เฉินผิงอันไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่เกาะชิงเสีย เขาถ่อเรือออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ระหว่างนี้ยังจอดเรืออยู่ห่างจากเกาะกงหลิ่วไกลๆ ก่อนจะพายเรือจากมาอีกครั้ง
เขาไปที่นครลวี่ถง ไปจูงม้ามา เสียดายก็แต่ร้านซาลาเปาปิดกิจการไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยากจะเปิดร้านได้ต่อ หรือแค่หยุดช่วงปีใหม่ รอให้ผ่านเทศกาลหยวนเซียวไปแล้วค่อยเปิดร้านอีกครั้ง
เฉินผิงอันฉลองปีใหม่ระหว่างทาง
บนหลังม้านั่นเอง
อิสระเสรี
ไม่คิดว่ายากลำบาก
และวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งก็ได้มาเจอกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่รอคอยมานานพอดี
เฉินผิงอันหยุดพักหนึ่งวัน วันที่สองเดือนหนึ่งก็เริ่มออกเดินทาง ม้าทั้งสามตัวต้องอ้อมอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนมุ่งหน้าลงใต้
สุดท้ายไปถึงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เรือข้ามฝากหยุดให้บริการมานานแล้ว เฉินผิงอันบอกว่าจะรอพบคนคนหนึ่งอยู่ที่นี่ หากภายในสิบวันเขายังไม่มา พวกเขาก็ค่อยออกเดินทางกันต่อ
นอกจากการฝึกตนแล้ว เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ก็ยังไปเดินเที่ยวเล่นที่ท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งมีร้านค้าตั้งเรียงราย มีของวางขายละลานตาด้วยกัน
หลังจากเดินเที่ยวผ่านไปรอบหนึ่งแล้ว หม่าตู่อี๋ก็บอกว่าจะเดินดูอีกรอบไม่ได้แล้ว เพราะยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกกลุ้มใจ คิดว่าตัวเองยากจนเกินไปแล้ว
เฉินผิงอันจึงให้เงินร้อนน้อยหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่คนละเหรียญ บอกว่าเป็นเงินหงเปา (หรืออั่งเปา เงินแต๊ะเอีย)ปีใหม่
เจิงเย่ไม่กล้ารับไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับเอาไป หม่าตู่อี๋กลับไม่คิดจะแสร้งทำเป็นเกรงอกเกรงใจต่อท่านเฉิน ยังถามด้วยว่าเงินเหรียญนั้นของเจิงเย่ก็ให้นางด้วยได้ไหม
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่กลัวว่าเงินจะหนักทับมือ ใช่ไหม?”
หม่าตู่อี๋พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกข้าวเปลือก
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ตอบรับ เขาเก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นไป “โทษทีนะ ข้าเองก็ไม่รังเกียจว่าเงินจะหนักทับมือเหมือนกัน”
เจิงเย่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น จึงถูกหม่าตู่อี๋ถองเข้าเต็มแรง เจ็บจนเขาแยกเขี้ยว
รอคอยอยู่ที่ท่าเรือตระกูลเซียนเกือบสิบวัน
ยามสนธยาของวันนี้ก็มีเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่กล้ามาจอดที่ท่าเรือ เพียงแต่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนแต่ละคนมองเห็นธงบนเรือลำนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง
ระยำนัก นั่นคือธงรบของคนเถื่อนต้าหลี
เฉินผิงอันพาคนคนหนึ่งกลับมาที่โรงเตี๊ยม เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน
เพราะคนผู้นั้นคือกู้ช่าน
เจิงเย่นั้นเป็นเพราะหวาดกลัวกู้ช่านล้วนๆ
ส่วนหม่าตู่อี๋กลับรู้สึกเป็นกังวล เพราะการที่กู้ช่านมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ
ความปรารถนาของภูตผีวัตถุหยินมากมาย เดิมทีเมื่ออยู่กับท่านเฉินนั้นสามารถทำได้ แต่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าหากพวกเขาเห็นกู้ช่านก็อาจจะเปลี่ยนใจ หรือถึงขั้นเกิดความเคียดแค้นรุนแรงขึ้น วัตถุหยินไม่น้อยอาจจะเปลี่ยนไปเป็นผีอาฆาตที่สูญเสียสติปัญญาไปอย่างสิ้นเชิงโดยตรง ถึงเวลานั้นก็จะต้องสิ้นเปลืองยันต์ของท่านเฉินอีก
คืนนั้นเฉินผิงอันให้เจิงเย่นำตำหนักพญายมราชคุกล่างออกมาจากหีบหนังสือใบใหญ่ แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะในห้องของตัวเอง
ในห้องมีแค่กู้ช่านคนเดียว
เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ต่างก็กลับไปที่ห้องใครห้องมัน แต่จากนั้นหม่าตู่อี๋ก็ไปหาเจิงเย่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คนทั้งสองนั่งเหม่อไปด้วยกัน
ครึ่งคืนหลัง เฉินผิงอันมาเคาะประตูเบาๆ
หม่าตู่อี๋วิ่งเร็วๆ ไปเปิดประตู เฉินผิงอันทำท่าบอกเป็นนัยให้พวกเขานั่ง ส่วนตัวเองหลังจากนั่งลงแล้วก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า พวกเจ้าคิดดูนะ ต่อให้ยากแค่ไหน แต่จะยากเท่าตอนแรกเริ่มสุดที่พวกเราเริ่มทำเรื่องนี้กันได้หรือ?”
