“แผ่นหลังของปราชญ์เมธีที่ล่วงลับทั้งหลาย ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างออกไปไกล ในฐานะคนรุ่นหลังก็ได้แต่เดินตามด้านหลังของพวกเขาไป ได้แต่มองพวกเขาอยู่ไกลๆ เจ้าเฉินผิงอันจะรู้สึกเช่นไร?”
“ข้ารู้สึกเพียงว่าพวกเขาคือภูเขาสูงที่ต้องแหงนหน้ามอง หากในอนาคตมีโอกาสได้เดินไปบนเส้นทางเดียวกับพวกเขาจริงๆ ต่อให้ได้แค่มองเห็นแผ่นหลังของเหล่าจอมปราชญ์ทั้งหลายจากที่ไกลๆ ก็น่าจะรู้สึกว่า…เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“ดี!”
อาจารย์ผู้เฒ่าพลันคลายเชือกที่รั้งบังเหียนม้า เด็กรับใช้หนุ่มน้อยที่แบกหาบอยู่ห่างไปไกลทางด้านหลังพลันมีประกายแสงแก้วใสแวววาวอาบไปทั่วทั้งตัว ร่างของเขาดุจดั่งภาพมายาที่ล่องลอย
เฉินผิงอันที่อยู่บนหลังม้ายังคงขี่ม้าเดินไปเบื้องหน้าช้าๆ อยู่ใน ‘ความฝัน’ ยิ่งนานก็ยิ่งเดินห่างไปจากเส้นทางชาม้าโบราณทุกที
ส่วนอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นกับตรึงเท้าอยู่กับที่ เรือนกายของเขาเองก็ล่องลอยดุจหมอกดุจควัน
เมื่อเฉินผิงอันสะดุ้งตื่นขึ้นบนหลังม้า เขาก็พลันค้นพบด้วยความตกตะลึงว่านี่เป็นช่วงกลางดึกแล้ว หนึ่งคนหนึ่งม้าได้เดินออกมาจากภูเขาใหญ่ มาหยุดอยู่ริมลำธารสายหนึ่งแล้ว
……
ราชวงศ์ต้าหลี รัชศกหย่งเจียปีที่สิบสอง ช่วงฤดูใบไม้ผลิ
หลังจากที่เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ กองทัพม้าเหล็กสามกองของต้าหลีที่นอกเหนือจากกองของซูเกาซาน เฉาผิงก็ได้เข้าสู่สนามรบ ราชวงศ์จูอิ๋งที่อยู่บนเส้นสนามรบหลายเส้นเริ่มพ่ายแพ้ถอยร่น เมืองหลวงถูกโอบล้อม ตราลัญจกรของกษัตริย์ราชวงศ์จูอิ๋ง องค์เทพในศาลบูรพกษัตริย์กำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นในอีกไม่ช้า
ทว่าซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองกลับไม่ได้บุกเข้ามาในอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋ง ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิของวันนี้ เรือยักษ์กลไกของสำนักโม่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้พุ่งผ่านเหนือน่านฟ้าของราชวงศ์จูอิ๋ง มุ่งหน้าลงใต้ไปต่ออีกครั้ง
ซ่งจ่างจิ้งยืนอยู่บนหัวเรือของเรือหอเรือนลำหลัก หลุบตาจากที่สูงมองลงไปยังพื้นดินที่อยู่เบื้องล่าง มีผู้ฝึกกระบี่จำนวนประปรายที่ไม่ยอมมีชีวิตอยู่ไปวันๆ พากันขี่กระบี่ขึ้นฟ้ามาโจมตี ‘ขบวนเรือ’ ขนาดใหญ่ยักษ์ที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาก็ต้องตายดับร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า ประหนึ่งเสียงประทัดรับตรุษจีนในตรอกที่ดังมาถึงอย่างเชื่องช้า แล้วก็เหมือนเสียงนกกระเรียนเซียนบนภูเขาที่แผดร้องแหวกอากาศ ทำให้ชาวบ้านจูอิ๋งทุกคนที่อยู่บนพื้นดินซึ่งเห็นภาพนี้ และได้ยินเสียงร้องโหยหวนนั้นรู้สึกเศร้าอาลัยอย่างถึงที่สุด
ซ่งจ่างจิ้งยังคงสวมชุดคลุมหนังจิ้งจอกเก่าแก่ตัวนั้น ปีนั้นสวี่รั่วสายรองของสำนักโม่เลือกลงเดิมพันไว้ที่ต้าหลี อันที่จริงเขาก็ได้ลงมือทำเรื่องสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือร่วมมือกับสายของสำนักหยินหยางสร้างหอป๋ายอวี้จิงจำลองซึ่งถือเป็นการล้ำเส้นอย่างถึงที่สุดขึ้นมา นอกจากนี้ทรัพย์สินทั้งหมดที่ต้าหลีฮุบกลืนไปซึ่งรวมถึงของราชวงศ์สกุลหลูเองด้วยนั้น โดยเฉพาะ ‘เงินซื้อทาง’ ของถ้ำสวรรค์หลีจู แล้วก็ยังมีสมบัติในคลังของแคว้นใหญ่แห่งต่างๆ ตลอดทางลงใต้ ล้วนถูกนำมาใช้สร้างเรือบินข้ามฝากลงใต้เหล่านี้ ต้าหลีที่ยิ่งใหญ่ ตลอดหลายปีมานี้มีกองกำลังแคว้นที่รุ่งโรจน์แข็งแกร่งก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วรายรับของแต่ละปีไม่พอกับรายจ่าย และต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังติดหนี้ค้างสำนักโม่ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สำนักโม่สายหลักเลือกต้าหลีแล้วก็ยิ่งจ่ายเงินราวกับสายน้ำไหล ไม่ใช่แค่สายน้ำในลำธารน้อยที่ไหลริกๆ แต่เหมือนกระแสน้ำในมหานทีที่ไหลกราก น้ำลึกแต่ไร้เสียง มีความเป็นไปได้ว่าคลังของแคว้นจะว่างเปล่ากลวงโบ๋ไปอย่างเงียบเชียบ
สำหรับต้าหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกรมการคลังแล้ว นี่คือความเข้มแข็งเด็ดขาดอย่างหนึ่ง และยิ่งเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง เหตุใดราชครูชุยฉานถึงต้องมองเจ้ากรมการคลังเสียใหม่? แม้แต่เขาซ่งจ่างจิ้งและคนตลอดทั้งกองทัพเองก็ยังยินดีให้ความเคารพขุนนางของกรมการคลังเป็นพิเศษ สาเหตุหลักก็อยู่ตรงนี้ แน่นอนว่าเวลาที่กองทัพม้าเหล็กแต่ละกองไปขอเสบียงจากกรมการคลังก็ไม่มีใครยอมออมมือให้ทั้งนั้น ร่ำไห้ร้องเรียกหาบิดามารดา แต่ละคนแกล้งทำตัวยากจนได้เชี่ยวชาญกันทุกคน สำหรับเรื่องนี้ซ่งจ่างจิ้งมองเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร ท่ามกลางขั้นตอนของการทะเลาะเบาะแว้ง การกระทบกระทั่งกันของขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลี รวมไปถึงการที่บัณฑิตหนุ่มวางพู่กันหันมาเข้าร่วมกองทัพ และทายาทของเหล่าทหารกล้าชายแดนได้เลื่อนขั้นเข้าสู่วงการขุนนาง ทำให้เส้นแบ่งขอบเขตระหว่างบุ๋นบู๊ของราชสำนักสกุลซ่งเกิดความพร่าเลือนตลอดเวลา นี่คือเรื่องที่ดี
ส่วนกรมโยธาธิการที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ฝึกตนต่างถิ่นของสำนักโม่มากที่สุดนั้นก็ยิ่งเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการที่อยู่เบื้องหลัง
หันกลับมามองกรมพิธีการและกรมขุนนางที่เดิมทีมีตำแหน่งฐานะสูงที่สุด ซึ่งหากถึงเวลานำคุณความชอบมาคิดเป็นรางวัลกันแล้วจะค่อนข้างกระอักกระอ่วน ดังนั้นในเรื่องของขุนเขาเหนือแห่งใหม่ของต้าหลี รวมไปถึงการที่เป็นพันธมิตรกับต้าสุยและส่งทูตไปอยู่ยังต้าสุย ขุนนางกรมพิธีการถึงได้พากันแสดงฝีมืออย่างไม่มีกั๊กไว้ ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ยิ่งนานวันที่ว่าการที่ก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากสนามรบ จึงมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตอีกร้อยปีอาจต้องสูญเสียรากฐานไปในราชสำนักต้าหลี เสียงของพวกเขาจะดังไม่มากพอ หรือถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกที่ว่าการหกกรมส่วนที่เหลือฮุบกลืน แทรกซึม
เพราะถึงอย่างไรในเรื่องของการรายงานข่าวกรองและการรวบรวมผู้ฝึกตน ที่ว่าการของกรมอาญาต้าหลีก็ยังคงสามารถสร้างความดีความชอบอย่างที่ไม่อาจดูแคลนได้
ดังนั้นตอนนี้กรมพิธีการจึงมีการกระทำเล็กๆ บางอย่าง กลัวก็แต่ว่าในขณะที่ทุกคนกำลังบุกเบิกที่ดินกันใหม่ จะมีเพียงที่ว่าการที่ในอดีตเคยได้รับความเคารพสูงสุดในหกกรมต้าหลีอย่างพวกเขาเท่านั้นที่รั้งท้ายขบวน สะดุดล้มจมฝุ่น กลายไปเป็นที่ว่าการน้ำใสแจ๋ว ด้านในมีแค่เก้าอี้ที่ว่างเปล่าเย็นชืด แล้วจะยังคายของเก่ารับของใหม่ นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงของอันดับหนึ่งในราชสำนักต้าหลีที่ทั้งสูงศักดิ์และกุมอำนาจอย่างแท้จริงได้อย่างไร จะยังสามารถมีภาพบรรยากาศอย่างใหม่ในทุกๆ ปีใหม่ได้อย่างไร?
