เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็เพราะว่าได้เห็นโลกกว้างมามาก ถึงได้รู้ว่าฟ้าดินด้านนอกมียอดฝีมืออยู่มากมาย ภูเขาลูกหนึ่งมักจะมีภูเขาอีกลูกที่สูงกว่าเสมอ หาใช่ข้าดูแคลนตัวเองไม่ แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ไม่ควรประมาทหลงทระนงตน คิดว่าตัวเองฝึกหมัดฝึกกระบี่อย่างตั้งใจแล้วก็จะสามารถเอาชนะในทุกศึกได้ คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่กำลังหมดลงเสมอ…”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยันด้วยสีหน้าดูแคลน “โง่เง่ายิ่งนัก!”
เฉินผิงอันขอร้องอย่างจริงใจ “ขอท่านผู้อาวุโสโปรดอธิบายด้วย”
ผู้เฒ่าพลันลุกพรวดขึ้นยืน ในใจเฉินผิงอันสัมผัสได้ แต่มือเท้ากลับยังคงเชื่องช้า เหมือนการขึ้นรูปเครื่องปั้นในปีนั้นที่พอมือกับใจไม่ไปพร้อมกัน ก็มีแต่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นบ่อยๆ
แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เพราะเฉินผิงอัน ‘ช้า’ เกินไป แต่เป็นเพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่งเร็วเกินไปต่างหาก
เฉินผิงอันจึงได้แต่ยกสองแขนขึ้นสกัดกั้นอยู่เบื้องหน้าตนเอง แต่กระนั้นก็ยังถูกชุยเฉิงตีเข่าเข้าที่หน้าผาก ร่างทั้งร่างกระเด็นหวือขึ้นสูงไปกระแทกกับกำแพง พอร่วงลงมาก็ถูกผู้เฒ่าเตะเข้าที่หน้าท้อง ร่างกระเด้งขึ้นไปกระแทกฟ้าเพดาน ก่อนจะร่วงลงมาอย่างแรง สุดท้ายถูกเท้าหนึ่งของผู้เฒ่ากระทืบเข้าที่หน้าผาก ร่างของเฉินผิงอันกลิ้งไถลออกไปในชั่วพริบตา กระแทกเข้ากับมุมกำแพง กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย
ช่างเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นซะจริงๆ
ใช้เข่าลอบโจมตี คือวิธีการที่เฉินผิงอันใช้ก่อนหน้านี้
ชุยเฉิงยกสองมือกอดอก ยืนอยู่กลางห้อง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้อยคำที่ล้ำค่าดุจทองคำดุจหยกของข้า หากเจ้าไม่จ่ายค่าตอบแทนเสียเลย ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า แล้วจะจำไม่ได้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ถ่มเลือดทิ้งหนึ่งคำ
ชุยเฉิงถาม “ต่อให้จะมีตัวแปรที่มองไม่เห็นถูกกำหนดไว้แล้ว แต่การที่เผยเฉียนเกียจคร้านไม่ยอมฝึกยุทธก็จะหลบพ้นไปได้อย่างนั้นหรือ? มีเพียงผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะงัดข้อกับสวรรค์ได้! เจ้าอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวมานานขนาดนั้น บอกว่าตัวเองได้ดูแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามร้อยปีไหลผ่านไปรอบหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วได้เรียนรู้หลักการเหตุผลกะผายลมสุนัขอะไรมาบ้าง? แค่นี้ก็ไม่เข้าใจงั้นรึ?!”