เจิงเย่อืมรับหนึ่งที
หม่าตู่อี๋ก็พยักหน้ารับเบาๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “อยู่กับข้าคนนี้ เหนื่อยมากเลยใช่ไหม?”
เจิงเย่ส่ายหน้าอย่างแรง
หม่าตู่อี๋เหลือกตามองบน “เหนื่อยใจจะตายอยู่แล้ว”
เจิงเย่กล่าวอย่างขลาดๆ “แม่นางหม่า เจ้าก็ตายไปแล้วนะ”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม
หม่าตู่อี๋ถูกคำพูดของเจิงเย่ทำให้สะอึกอึ้งอย่างที่หาได้ยาก เท้าที่อยู่ด้านล่างโต๊ะจึงยกกระทืบเท้าเจิงเย่เต็มแรง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเก้าอี้ หลับตาลง เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจะงีบหลับสักพัก พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า”
ก่อนจะนอนหลับไป
เฉินผิงอันคิด ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิด พวกคนที่ตนห่วงใยจะยังสบายดีหรือไม่?
นอกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดแล้ว ใต้หล้าแห่งนี้ ใต้หล้าแห่งอื่นและพื้นที่มงคลแห่งนั้น ยามเมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน พวกเขาจะยังสบายดีกันหรือไม่? จะยังมีต้นหลิวเคียงข้างต้นหยาง ดอกไม้ผลิบานอากาศอบอุ่นหรือไม่?
เฉินผิงอันค่อยๆ ม่อยหลับไป
มีเสียงกรนดังมาเบาๆ
ดูท่าเขาจะง่วงจริงๆ
เดิมทีเจิงเย่นึกว่าหม่าตู่อี๋ที่ชอบขัดคอท่านเฉินเป็นที่สุดจะหัวเราะเยาะท่านเฉินเสียอีก
แต่เมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หันหน้าไปมองกลับพบว่าแม่นางหม่ากำลังสูดจมูก น้ำตาเอ่อคลอ
เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ ท่านเฉินก็แค่นอนกรนนิดๆ เท่านั้นไม่ใช่หรือ แม่นางหม่าต้องเสียใจขนาดนี้ด้วยหรือไร?