ตอนนี้ก็เหลือแต่กับกรมขุนนางที่ทะเลาะกันเสียงดัง เพราะมีท่านผู้เฒ่าสกุลกวนเป็นผู้บัญชาการณ์ ไม่ว่าคนของตัวเองจะปิดประตูทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน แต่ขอแค่ออกไปด้านนอกก็จะยังคงรักษากฎเกณฑ์อยู่ในระเบียบ
ต่อให้กรมพิธีการจะตะเบ็งเสียงดังลั่นว่าในเรื่องของป้ายสงบสุขปลอดภัย นับตั้งแต่เรื่องของการแนะนำ ตรวจสอบ แจกจ่าย บันทึกลงเอกสารคดีและประเมิน ล้วนจำเป็นต้องถูกเก็บเข้ามาไว้ในกรมพิธีการทั้งหมด ให้กรมอาญาที่เดิมทีมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ครึ่งหนึ่งสละอำนาจหน้าที่ทิ้งอย่างสิ้นเชิง ทว่านายท่านผู้เฒ่าสกุลกวนกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ เอาแต่ถ่วงเวลาไว้ สุดท้ายแม้แต่วิธีการต่ำช้าอย่างการลาพักเพราะป่วยก็ยังเอาออกมาใช้ มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเป็นคนแก่ที่ทั้งกินเนื้อทั้งดื่มสุราทุกมื้อ กระดูกยังแข็งแรงยิ่งกว่าขุนนางหนุ่มฉกรรจ์บางคนในกรมพิธีการเสียอีก เจ้าเองก็โดนลมหนาวล้มป่วยกับเขาได้ด้วยหรือ? จิ้งจอกเฒ่ายิ่งอายุมากก็ยิ่งหน้าหนาจริงๆ เมื่อเทียบกับนายท่านผู้เฒ่าเจ้ากรมพิธีการที่อายุน้อยกว่าหนึ่งรุ่นคนแล้ว และต่อให้เขายังถือว่าพอจะเป็นลูกศิษย์ในสำนักของนายท่านผู้เฒ่ากวนได้ครึ่งตัว ว่ากันว่าก็ยังโมโหจนถึงขั้นบ่นไม่หยุดอยู่ในห้องเข้าเวรของวังต้องห้าม บอกว่านายท่านผู้เฒ่าอาศัยว่าตัวเองอายุมากก็เลยวางมาดของผู้อาวุโสใส่พวกเขา
ในวงการขุนนางต้าหลีทั้งครึกครื้นและยุ่งวุ่นวาย อันที่จริงที่ว่าการฝ่ายต่างๆ ล้วนมีเรื่องน่าขำขันเกิดขึ้นไม่น้อย
ตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ของเมืองหลวง ในเดือนหนึ่งของปีนี้ก็ยิ่งมีการเดินแวะเวียนไปเยี่ยมเยียนตามบ้านในวันปีใหม่ถี่ขึ้น
สำหรับเรื่องในวงการขุนนางที่เป็นดั่ง ‘น้ำในแม่น้ำฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น’ เหล่านี้ ซ่งจ่างจิ้งไม่ค่อยเก็บเอามาใส่ใจมากนัก เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ นี่ถือเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป ขอแค่ไม่เกินกว่าเหตุ ไม่ล้ำเส้นกันมากนัก เขาก็ไม่มีทางสนใจ และในความเป็นจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ชาวยุทธในสนามรบอย่างเขาไปวุ่นวายใจกับกิจธุระซับซ้อนยิบย่อยพวกนี้
เพราะซ่งจ่างจิ้งจำต้องยอมรับว่า การที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีสามารถกรีฑาทัพลงใต้ได้อย่างราบรื่น อีกทั้งแต่ละย่างก้าวล้วนก้าวออกไปได้ด้วยความมั่นคง ซิ่วหู่ผู้นั้นมีคุณความชอบอย่างใหญ่หลวง