เฉินผิงอันไม่ต้องใช้สายตาไปจับจ้องเรือนกายของผู้เฒ่าแม้แต่น้อย พริบตานั้นจิตวิญญาณของเขาก็จมจ่อม ดิ่งลงสู่ขอบเขตลี้ลับมหัศจรรย์ที่ ‘เบื้องหน้าไร้คน สนใจแค่ตัวเอง’ กระทืบเท้ากับพื้นหนักๆ ปล่อยหมัดส่งออกไปยังจุดที่ไร้คน
ทว่าหมัดนี้กลับถูกชุยเฉิงปัดทิ้งอย่างง่ายดาย หน้าอกเหมือนถูกค้อนทุบลงมาอย่างแรง หลังของเฉินผิงอันแนบติดกับผนัง ใช้ข้อศอกยันเอาไว้ บวกกับท่าหมัดที่หละหลวมพลันระเบิดพลังจึงเหมือนสายคันธนูที่ถูกง้าวจนสุดแล้วปล่อยผลึงออกไป ใช้เรือนกายที่มีความเร็วยิ่งกว่าการถอยร่นเมื่อครู่นี้พุ่งเข้าหาผู้เฒ่า คิดไม่ถึงว่าตนจะเหมือนชนเข้ากับปากกระบอกปืน ถูกผู้เฒ่าใช้แขนเหวี่ยงเข้าที่ลำคอ เฉินผิงอันจึงล้มกระแทกลงกับพื้น แรงมหาศาลนั้นทำให้ร่างของเฉินผิงอันกระเด้งกระดอนอยู่หลายที จนกระทั่งถูกผู้เฒ่าเหยียบเข้าที่หน้าผาก
ผู้เฒ่าก้มหน้าลงมองเฉินผิงอันที่เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด “น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่กำลังน้อยเกินไป ออกหมัดช้าเกินไป ปณิธานตื้นเขินเกินไป มีปัญหาไปเสียทุกจุด ทุกหมัดล้วนมีช่องโหว่ ยังกล้าจะปะทะกับข้าซึ่งๆ หน้าอีกงั้นหรือ? สตรีควงทวนยาว ช่างไม่กลัวว่าจะทำให้เอวตัวเองหักจริงๆ!”
เฉินผิงอันใช้สองมือตบพื้น พลิกตัวหมุนกลับ สองขาชี้ฟ้า ไถลหัวออกจากใต้ฝ่าเท้าของผู้เฒ่า ใช้มือยันพื้น หมุนตัวว่องไวหลบเท้าที่ฟาดมาอย่างสบายๆ ของผู้เฒ่าได้อย่างหวุดหวิด
คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าแค่ยกชายแขนเสื้อขึ้นเบาๆ พายุหมัดลูกหนึ่งก็ ‘พัด’ ใส่ร่างของเฉินผิงอันที่ตั้งรับศัตรูด้วยท่าฟ้าดิน จึงเป็นเหมือนลูกหิมะที่กลิ้งอยู่กลางอากาศ ลอยหวือไปกระแทกลงบนหน้าต่างที่อยู่ทางทิศเหนือของเรือนไม้ไผ่
ผู้เฒ่าไม่ได้ไล่ตามมาโจมตีต่อ เขาถามเหมือนชวนคุยว่า “เรื่องการเลือกห้าขุนเขาใหม่ของต้าหลี ได้เล่าให้เว่ยป้อฟังหรือยัง?”
เฉินผิงอันดิ้นรนลุกขึ้นยืน แล้วจึงส่ายหน้า “อยากจะเล่าอยู่เหมือนกัน เพียงแต่หลังจากพิจารณาแล้วก็คิดว่าช่างเถิด เรื่องสำคัญที่เป็นความลับระดับต้นๆ ของต้าหลีเช่นนี้ ข้าไม่กล้าเอาไปแพร่งพรายตามใจชอบ เป็นสหายกับเว่ยป้อก็จริง แต่ก็ไม่ควรขายลูกศิษย์ตัวเองเพื่อแลกกับน้ำใจให้ผู้อื่น แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้เว่ยป้อเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่เรียกลม ลูกธนูที่พุ่งมาจากมุมมืดยากจะป้องกัน ระวังตัวไว้ก่อนย่อมเป็นการดี”
ชุยเฉิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม พยักหน้ากล่าวว่า “เรื่องของครอบครัวตัวเอง ในเรื่องที่ต้องคิดว่าทำได้หรือไม่ได้ ก็สามารถลองทำดูได้ พูดถึงสิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิด ตอนที่สมควรพูดหรือไม่สมควรพูด ทางที่ดีที่สุดก็อย่าพูดจะดีกว่า”
เฉินผิงอันจดจำสองประโยคนี้ของผู้เฒ่าไว้ในใจเงียบๆ บ้านใดมีคนแก่ก็เหมือนมีสมบัติล้ำค่า ทองพันชั่งก็ไม่อาจแลกหามาได้
จู่ๆ ชุยเฉิงก็ตวาดกร้าว “เวลาประลองหมัดก็ยังกล้าวอกแวกอย่างนั้นหรือ?!”