……
เขตการปกครองหลงเฉวียน
เรือนหลังเล็กในตรอกหนีผิงที่เจ้าของตัวจริงยังคงออกเดินทางไกลไม่กลับมา
วันที่สามสิบของสิ้นปี กลอนคู่อันใหม่ ตัวอักษรฝูและภาพเทพทวารบาลล้วนมีคนนำมาติดให้เรียบร้อยไม่ขาดหายไปแม้แต่อย่างเดียว
ไม่เพียงแต่มีอาหารส่งท้ายปีโต๊ะใหญ่ที่มีกับข้าวหลากหลายชนิด พ่อครัวยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล และมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อายุมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ บุรุษชุดขาวที่ท่วงท่าบุคลิกดุจเทพเซียน และเขาก็คือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลี
และยังมีผีสาวตนหนึ่งที่สิงอยู่ในคราบร่างเซียนเหริน
คนที่ทำหน้าหนายืนกรานจะนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานให้ได้ แต่กลับเป็นเพียงเด็กหญิงผิวดำเกรียมคนหนึ่ง นางบอกว่านางต้องนั่งแทนอาจารย์ของตน ใครก็ห้ามมาแย่ง ทุกตระกูลล้วนมีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง อาจารย์ไม่อยู่ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างนางก็ต้องเป็นผู้รักษากฎ
นอกจากนี้ยังมีเด็กชายชุดเขียวที่นั่งยองอยู่บนม้านั่งตัวยาว และเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเรียบร้อย
กินอาหารส่งท้ายปีกันเรียบร้อยแล้ว ผู้เฒ่าแซ่ชุยก็ออกจากเรือนไปก่อน จากนั้นเว่ยป้อกับจูเหลี่ยนก็ออกไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองเล็กด้วยกัน
ยังเหลือ ‘เจ้าตัวน้อย’ ทั้งสามที่นั่งล้อมกองไฟเฝ้าคืนอยู่ด้วยกัน
พอฟ้าสว่าง นอกบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงก็มีเสียงประทัดดังลั่น
แม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านที่ตรงเอวห้อยทั้งดาบและกระบี่ยกสองมือกอดอก พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ กลิ่นอายการเฉลิมฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดอาจารย์นับว่าใช้ได้
เผยเฉียนปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์ ไม่ได้จุดประทัดตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของนาง คงอยากจะปลุกให้ชาวบ้านทั้งเมืองเล็กตื่นกันระนาวไปแล้ว
หลังจากจุดประทัดแล้ว เผยเฉียนก็โบกมือเป็นวงกว้าง “ไป ไปต่อสู้กัน!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่ได้เข้าร่วมเรื่องครึกครื้น เพราะนางจะอยู่เฝ้าบ้าน สือโหรวก็ยิ่งคร้านจะทำตัวเหลวไหลไปกับเผยเฉียน หลังจากมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน นางก็ค่อนข้างจะสนิทสนมกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู
เด็กชายชุดเขียววิ่งตุปัดตุเป๋ตามก้นเผยเฉียนไป ราวกับกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายมากพออย่างไรอย่างนั้น
ครั้งแรกที่เด็กชายชุดเขียวได้พบกับผู้เฒ่าหลังค่อมและเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่าน เขาก็รู้สึกว่าในฐานะที่ตนเป็นยอดฝีมือและเป็นผู้อาวุโสของภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะมีมาดสักหน่อย จึงสะกดกลั้นนิสัยร่าเริงซุกซนของตัวเองเอาไว้ แสร้งทำตัวแก่เกินวัยอยู่ทุกวัน ต้องยอมรับว่าเหนื่อยอย่างมาก นี่ทำให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง
ภายหลังค้นพบว่าเจ้าถ่านดำผู้นั้นไม่เข้าใจสักนิดว่าตนพูดอะไร เอาแต่เบิกตากว้างแสร้งโง่แสร้งเหม่อ เขาจึงปล่อยฝีไม้ลายมืออย่างเต็มที่ พานางไปเที่ยวเล่นด้วยกันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังเคยขี่งูสีดำที่หน้าท้องมีเส้นสีทองตัวนั้นขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน
อยู่กับเผยเฉียนนานวันเข้า ความกลัดกลุ้มและความผิดหวังที่ล้อมวนเวียนอยู่ในใจของเด็กชายชุดเขียวก็เบาบางลงไปหลายส่วนโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ส่วนจูเหลี่ยนนั้น หลังจากได้พบกับผู้เฒ่าแซ่ชุยแล้วก็เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง แต่ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
ในสายตาของเผยเฉียน ดูเหมือนว่าพอมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน พ่อครัวผู้เฒ่าจะสูญเสียความสามารถในการประจบสอพลอไป กลับเป็นท่านเทพภูเขาที่หล่อเหลารูปงามจนแทบจะไร้ขอบเขตผู้นั้นที่พูดคุยกับจูเหลี่ยนได้ถูกคอ จูเหลี่ยนจึงมักจะไปเป็นแขกที่ภูเขาพีอวิ๋นบ่อยๆ
เผยเฉียนพาเด็กชายชุดเขียว ‘เดินเยี่ยมเยียน’ ไปทั่วตรอกเล็กใหญ่ ผลกลับกลายเป็นว่าต้องผิดหวังอย่างมาก
เพราะไม่มีคู่ต่อสู้สักคนที่กล้าออกมาสู้รบกับนาง
เผยเฉียนกระทืบเท้า “น่าเบื่อจริงๆ!”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะหึหึ “ไม่ใช่ว่ายังมีหมาที่วิ่งอยู่ตามถนนหรอกหรือ ไปหามันสิ!”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย “นี่เป็นวันที่หนึ่งของเดือนหนึ่งนะ คงไม่ค่อยดีกระมัง?”