บนพื้นดินมีแสงรุ้งอ่อนจางอีกเส้นหนึ่งระเบิดออกมา ดูเหมือนว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางเทือกเขาจะเล็งคนเถื่อนต้าหลีที่มีลักษณะคล้าย ‘ขุนนางใหญ่’ อย่างเขาซ่งจ่างจิ้งมานานแล้ว ปราณกระบี่จึงเป็นเหมือนเส้นสีขาวเส้นหนึ่งที่พุ่งตรงเข้าหาซ่งจ่างจิ้ง ท่ามกลางปณิธานของกระบี่บินนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นกล้าหาญราวกับมองความตายเป็นมาตุภูมิ
ซ่งจ่างจิ้งโบกมือบอกเป็นนัยไม่ให้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินทั้งหลายขัดขวาง กระบี่บินที่อ่อนแรงของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกคนหนึ่ง คิดจะมาสะกิดให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสิบคนหนึ่งจั๊กจี้อย่างนั้นหรือ?
ซ่งจ่างจิ้งกุมหมัดง่ายๆ ต่อยให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นกระแทกกลับลงไปบนพื้นดิน มันร่วงลงบนพื้นข้างกายของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นพอดี ผู้ฝึกกระบี่ที่หน้าซีดขาวยืนโอนเอน แต่ก็ยังคงพยายามหยัดยืนให้มั่นคง มองไปยังบุรุษบนหัวเรือที่มีศักยภาพเหนือคาดคิดผู้นั้น
เรือบินทะยานผ่านกลางอากาศ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ออกกระบี่อีก เขาทรุดตัวลงนั่งลงกับพื้น
หลังจากนั้นเรือบินสำนักโม่ที่เป็นดั่งฝูงตั๊กแตนก็จงใจบินผ่านเหนืออากาศของขุนเขาใต้ราชวงศ์จูอิ๋ง
ผู้ฝึกกระบี่นับร้อยนับพันที่คิดว่าหากต้องตายก็คือตายหยัดยืนพร้อมรับมือศัตรูร่วมกับองค์เทพขุนเขาใต้ที่มีฐานะอันสูงส่ง
เรือกระบี่สิบกว่าลำที่อยู่ในเรือข้ามฝากสาดยิงกระบี่บินลงมายังแผ่นดินราวกับห่าฝน
บนพื้นดินและบนท้องฟ้า กระบี่บินจากคนสองกลุ่มปะทะเชื่อมต่อกันราวกับสายฝน กระบี่บินจากเรือกระบี่ที่สำนักโม่ทุ่มเงินเทพเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนสร้างขึ้นมา กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ล้วนวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย
บางครั้งมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เป็นดั่งปลาหลุดลอดแหไปได้ แต่ก็ต้องถูกผู้ฝึกตนของต้าหลีหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ผู้ฝึกตนเซียนดินที่ต้าหลีรับสมัครมาทยอยกันเรียกสมบัติอาคมให้ออกมาโจมตีจนสิ้นซาก เหนืออากาศของขุนเขาใต้จึงเกิดประกายแสงหลากหลายสีสันที่ทำให้คนมองละลานตาอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าตรงนั้นคือดินแดนแห่งเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้าในตำนาน
ในมือกายธรรมร่างทองขององค์เทพแห่งขุนเขาถือกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งที่สร้างขึ้นด้วยการรวบรวมปราณกระบี่จากวิชาลับเฉพาะของเชื้อพระวงศ์ในโลกมนุษย์ เงื้อกระบี่ฟันเข้าใส่เรือที่ซ่งจ่างจิ้งอยู่ ผลกลับถูกหนึ่งหมัดของซ่งจ่างจิ้งต่อยจนแหลกสลาย แล้วอีกหมัดหนึ่งก็ต่อยให้กายธรรมร่างทองขององค์เทพขุนเขาใต้พังทลาย สุดท้ายซ่งจ่างจิ้งยืนอยู่บนหลังคาของศาลเทพภูเขาใต้ องค์เทพขุนเขาใต้ที่สูญเสียกายธรรมร่างทองไปชั่วขณะกำลังจะใช้ควันธูปที่สะสมมาพันปีมาสร้างร่างทองขึ้นเพื่อต่อสู้กับคนผู้นี้อีกครั้ง