มองดูเหมือนเฉินผิงอันใจลอย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากำลังนำวิชาลับปราณกระบี่สิบแปดหยุดมาปรับใช้กับการผลัดเปลี่ยนปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ จนดึงเอาปราณที่แท้จริงออกมาได้ถึงครึ่งคำ หลังจากเจอหนึ่งหมัดของผู้เฒ่า เขาจึงสามารถข่มกลั้นต่อความเจ็บปวดทรมานทั่วทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ จากนั้นก็กัดฟันแน่น ปล่อยหมัดออกไป ก่อนที่จะเปลี่ยนหมัดเป็นสองนิ้ว ขาดอีกแค่ชุ่นเดียวก็สามารถจิ้มเข้าที่หว่างคิ้วของผู้เฒ่าได้แล้ว
ผู้เฒ่ายื่นมือมากำนิ้วทั้งสองของเฉินผิงอัน สะบัดมือทิ้งก่อนยกขาถีบ ร่างของเฉินผิงอันถึงกับลอยคว้างขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเขาก็ขยับออกไปสองสามก้าว เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ แล้วตั้งท่าตุ้นหม่าปู้ (ท่าที่กางขาสองข้างออกกว้างแล้วย่อเข่าลงหรือท่าสควอช) จากนั้นจึงเอียงไหล่กระแทกใส่เฉินผิงอันที่กำลังร่วงลงสู่พื้น เสียงปังดังสนั่น เฉินผิงอันมีเรื่องกับผนังเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง สุดท้ายก็ได้แต่นอนพังพาบพิงผนัง ลุกขึ้นไม่ไหวจริงๆ แล้ว ลมปราณแท้จริงครึ่งเฮือกนั้น เดิมทีก็เป็นวิธีสังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อยอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อนำมาใช้กับผู้เฒ่าก็มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ต้องเสียหายแปดร้อย
ผู้เฒ่านวดคลึงปลายคาง ยิ้มกล่าวว่า “พูดกันตามตรง เจ้าในตอนนี้ก็ไม่ถือว่าไม่มีอะไรเลย ปีนั้นตอนที่สร้างพื้นฐานขอบเขตสาม การออกหมัดของเจ้าได้แต่ใช้สองคำว่าทึ่มทื่อมาบรรยาย ไม่ได้มีสมองเหมือนอย่างในตอนนี้ ดูท่าเจอหมัดบ่อยเข้า สมองก็เลยเปลี่ยนมาแล่นเร็วขึ้นด้วย”
เฉินผิงอันเช็ดหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บนฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดสด เมื่อเทียบกับความทรมานที่ต้องเจ็บปวดร้าวระบมทั้งร่างกายและจิตวิญญาณในอดีตแล้ว อาการบาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้แค่ทำให้เขาคันๆ เท่านั้น แม่งก็แค่เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งจริงๆ
เฉินผิงอันพิงผนัง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เอาอีก”
ผู้เฒ่ายิ้มถาม “จะถามเจ้าเป็นคำถามสุดท้าย เจ้ากลัวตายขนาดนี้ เป็นเพราะมีเงินแล้วจึงเสียดายชีวิต ไม่อยากตาย หรือเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะตายไม่ได้?”
เฉินผิงอันฉวยโอกาสนี้รีบเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์โดยไว ย้อนถามว่า “แตกต่างกันหรือ?”
หมัดของผู้เฒ่าพุ่งมาถึง “ไม่แตกต่าง ล้วนต้องเจอหมัด”
……