เด็กชายชุดเขียวลูบคลำปลายคาง “ก็จริงนะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ
คำว่า ‘ต่อสู้’ ของเผยเฉียน อันที่จริงก็คือการตีกับพวกห่านตัวใหญ่สีขาวที่ถูกเลี้ยงปล่อยไว้ในตรอกของเมืองเล็ก พวกมันกำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด แต่ละตัวล้วนชอบรังแกคนหน้าใหม่
ตรอกก็ใหญ่ถึงเพียงนั้น ต่างคนต่างเดิน น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองไม่ได้หรือ? จะต้องมาจิกข้าให้ได้? ไม่รู้หรือไรว่าการท้าทายยอดฝีมือต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยน้ำตาเป็นสายเลือด?
ก่อนหน้านี้ที่พบเจอกันบนทางแคบเป็นครั้งแรก เผยเฉียนกับศัตรูร้ายกาจผู้นั้น ต่างฝ่ายต่างประชันสติปัญญาและประชันความกล้าหาญกัน สุดท้ายเผยเฉียนก็ใช้มือคว้าลำคอของห่านสีขาวตัวใหญ่นั่นไว้ได้ แล้วจับมันหมุนเหวี่ยงอยู่กับที่หลายรอบ ก่อนจะเหวี่ยงทิ้งแล้วตะโกนเสียงดังว่าเจ้าไปได้
ส่วนตัวนางก็มึนหัวตาลาย
คิดไม่ถึงว่าห่านใหญ่สีขาวตัวนั้นยิ่งพบเจอกับอุปสรรคจะยิ่งกล้าหาญ มันกระพือปีกบินโฉบเข้ามาโรมรันต่อสู้อีกครั้ง เผยเฉียนเองก็จับเคล็ดลับได้ จึงเป็นฝ่ายกุมชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า ขนห่านสีขาวหิมะร่วงเกลื่อนเต็มพื้น นางจึงเก็บพวกมันเอามาทำเป็นลูกขนไก่ลูกหนึ่ง
นานวันเข้า ขอแค่พวกมันได้เจอกับเด็กหญิงตัวดำผู้นั้นก็จะเป็นฝ่ายอ้อมหลบไปเอง นี่ทำให้เผยเฉียนรู้สึกเหงาอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกดีใจนิดๆ คิดว่าตัวเองได้ลิ้มรสชาติของปรมาจารย์ที่ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งหนาวแล้ว คิดว่าตนอายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้แล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ ไม่ได้ทำให้อาจารย์เสียหน้าในถิ่นบ้านเกิดของตัวเอง!
ภายหลังเผยเฉียนกับเด็กชายชุดเขียวก็ได้ไปเจอกับหมาพันธ์พื้นบ้านตัวหนึ่งที่ดุร้ายอย่างยิ่งในแถบภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตก
นี่จะไปยากอะไร?