ซ่งจ่างจิ้งกลับเอ่ยว่า “แค่พอสมควรก็พอแล้ว ต้าหลีไม่ได้คิดจะสังหารพวกเจ้าให้สิ้นซาก ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ต่ำกว่าเซียนดินลงไปจงลงไปจากภูเขาให้หมด แล้วต้าหลีจะไม่เอาผิดเรื่องในอดีต ผู้ฝึกตนเซียนดิน คนที่ยอมศิโรราบ สามารถติดตามข้าผู้เป็นอ๋องลงใต้ไปต่อได้ ใครที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ก็จงอยู่บนขุนเขาใต้แต่โดยดี ข้ารับรองได้ว่าต่อให้มีการคิดบัญชีย้อนหลังก็จะไม่มีการฆ่าอย่างพร่ำเพื่อเด็ดขาด ทุกคนมีโอกาสจ่ายเงินฟาดเคราะห์ อีกทั้งยังรับประกันในรากฐานการหยัดยืนของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินอย่างพวกเจ้า ส่วนวัตถุนอกกายนั้นก็คงต้องเอามาเติมเต็มค่าใช้จ่ายทางกองทัพของต้าหลีแล้ว”
บนยอดเขาขุนเขาใต้เงียบกริบไร้สรรพสำเนียง
ซ่งจ่างจิ้งทะยานวูบออกไป แรงสะเทือนทำให้ตำหนักหลักขุนเขาใต้พังครืนลงมาเกินครึ่ง เขาปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้เรือนกายและโอสถทองของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งที่พยายามจะร่วมมือกับผู้ฝึกกระบี่ใหญ่คนอื่นๆ ที่สาบานว่าจะต่อต้านคนเถื่อนต้าหลีอย่างสุดกำลังแตกสลาย หลงเหลือเพียงแค่จิตหยินและทารกก่อกำเนิดแห่งชะตาชีวิตที่พลังอำนาจเสื่อมถอยเท่านั้น
หากมีผู้ฝึกตนมองมาจากตีนเขาจะเห็นว่าจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับยอดเขาของขุนเขาใต้ที่ยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นซากปรัก ฝุ่นผงปลิวคละคลุ้ง ประหนึ่งยอดเขาที่ถูกห้อมล้อมด้วยเมฆหมอกสีเหลืองกลุ่มใหญ่
ซ่งจ่างจิ้งย้อนกลับมาที่ศาลเทพภูเขาอีกครั้ง เขามองไปทางองค์เทพขุนเขาใต้ที่ยืนอยู่บนลานกว้างแล้วผงกศีรษะให้ เป็นการบอกเป็นนัยว่า การรู้อะไรควรไม่ควรขององค์เทพขุนเขาใต้ เขาซ่งจ่างจิ้งรับน้ำใจนี้ไว้แล้ว
ซ่งจ่างจิ้งทะยานร่างขึ้นฟ้ากลับไปยังเรือข้ามฟากอีกครั้ง
องค์เทพแห่งราชวงศ์จูอิ๋งท่านนี้มีสีหน้าซับซ้อน สุดท้ายประสานมือโค้งคารวะให้แก่อ๋องเจ้าเมืองต้าหลีที่ไร้ศัตรูทัดเทียมผู้นั้นหนึ่งครั้ง จนกระทั่งบัดนี้ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหลายคนถึงจะเพิ่งค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ ค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาไม่ได้ถูกเปิดใช้เลย