หลังจากที่เผยเฉียนกับจูเหลี่ยนไปส่งจดหมายบนภูเขาหนิวเจี่ยวเสร็จแล้ว นางก็เริ่มสนิทสนมกับฉวีหวงพอดี จึงปรึกษากับมันแล้วว่าวันหน้าทั้งสองฝ่ายจะเป็นสหายกัน ในอนาคตตอนกลางวันออกท่องยุทธภพ ตอนกลางคืนกลับบ้านมากินข้าวได้หรือไม่นั้น ก็ยังต้องดูว่าฝีเท้าของมันได้เรื่องหรือไม่ ยิ่งฝีเท้าของมันดีเท่าไหร่ ยุทธภพของนางก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะไปกลับภูเขาลั่วพั่วกับเมืองเล็กได้รอบหนึ่ง ส่วนคำว่าปรึกษานี้ก็แค่เผยเฉียนจูงม้าเดินแล้วพร่ำพูดอยู่คนเดียวก็เท่านั้น และทุกครั้งที่ถาม นางก็จะเอ่ยประโยคว่า ‘ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็จะถือว่าเจ้าตกลงแล้วนะ’ หรืออย่างมากก็แค่ชูนิ้วโป้งเอ่ยชมเชยสำทับไปอีกประโยค “ไม่เสียแรงที่เป็นสหายของข้าเผยเฉียน ขออะไรก็ทำให้หมด ไม่เคยปฏิเสธ ต้องรักษานิสัยดีๆ นี้เอาไว้นะ”
ทำเอาจูเหลี่ยนที่มองดูอยู่ทำสีหน้าเหมือนคีบแมลงวันออกจากถ้วยข้าว
ผลคือพอกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว สือโหรวก็ย้ำประโยคที่เฉินผิงอันกำชับไว้ให้นางฟังหนึ่งรอบ
เผยเฉียนจึงได้แต่บอกลากับฉวีหวงอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วจึงลงเขาไปยังเมืองเล็กกับสือโหรว
ที่ร้านยาสุ้ยของตรอกฉีหลง ตอนนี้นอกจากพ่อครัวทำขนมที่ไม่ได้เปลี่ยนคนซึ่งต้องเพิ่มเงินกว่าจะรั้งตัวคนไว้ได้แล้ว ลูกจ้างในร้านก็เปลี่ยนไปแล้วชุดหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งออกเรือนแล้ว ส่วนเด็กสาวอีกคนก็หางานที่ดีกว่าเดิมได้ ไปเป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่ของตรอกเถาเย่ งานสบายอย่างมาก จึงมักจะมานั่งที่ร้าน แล้วเล่าถึงความดีของคนครอบครัวนั้น บ้านหลังนั้นตั้งอยู่ตรงหัวมุมของตรอกเถาเย่ ปฏิบัติกับบ่าวรับใช้เหมือนเด็กรุ่นหลังในตระกูลตัวเอง ไปเป็นสาวใช้อยู่ที่นั่นก็ช่างโชคดีจริงๆ
และยังมีสตรีแต่งงานแล้วอีกคนหนึ่งที่เจอสมบัติตกทอดของตระกูลสองชิ้นซึ่งคนแต่ละรุ่นในครอบครัวล้วนไม่เคยเห็นความสำคัญ กลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยภายในค่ำคืนเดียว จึงย้ายไปอยู่ที่เขตการปกครองแห่งใหม่ นางยังเคยกลับมาที่ร้านสองครั้ง อันที่จริงก็แค่มาเพื่อโอ้อวดใส่แม่นางหร่วนที่ ‘ไม่ใช่เจ้าของร้านตัวจริง’ ผู้นั้น อยู่ด้วยกันนานวันเข้า บุตรสาวคนเดียวของช่างหร่วน สำนักกระบี่หลงเฉวียนที่ไกลเกินเอื้อมอะไรพวกนั้น สตรีแต่งงานแล้วสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งเท่าไหร่ แค่รู้สึกว่าแม่นางผู้นั้นเย็นชาใส่ทุกคน ไม่น่าเข้าใกล้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของนางคราวนั้นที่ถูกหร่วนซิ่วจับได้ ทำให้นางกระอักกระอ่วนเป็นอย่างยิ่ง สตรีแต่งงานแล้วนินทาในใจไม่หยุด เจ้าเป็นคุณหนูคนหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเถ้าแก่เฉินด้วย ไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรทั้งนั้น วันๆ เอาแต่มานั่งอยู่ในร้าน คิดจะแสร้งทำตัวว่าเป็นเถ้าแก่เนี้ยะหรืออะไรกันแน่?