เผยเฉียนเป็นถึงบุคคลที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ ปณิธานหนึ่งในนั้นก็คือต้องกำราบหมาที่ดุร้ายที่สุดให้จงได้
หลังจากนั้นก็เกิดการไล่ล่าไปทั่วภูเขารอบหนึ่ง
เด็กชายชุดเขียวช่วยดักขวางทางให้อย่างฮึกเหิมถึงขีดสุด หลังจากนั้นมาเด็กทั้งสองก็มักจะไปหาเรื่องหมาพันธ์พื้นบ้านที่ฉลาดเฉลียวตัวนั้นเป็นประจำ
น่าสงสารก็แต่หมาพันธ์พื้นบ้านที่เจอกับหายนะโดยไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้ที่พึ่งของมันก็ไม่ได้อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนเสียด้วย จึงได้แต่เก็บหางวิ่งหนีไปทั่วสารทิศ ประเด็นสำคัญก็คือต่อให้มันหนีเข้าไปในภูเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ยังไม่อาจหนีพ้นหายนะไปได้ เจ้าตะพาบน้อยที่จิตใจชั่วร้ายอำมหิตทั้งสองตั้งหน้าตั้งตาจะบุกขึ้นมาบนภูเขาท่าเดียว เซียนซือและเหล่าลูกศิษย์บนภูเขาที่เห็นเข้าก็ไม่กล้าเข้ามายุ่ง หร่วนฉงเห็นแล้วยังหัวเราะอารมณ์ดี ไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย กลับกันยังบอกลูกศิษย์ในสำนักว่าไม่ต้องขัดขวางการเล่นสนุกของเจ้าเด็กเกเรทั้งสอง
เผยเฉียนเองก็ไม่ได้หลงลืมมารยาทที่พึงมี นางที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า พอเห็นหร่วนฉงก็จะกุมหมัดคารวะ เปี่ยมไปด้วยมาดของคนในยุทธภพ
หร่วนฉงที่ไม่เคยยิ้มให้ลูกศิษย์ตัวเองกลับถึงขั้นยิ้มพลางลูบหัวแม่นางน้อย บอกว่าวันหน้าหากอยากเข้ามาเรียนวิชากระบี่ในสำนักของข้า ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่บันทึกชื่อหรือไม่บันทึกชื่อก็ล้วนได้ทั้งสิ้น
เผยเฉียนปฏิเสธไปทันที จากนั้นก็ป่าวประกาศซ้ำอีกรอบว่าตนเองคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์
นางไม่ค่อยกลัวอริยะสำนักการทหารที่ชื่อเสียงโด่งดังผู้นี้สักเท่าไหร่ กลับกันยังรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม ซึ่งการที่รู้สึกเช่นนี้ก็เพราะนางซุกซ่อนความลับเล็กๆ ไว้อย่างหนึ่ง
เพราะนางเคยเห็นภาพโคมม้าวิ่งแห่งแม่น้ำกาลเวลามาก่อน จึงจดจำพี่สาวชุดเขียวผู้นั้นได้ขึ้นใจ นางรู้สึกว่าต่อให้ยากที่อีกฝ่ายจะกลายมาเป็นอาจารย์แม่ของตน แต่ให้เป็นอาจารย์แม่รองก็ไม่ได้หรือ?
หร่วนฉงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง บอกว่าวันหน้าค่อยว่ากัน ไม่ต้องรีบร้อน
แต่หากเขารู้ความคิดในใจของเด็กหญิงคาดว่าคงจะหัวเราะไม่ออกแล้ว
แล้วยังจะด่าเจ้าเด็กแซ่เฉินผู้นั้นด้วยว่า ไม่ยอมล้มเลิกความคิดชั่วร้ายเลยง่ายๆ เป็นเจ้าเสียมน้อยที่คอยแซะมุมกำแพงบ้านผู้อื่น ทำให้คนยากจะป้องกันได้ไหว
เผยเฉียนกับเด็กชายชุดเขียวเดินมาใกล้ถึงตรอกหนีผิงแล้ว แต่จู่ๆ เผยเฉียนก็วิ่งไปที่บ่อโซ่เหล็กที่ตอนนี้ไม่มีโซ่เหล็กอยู่แล้ว นางฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนขอบบ่อ มองเข้าไปข้างใน
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ “พวกเจ้าต่างก็บอกว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนซุกซ่อนของเล่นดีๆ ที่มีค่าเอาไว้มากมาย ข้าจะมองดูว่าด้านในมีสมบัติหรือไม่ หากมีจริงๆ ล่ะก็ ข้าจะไม่รวยเละเลยหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวเหลือกตามองบน “ข้าแนะนำเจ้าว่าเลิกคิดเถอะ หากเป็นที่อื่นก็ยังพอทำเนา แต่ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวไปแล้ว แล้วก็เพราะว่าข้ามีหน้ามีตาใหญ่โต ถึงได้ไม่มีใครขัดขวางเจ้า ปล่อยให้เจ้าเดินอาดๆ มาถึงที่นี่ได้ เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าชาวบ้านในเมืองเล็กไม่มีใครมาตักน้ำแล้ว?”
