ้าทำเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้วก็จงไปที่นครอวิ๋นโหลวของทะเลสาบซูเจี่ยน ตามหาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดคนหนึ่งที่มีชื่อว่าตู้เซ่อหู่ หากตู้เซ่อหู่ไม่อยู่ในเมืองก็ไปหาสกุลหลิ่วที่อยู่ในตรอกเหมยจื่อบอกให้เจ้าบ้านของพวกเขาเป็นผู้แนะนำ พาเจ้าโดยสารเรือไปที่เกาะชิงเสีย ตู้เซ่อหู่ก็ดี ประมุขสกุลหลิ่วก็ช่าง เจ้าแค่บอกว่าตัวเองเป็นสหายของเฉินผิงอัน เมื่อไปถึงเกาะชิงเสียจะมีคนมาต้อนรับเจ้าเอง เจ้าสามารถไปพักอยู่ที่เรือนหน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย พักอยู่ในห้องของเจิงเย่ชั่วคราวก่อนได้ รอพวกเรากลับไป หากแม่ทัพเว่ยยินดี ข้าสามารถเขียนจดหมายให้แม่ทัพเว่ยนำติดตัวไปด้วยฉบับหนึ่ง”
แม่ทัพบู๊แซ่เว่ยยิ้มถาม “เฉินเซียนซือหรือไม่ก็สหายข้างกายเชี่ยวชาญวิชาผีงั้นหรือ? เลยคิดจะเลี้ยงข้าให้กลายเป็นแม่ทัพผี? เพราะเฉินเซียนซือมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อข้า ข้าถึงได้ถามเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่คิดเปิดปาก อย่างมากก็แค่รับปากแต่ปาก แต่พอถึงเวลาก็เตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ไม่ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนก็เท่านั้น และยังหวังให้เฉินเซียนซือให้อภัย บอกตามตรง ข้าไม่สนใจการเข่นฆ่าสังหารอีกแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้ ต่อให้ต้องรอวันที่จิตวิญญาณแหลกสลายไปวันๆ อยู่อย่างนี้ ข้าก็ยอมรับชะตากรรม พระคุณยิ่งใหญ่ของเฉินเซียนซือ คงได้แต่มาชดใช้คืนให้ชาติหน้าแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แม้ข้าจะรู้เวทลับวิชาผีบางอย่าง และก็มีสมบัติอาคมวัตถุวิเศษสองชิ้นที่เหมาะให้ภูตผีพักพิง แต่ไม่ต้องการให้แม่ทัพเว่ยมารับใช้ข้า เพียงแค่ไม่อยากเห็นแม่ทัพเว่ยต้องแหลกสลายไปท่ามกลางฟ้าดินทั้งอย่างนี้ ขอแค่ไปถึงเกาะชิงเสีย วันหน้าจะอยู่หรือจะไป ขอเพียงเชื่อใจข้า ทุกอย่างล้วนให้แม่ทัพเว่ยเป็นผู้ตัดสินใจเอง ต่อให้แม่ทัพเว่ยอยากกลายเป็นแม่ทัพผี ข้าเองก็ไม่มีทางพยักหน้าตอบรับ นี่เป็นการหมิ่นเกียรติคนอื่น อีกทั้งยังหมิ่นเกียรติตนเอง”
วัตถุหยินแซ่เว่ยกุมหมัดกล่าวว่า “หากพูดอย่างนี้ข้าก็วางใจแล้ว มีชีวิตอยู่หลายวันก็ได้กำไรหลายวัน ส่วนเรื่องที่ว่าระหว่างนี้จะเผาผลาญเงินเทพเซียนของเฉินเซียนซือไปเท่าไหร่ ข้าก็คงยังต้องเอ่ยประโยคหน้าไม่อายประโยคนั้น หากมีโอกาสจะกลับมาใช้คืนชาติหน้า! หากไม่มีโอกาส ก็คงต้องคิดแค่ว่านักบัญชีอย่างเฉินเซียนซือไม่ฉลาดมากพอ!”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก
ไม่ได้ดื่มเพื่อให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่า แต่ดื่มเพราะอยากดื่มเท่านั้น ซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่ง
กลับเข้ามาในอารามหลิงกวาน เฉินผิงอันก็เขียนจดหมายหนึ่งฉบับ และยังมอบยันต์ปราณหยางส่องไฟหนึ่งแผ่นกับแผ่นไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ทำมาจากไม้ไผ่ม่วงอีกหนึ่งแผ่นให้แม่ทัพแซ่เว่ย สุดท้ายยังแอบยัดเงินร้อนน้อยให้เขาหนึ่งเหรียญ
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ฟ้าก็สว่างแล้ว
วัตถุหยินทั้งหมดล้วนพากันพักพิงอยู่ในตำหนักหน้าของอารามหลิงกวานชั่วคราว
เฉินผิงอันย้อนกลับไปที่ตำหนักหลัก เจิงเย่เก็บสัมภาระ สะพายหีบไม้ไผ่รอไว้เรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันหันไปกุมหมัดคารวะเทวรูปสีสันองค์นั้น เอ่ยขออภัยเสียงเบาว่า “คืนนี้พวกเราสองคนมาพักที่นี่ และยังมีทหารหยินกลุ่มนั้นที่พักอยู่ตำหนักหน้า รบกวนท่านแล้ว”
เจิงเย่ได้แต่กุมหมัดขออภัยตามไปด้วย
พวกเขาเดินออกจากตำหนักหลัก ตอนที่เดินผ่านตำหนักหน้า แม่ทัพแซ่เว่ยทำเพียงแค่กุมหมัดส่งลาคนทั้งสอง ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำซาบซึ้งใจใดๆ ให้มากความ
เมื่อออกมาจากอารามหลิงกวานแล้วก็เดินทางขึ้นเหนือต่ออีกครั้ง คนทั้งสองเดินอยู่ท่ามกลางพื้นหิมะ เจิงเย่เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านเฉิน? ขอข้าถามอะไรหน่อยได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันกำลังก้มตัวกอบหิมะขึ้นมาล้างหน้าง่ายๆ ยิ้มกล่าวว่า “ถามมาเถอะ”
เจิงเย่ถาม “ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน เหตุใดท่านเฉินต้องยอมสิ้นเปลืองเงินทองของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ด้วย? ตอนอยู่บนเกาะเหมาเยว่ อาจารย์และทุกๆ คนต่างก็บอกว่าผู้ฝึกตนอย่างพวกเราใช้เงินทองเปลืองมากที่สุด หากไม่รู้จักประหยัดอดออมในเรื่องเล็กๆ ชีวิตนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ยาวไกล”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าตอนนี้ข้ามีอนาคตยิ่งใหญ่ยาวไกลหรือไม่?”