เมื่อเทียบกับร้านยาสุ้ยที่กลิ่นหอมอบอวลแล้ว เผยเฉียนชอบร้านฉ่าวโถวที่อยู่ใกล้กันมากกว่า ที่นั่นมีชั้นเก็บสมบัติขนาดสูงใหญ่วางเรียงราย ใส่ของกระจุกกระจิกโบราณเก่าแก่ที่ปีนั้นตระกูลซุนขายต่อให้ไว้จนเต็ม
เพียงแต่ว่าปีนั้นตอนที่พี่หญิงหร่วนซิ่วเป็นคนดูแลร้าน หลังจากขายของที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาเรียกว่าเป็นวัตถุวิเศษไปได้ในราคาสูงแล้ว ภายหลังก็เหมือนจะขายอะไรไม่ได้อีก ประเด็นสำคัญคือยังมีของหลายชิ้นที่ถูกพี่หญิงหร่วนซิ่วแอบเก็บเอาไว้ มีครั้งหนึ่งนางพาเผยเฉียนไป ‘เปิดหูเปิดตา’ ที่ห้องด้านหลัง อธิบายว่าสิ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นของชั้นเยี่ยม เป็นสมบัติพิทักษ์ร้าน ขอแค่ในอนาคตเจอกับคนมือเติบ หรือพวกคนหลอกง่ายถึงจะเอาออกไปไว้ข้างนอกได้ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับว่ารังเกียจเงิน
ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกชอบใจทันที นี่คือเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน นางพลันหัวเราะปากกว้าง พี่หญิงหร่วนซิ่วเห็นท่าทางของนางตอนนั้นคงคิดว่าตลก ก็เลยยกขนมให้เผยเฉียน นั่นยังเป็นครั้งแรกที่หร่วนซิ่วแบ่งขนมให้นาง หลังจากนั้นขอแค่เผยเฉียนเปิดปากขอ และหร่วนซิ่วมี นางก็ไม่มีทางปฏิเสธ
วันนี้เผยเฉียนยกม้านั่งตัวเล็กมาวางไว้ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน นางยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้ศีรษะของนาง ‘โผล่พ้นผิวน้ำ’ ออกมาได้พอดี ราวกับว่า…บนโต๊ะคิดเงินวางหัวคนไว้หัวหนึ่ง
ส่วนเผยเฉียนกลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนราชันแห่งขุนเขาที่กำลังลาดตระเวนตรวจสอบอาณาเขตเล็กๆ ของตัวเองมากกว่า
สือโหรวยืนอยู่ข้างเผยเฉียน โต๊ะคิดเงินนี้ค่อนข้างสูงจริงๆ นางก็ได้แต่เหยียบอยู่บนม้านั่งถึงจะดีกว่าเผยเฉียนเล็กน้อย
สือโหรวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เผยเฉียนติดอาจารย์ของตัวเองมาก แต่ก็ยังยอมลงจากภูเขา ยอมมาอยู่ที่นี่อย่างว่าง่าย
นางจึงอดใจไม่ไหวถามว่า “เผยเฉียน ไม่ห่วงว่าอาจารย์ของเจ้าที่ฝึกหมัดจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดหรือ?”
เผยเฉียนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ดวงตากลับกลอกไปมา คล้ายกำลังเล่นใครเป็นหุ่นไม้ (การละเล่นชนิดหนึ่งที่ผู้เล่นต้องหยุดยืนนิ่ง ใครขยับเท่ากับแพ้) นางเพียงแค่ขยับปากเล็กน้อย “เป็นห่วงสิ เพียงแต่ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่เป็นห่วง อาจารย์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าข้าเป็นห่วงอย่างไรล่ะ”
สือโหรวยื่นนิ้วออกมานวดคลึงหว่างคิ้ว หากพูดตามคำพูดติดปากของเจิ้งต้าเฟิงก็คือ ปวดกบาล
เผยเฉียนถอนหายใจ แต่สายตายังคงจ้องเป๋งไปเบื้องหน้า “พี่หญิงสือโหรว ท่านรู้สึกว่าคนคนหนึ่งไปอยู่บ้านคนอื่น อีกทั้งคนผู้นั้นยังไม่ใช่เพื่อนของท่าน ถ้าอย่างนั้นท่านสมควรต้องให้เงินเขาไหม?”
พูดฟังยาก ฟังแล้วก็ยิ่งวกวน
สือโหรวกล่าวอย่างสงสัย “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
เผยเฉียนถอนหายใจ “พี่หญิงสือโหรว วันหน้าท่านมาคัดตัวอักษรกับข้าเถอะ พวกเราสองคนจะได้เป็นเพื่อนกัน”
สือโหรวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำไมข้าต้องคัดตัวอักษรด้วย”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คัดตัวอักษรทำให้คนฉลาดไงล่ะ”
สือโหรวที่ความรู้สึกช้า ในที่สุดก็เข้าใจว่า คำว่า ‘อยู่บ้านคนอื่น’ ของเผยเฉียนก็คือการเหน็บแนมที่ตนมาพักพิงอยู่ในคราบร่างเซียนที่อาจารย์ของนางมอบให้
สือโหรวยื่นนิ้วออกมา หมายจะดีดหน้าผากแม่หนูน้อยเลียนแบบเฉินผิงอัน
เผยเฉียนที่แกล้งทำเป็นหุ่นไม้มองตรงไปเบื้องหน้าเบี่ยงหลบว่องไว จากนั้นก็กลับมาอยู่ท่าเดิม ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้ชำเลืองมองสือโหรวแม้แต่แวบเดียว แล้วเผยเฉียนก็บ่นว่า “อย่ากวนสิ ข้ากำลังตั้งใจคิดถึงอาจารย์อยู่นะ!”
—–