เผยเฉียนผิดหวังอย่างยิ่ง ใช้หมัดทุบฝ่ามือ กล่าวว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมพอมาถึงบ้านเกิดอาจารย์ถึงได้หาของดีไม่เจอเลยสักชิ้น!”
เด็กชายชุดเขียวเกาหัวอย่างระอาใจ
เวลาพูดเรื่องโชควาสนา พูดเรื่องหลักการเหตุผลกับเผยเฉียน นางไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย แต่เวลาพูดถึงเรื่องเสี่ยงโชคเสี่ยงดวง นางกลับเก็บไปใส่ใจเสียได้
สีซอให้ควายฟังจริงๆ แม้แต่เด็กชายชุดเขียวที่รู้สึกว่าน้ำเข้าสมองตัวเองมากพอแล้วก็ยังอดรู้สึกอับจนปัญญากับนางไม่ได้
คนทั้งสองนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำ เด็กชายชุดเขียวถอนหายใจดังเฮือก
เผยเฉียนถาม “เป็นอะไรไป?”
เด็กชายชุดเขียวนวดคลึงซีกแก้มตัวเอง “ไม่รู้ว่าพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของข้า ทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก ไปจากเจ้าแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หรือไร ไม่ใช่ข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะคิดมากเกินไป ไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรหรอก”
เด็กชายชุดเขียวกลอกตามองบนอีกรอบ
เผยเฉียนยกสองมือกอดอก ไม่สนใจเด็กชายชุดเขียวอีก เอาแต่พึมพำกับตัวเองอย่างกลัดกลุ้มว่า “อาจารย์ก็จริงๆ เลย นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาสักที”
เด็กชายชุดเขียวพยักหน้า “นายท่านที่พึ่งพาไม่ได้ผู้นี้ติดเงินหงเปาข้าหลายซองแล้ว”
เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับ หยิบเงินเหรียญทองแดงสองสามเหรียญออกมาจากถุงปักลายที่กุ้ยฮูหยินนครมังกรเฒ่ามอบให้ออกมา “ถือซะว่าเป็นเงินหงเปาที่อาจารย์ข้ามอบให้เจ้า พอหรือไม่?”
เด็กชายชุดเขียวมองเหรียญทองแดงสองสามเหรียญที่วางอยู่บนฝ่ามือของเผยเฉียน ทันใดนั้นความเศร้าระทมก็ท่วมท้นขึ้นมาในหัวใจ ตามมาด้วยความขุ่นเคืองเต็มอก แต่ก็ยังยื่นมือออกไป หมายจะหยิบเงินเหรียญทองแดงเหล่านั้นมา ขาของยุงก็คือเนื้อเหมือนกันนี่นา
เผยเฉียนกลับหุบฝ่ามือเป็นหมัดพลางหัวเราะฮ่าๆ เอาเงินใส่กลับไปในถุงผ้า “ฝันไปเถอะเจ้า เงินมากขนาดนี้ ข้าตัดใจไม่ลงหรอก”
จากนั้นเผยเฉียนก็หุบยิ้ม ตบไหล่ของเด็กชายชุดเขียว “มีชีวิตอย่างอนาถาเช่นนี้ แม้แต่เงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่าน เจ้าเองก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ไม่เป็นไร อาจารย์ข้าเคยพูดประโยคหนึ่งว่า เฝ้ารอให้เมฆเคลื่อนออกเห็นแสงจันทร์ ข้าขอมอบประโยคนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน ข้ามีคุณธรรมใช่ไหมล่ะ?”
เด็กชายชุดเขียวกุมหัวร้องโอดครวญ
ชีวิตยากลำบากเช่นนี้เขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร
เผยเฉียนทอดถอนใจ ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตจริงๆ นางจึงได้แต่หยิบเงินเหรียญทองแดงพวกนั้นออกมายื่นส่งให้เด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง “เอาไปเถอะ”
เด็กชายชุดเขียวคลี่ยิ้มทันใด
เผยเฉียนกลับส่ายหน้า พูดสั่งสอนเหมือนคนแก่ว่า “เห็นเงินแล้วตาโต ไม่ได้เรื่อง!”
—–