เจิงเย่เกาหัว “ต้องมีอยู่แล้ว! ท่านเฉินคือผู้ฝึกตนใหญ่ที่ค้ำฟ้าได้แล้ว!”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็ใช่น่ะสิ ถึงอย่างไรข้าก็ถือเป็นนักพรตใหญ่ในสายตาของเจ้าอยู่แล้ว จะไม่ประหยัดบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่เป็นไรหรอก”
เจิงเย่รู้สึกว่าท่านเฉินที่ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจเสมอมากลับจงใจตอบต่อคำถามนี้ของตนอย่างไม่กระจ่าง เพียงแต่เห็นว่าท่านเฉินไม่อยากพูดให้ละเอียด เจิงเย่จึงไม่กล้าที่จะซักไซ้ไล่เรียงต่อ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “เมื่อคืนพวกเราไปพักค้างแรมอยู่ในอารามหลิงกวาน แล้วเจ้ารู้ประวัติความเป็นมาของหลิงกวาน รู้หน้าที่รับผิดชอบขององค์เทพเหล่านี้หรือไม่?”
เจิงเย่ส่ายหน้า “แค่เคยได้ยินอาจารย์เล่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเต๋ามีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขา”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินประโยคว่าเหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพมองอยู่กระมัง? หลิงกวาน เคยเป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยตรวจสอบความดีความชอบและความขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของทุกคนบนโลกมนุษย์ แม้จะบอกว่าคำกล่าวนี้อาจไม่จริงเสมอไป แต่ข้ารู้สึกว่าเชื่อเรื่องนี้ไว้ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่เชื่ออยู่มาก ชาวบ้านก็ดี ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราก็ช่าง หากในใจไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ถึงเวลานั้นเอาแต่กลัวคนชั่วกลัวผีร้าย ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่นี่เป็นแค่ความคิดของข้าคนเดียว เจิงเย่ เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก แค่ฟังผ่านๆ ไปก็พอ”
เจิงเย่พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะจำเอาไว้ก่อน ไม่แน่ว่าวันใดอาจได้นำมาใช้”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองเจิงเย่แล้วหัวเราะ
เจิงเย่รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง “ท่านเฉิน ข้าพูดอะไรผิดอีกหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า สาวเท้าเดินหน้าเนิบช้า “เปล่าหรอก เจ้าพูดได้ดีมาก หลักการเหตุผลบางอย่างนำมาใช้ต่อชีวิต รวมไปถึงช่วยให้ตัวเองมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าเดิม แต่บางอย่างมีไว้เพื่อให้จิตใจสงบ ส่วนเรื่องที่ว่าหลักการเหตุผลไหนที่ดีกว่า เหมาะกับปัจจุบันมากกว่า ก็ต้องดูที่ทรัพย์สินและสภาพจิตใจของแต่ละคน ถึงอย่างไรข้าก็คิดว่านี่เป็นหลักการเหตุผลที่มีประโยชน์ วันหน้าเจ้าเองก็จะรู้ว่าหลักการเหตุผลที่บ้างก็เล็กบ้างก็ใหญ่เหล่านี้ เวลาเจอกับเหตุการณ์เข้าจริงๆ ก็แค่เอามันออกมา คิดให้มากแล้วค่อยเลือกให้ดี”
เจิงเย่พูดชื่นชมจากใจจริง “ท่านเฉินรู้หลักการเหตุผลเยอะจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้ม “วันหน้าคำพูดเหมือนผายลมพวกนี้เจ้าก็พูดให้น้อยหน่อย ข้างกาย ‘ท่านเฉิน’ ของเจ้าไม่เคยขาดพวกช่างประจบหรอกนะ”
เจิงเย่สะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ เบี่ยงตัวมาพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “ตอนนี้มีแต่ข้าเท่านั้นที่อยู่ข้างกายท่านเฉินเพราะฉะนั้นวันหน้าข้ายังต้องพูดประจบอย่างจริงใจแบบนี้ให้มาก หลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านเฉินที่ไม่ได้ยินคนพูดประจบเอาใจนานเกินไปแล้วจะรู้สึกไม่ชิน”
เฉินผิงอันหัวเราะจนตาหยี เขาพลันทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบหิมะมาปั้นเป็นตุ๊กตาหิมะตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือด้วยความคล่องแคล่ว แล้ววางไว้บนหีบไม้ไผ่ที่อยู่ด้านหลังเจิงเย่ ทำเอาเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มองดูอยู่มึนงงสับสน
—–