นี่เป็นทั้งความรักตัวกลัวตาย กลัวว่ามหามรรคาจะขาดสะบั้นขององค์เทพตนนี้เอง แล้วก็ทั้งกลัวว่าหากยังดึงดันต่อต้าน ตลอดทั้งขุนเขาใต้และผู้ฝึกกระบี่พันกว่าคนจะต้องตายอย่างอนาถ การที่แสร้งโจมตีเช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่ของแต่ละฝ่ายยินยอมกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ ยอมใช้กระบี่พลีชีพเพื่อบ้านเมืองอย่างไม่เสียดาย แล้วก็ยังมีแผนการอีกมากมายที่แฝงไว้ด้วยใจเห็นแก่ตัว ยกตัวอย่างเช่นการที่องค์เทพขุนเขาใต้อย่างเขาตกปากรับคำยอมให้ผู้ฝึกกระบี่ขึ้นมาบนภูเขา ก็เพราะหวังว่าจะมีคำอธิบายให้แก่ทั้งเจ้าของเดิมและเจ้าของใหม่ ไม่ถึงขั้นที่ว่าในอนาคตหลังจากสูญเสียตำแหน่งขุนเขาใต้ไปบนแผ่นดินสิ้นแคว้นแห่งนี้แล้ว ยังจะต้องถูกคนด่าประณาม ควันธูปบางเบา และกลับกลายเป็นว่าตนเองจะได้รับคำชื่นชมเยินยอจากชาวบ้านเพราะศึกในวันนี้ แล้วก็สามารถลดทอนปัญหายุ่งยากบางอย่างให้กับต้าหลี พยายามช่วงชิงตำแหน่งอันสูงส่งที่ต่อให้ไม่นับรวมองค์เทพของห้าขุนเขา แต่จะดีจะชั่วก็ยังรักษาตำแหน่งเทพภูเขาอันดับต้นๆ ของต้าหลีในอนาคตเอาไว้ได้
กลียุคที่เกิดขึ้นในแจกันสมบัติทวีป เห็นได้ชัดว่าจูอิ๋งสูญเสียอำนาจใหญ่ไปแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ควรต้องหาทางถอยไว้ให้กับตัวเองบ้าง
ซ่งจ่างจิ้งกลับไปที่หัวเรือ ยื่นมือไปกุมราวรั้วที่มีปราณวิญญาณไหลเวียนวนเอาไว้ อีกไม่นานต้าหลีคงต้องเปลี่ยนชื่อปีรัชศกแล้ว
……
ทะเลสาบซูเจี่ยน จวนตระกูลฟ่านในนครน้ำบ่อ
มีแขกมาเยี่ยมเยียน มอบเทียบสีเหลืองแผ่นหนึ่งมาให้ บอกว่าต้องการขอพบแม่ทัพกวน กวนอี้หราน
คนเฝ้าประตูไม่กล้าเพิกเฉย
ตอนนี้นครทั้งสี่แห่งที่มีกองทัพมารักษาการณ์ มีคนของต้าหลีสี่คนที่ระดับขั้นและอำนาจเท่าเทียมกัน คนหนึ่งในนั้นก็คือกวนอี้หรานแห่งนครน้ำบ่อ นับตั้งแต่เมื่อปีก่อน ตำแหน่งของเขาก็ได้เลื่อนขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจะกลายเป็นบุคคลที่เป็นดั่งหัวมังกรแล้ว ส่วนคนที่เหลืออีกสามคนก็มักจะมาปรึกษางานที่นครน้ำบ่อบ่อยๆ กวนอี้หรานไม่จำเป็นต้องออกไปจากนครน้ำบ่อเลยสักครั้ง แค่เบาะแสเหล่านี้ก็มากพอจะอธิบายทุกอย่าง
แม้แต่คำเล่าลือที่บอกว่าแท้จริงแล้วกวนอี้หรานก็คือลูกเขยที่พ่อตาอย่างซูเกาซานพึงพอใจก็ยังแพร่สะพัดไปทั่ว คำเล่าลือลือกันได้อย่างสมจริงสมจัง
นอกจากนี้แล้ว คนเฝ้าประตูยังรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มแขกผู้มาเยี่ยมเยือนนี้ค่อนข้างจะคุ้นตา เพียงแต่ว่าเขาสวมชุดผ้าฝ้ายสีเทา ใบหน้าผอมตอบ จึงจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
เพียงไม่นานคนเฝ้าประตูก็พาคนทั้งสามไปพบแม่ทัพกวนที่ตั้งที่ว่าการไว้ในจวนตระกูลฟ่าน
แขกทั้งสามคนล้วนสะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่คนละใบ
กวนอี้กรานที่ถอดเสื้อเกราะของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพออกแล้วมายืนอยู่ใต้ชายคานอกเรือนลักษณะเรียบง่ายที่ห้องเรียงรายกันซึ่งถูกนำมาเป็นที่ว่าการของเขา รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สุรามื้อหนึ่งที่รอคอยมานานกลับไม่ได้พบเจอ ผลกลับต้องมาเจอกับคนผู้หนึ่งที่ตัวเองไม่ค่อยชอบอย่าง กู้ช่าน
—–