กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 485.2 อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด

บทที่ 485.2 อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด

สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ในเมื่อเจ้าเกิดมาก็มีโชคชะตาที่จะได้เสวยสุข ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรจะคิดพิจารณาให้ดีว่าจะเสวยสุขอย่างไร นี่เป็นเรื่องดีที่คนกี่มากน้อยในใต้หล้าอิจฉาแทบตายก็ยังไม่ได้มาครอบครอง อย่าลืมล่ะว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอะไรเลย! หากเจ้ารู้สึกว่าในที่สุดก็ได้เป็นฮ่องเต้ต้าหลีแล้ว ก็เลยกล้าเพิกเฉยละเลย วันนี้ข้าก็จะพูดให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน หากวันใดเจ้าเลอะเลือนทำให้เก้าอี้มังกรหายไป ซ่งมู่รับช่วงต่อมานั่งแทน แม่ยังคงได้เป็นไทเฮาแห่งต้าหลี แต่ถึงเวลานั้นเจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้?! คนอื่นไม่รู้ความจริง หรือบางทีอาจรู้แต่ไม่กล้าพูด แต่ชุยฉานอาจารย์ของเจ้า และยังมีซ่งจ่างจิ้งท่านอาของเจ้า จะลืมหรือ?! หากอยากจะพูดขึ้นมา พวกเราสองแม่ลูกห้ามได้อยู่หรือ?”

ซ่งเหอกล่าวอย่างละเอายใจ “ลูกผิดไปแล้ว ไม่ควรหลงระเริงตน”

หากเป็นในอดีต สตรีแต่งงานแล้วก็คงจะพูดจาดีๆ ปลอบโยนเขาสักสองสามคำ แต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิม ดูเหมือนว่าความอ่อนโยนว่าง่ายของบุตรชายจะยิ่งทำให้นางโมโห

เห็นเพียงว่าสตรีวางกระแทกถ้วยชาลงอย่างแรงจนน้ำชาหกกระเซ็น สีหน้าของนางเย็นชา “ตอนนั้นสอนเจ้าอย่างไร? อยู่อาศัยในวังลึก ยากที่จะได้เห็นทัศนียภาพด้านนอก ดังนั้นข้าถึงได้เฝ้าขอร้องฝ่าบาทอย่างยากลำบาก กว่าจะขอให้ราชครูมาเป็นครูสอนหนังสือเจ้าด้วยตัวเองได้ ไม่เพียงเท่านี้ หากแม่มีโอกาสก็จะต้องแอบพาเจ้าออกจากวังหลวงไปเดินอยู่ตามหมู่ชาวบ้านของเมืองหลวง นี่ก็เพื่อให้เจ้าได้มองดู ได้เห็นให้มากว่าคนตระกูลยากจนทำอย่างไรถึงร่ำรวยขึ้นมาได้ แล้วคนตระกูลร่ำรวยทำอย่างไรถึงได้ตกอับ คนโง่มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร แล้วคนฉลาดต้องตายอย่างไร! แต่ละคนต่างก็มีวิธีการใช้ชีวิตและข้อดีข้อเสียของตัวเอง นี่ก็เพื่อให้เจ้าได้เห็นความซับซ้อนและความจริงของวิถีทางโลกใบนี้อย่างชัดเจน!”

“ยังจำได้หรือไม่ว่าครั้งแรกที่แม่ตีเจ้าเป็นเพราะเรื่องใด? อยู่ในหมู่ชาวบ้านได้ยินพวกชาวบ้านพูดอย่างสนุกสนานว่าคนในครอบครัวฮ่องเต้ใช้หาบทองคำ ข้าวมื้อหนึ่งก็ได้กินหมั่นโถวลูกใหญ่เท่าถาดหลายลูก ตอนนั้นเจ้ารู้สึกว่าน่าสนใจ ถึงได้หัวเราะจนหุบปากไม่ลง ตลกนักหรือ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าสายตาของซิ่วหู่ที่ติดตามพวกเรามามองเจ้าในเวลานั้นก็เหมือนกับสายตาที่เจ้าใช้มองพวกชาวบ้านอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!”

“เก้าอี้มังกรตัวหนึ่ง ชุดคลุมมังกรตัวหนึ่ง กินได้หรือไร? หากถึงวันที่ภูเขาโล้นโล่งสายน้ำแห้งขอดอย่างแท้จริง พวกมันจะเทียบกับหมั่นโถวไม่กี่ลูกได้หรือ? ราชครูสอนเจ้าอย่างไร ใต้หล้านี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่จำเป็นต้องมีรากฐานที่มั่นคงอยู่ในมุมมืดที่ไม่มีใครรู้ ยิ่งสอดคล้องกับหลักการเหตุผลทางโลกมากเท่าไหร่ ยิ่งลมพัดฝนชะก็ยิ่งไม่สั่นคลอนมากเท่านั้น! ราชครูยกใครขึ้นมาเป็นตัวอย่าง? คือท่านผู้เฒ่าสกุลกวนที่ทำท่างัวเงียเหมือนจะหลับอยู่ตลอดทั้งปีผู้นั้น! ตัวอย่างที่ตรงข้ามคือใคร คือบรรพบุรุษเฉาหยวนสองสกุลที่มองดูเหมือนมีชื่อเสียงดีงามในประวัติศาสตร์ มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด! สัจธรรมที่ ‘คนเลวมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร’ ซึ่งสอนให้เจ้าเปล่าๆ เช่นนี้ เจ้าซ่งเหอกล้าไม่เก็บเอามาใส่ใจหรือ?!”

สตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืน ไฟโทสะพุ่งทะยานเทียมฟ้า “ตำราผุที่กษัตริย์ใต้หล้าเก็บเป็นความลับไม่แพร่งพรายไม่กี่เล่มนั้น ตำราราชครูแห่งจักรพรรดิ และยังมีศาสตร์จักรพรรดินั่งหันหน้าหาทิศใต้ที่ลึกลับอำพรางไม่กล้าเปิดเผยแก่ใครพวกนั้น จะนับเป็นผายลมอะไรได้! หลักการเหตุผลใหญ่พวกนั้นไม่ดีหรือ? ผิดหรือ? เปล่าเลย! ดีจนไม่รู้ว่าจะดีไปกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว ถูกจนถูกไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว! แต่เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่า เหตุใดแจกันสมบัติทวีปที่มีฮ่องเต้น้อยใหญ่มากมายเพียงนั้น ตอนนี้กลับหลงเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน? แล้วมีสักกี่คนที่เป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาที่อยู่เฉยๆ ก็ปกครองบ้านเมืองให้รุ่งเรืองได้? ก็เพราะวิสัยทัศน์ นิสัยใจคอและวิธีควบคุมคนของเจ้าคนที่นั่งบนบัลลังก์มังกรพวกนี้ไม่อาจประคับประคองหลักการเหตุผลในตำราพวกนั้นได้ไหว! ปีนั้นที่ซิ่วหู่ถ่ายทอดทฤษฎีคุณความชอบของเขา มีคำพูดประโยคใด มีเหตุผลหลักการใหญ่เทียมฟ้าข้อใดที่ไม่ได้เริ่มกล่าวจากเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สะดุดตามากที่สุด?”

สตรีแต่งงานแล้วหน้าเขียวคล้ำ ยกนิ้วชี้หน้าฮ่องเต้หนุ่มแห่งต้าหลี “วันนี้เจ้าเปรียบเทียบเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากกับเศษสวะผู้หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเขา พรุ่งนี้เจ้าจะเปรียบเทียบความดีความชอบกับพี่ชายของเจ้าแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีมากกว่าเขาด้วยหรือไม่? เปรียบเทียบกับความรู้ของราชครู เปรียบเทียบกับวิชายุทธของท่านอาเจ้า ล้วนรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วเจ้าไม่ได้แย่กว่าเลย? ใครกันที่มอบความกล้านี้ให้เจ้า ปล่อยให้เจ้าประมาทซ่งมู่ขนาดนี้? ข้าที่เจียมเนื้อเจียวตัวมาทั้งชีวิตอย่างนั้นหรือ? อดีตฮ่องเต้ที่ถูกสกุลลู่แห่งแผ่นดินกลางวางแผนเล่นงานจนต้องจากไปตั้งแต่ยังหนุ่มอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเป็นราชครูที่ลึกๆ ในใจดูแคลนเจ้าผู้นั้น?!”

ซ่งเหอเองก็ลุกขึ้นตาม เขาเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

ไม่มีความโกรธเคืองหรือไม่พอใจแม้แต่น้อย เพียงรับคำสั่งสอนอย่างวัวสันหลังหวะ

ต่อให้ตอนนี้เขาจะเป็นบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรตัวนั้นแล้วก็ตาม

สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจแล้วนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว มองบุตรชายที่ไม่ยอมนั่งลงเสียทีด้วยสายตาเศร้าสร้อย “เหอเอ๋อร์ รู้สึกว่าแม่น่ารำคาญมากเลยใช่ไหม?”

ซ่งเหอถึงได้นั่งลง พูดเบาๆ พร้อมคลี่ยิ้ม “หากไม่กังวลว่าราชสำนักจะวิพากษ์วิจารณ์ ข้าอยากจะให้ท่านแม่ว่าราชการอยู่หลังม่านให้สมใจอยากด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ก็จะได้มีเรื่องราวทิ้งไว้ในตำราประวัติศาสตร์มากหน่อย”

สตรีแต่งงานแล้วพูดอย่างขันๆ ปนฉุน “เหลวไหล!”

ซ่งเหอ ซ่งมู่ เหอเหอมู่มู่ (ปรองดองกลมเกลียว) ครอบครัวปรองดองมีความสุข

ครอบครัวของชาวบ้าน ครอบครัวของจักรพรรดิ ธรณีประตูสูงต่ำ แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ทว่าแท้จริงแล้วหลักการเหตุผลกลับเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าปีนั้นสตรีแต่งงานแล้วจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากครั้งหนึ่ง สละหนึ่งเก็บไว้หนึ่ง ส่งตัวบุตรชายคนหนึ่งที่ยังอยู่ในห่อผ้าอ้อมไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูเพื่อโชคชะตาแคว้นของสกุลซ่ง หลังจาก ‘ป่วยตาย’ ไป ก็ขีดชื่อ ‘ซ่งมู่’ ที่เดิมทีควรชื่อซ่งเหอบนทำเนียบวงศ์ตระกูลในฝ่ายพลเรือนในพระองค์ทิ้งไป ส่วนบุตรชายคนรองก็ไม่เพียงแต่ได้อยู่ต่อในเมืองหลวง ยังได้ชื่อซ่งเหอและสถานะบุตรชายคนโตไปด้วย

นี่ถึงได้มีซ่งจี๋ซินของตรอกหนีผิงในภายหลัง มีการออกจากเมืองหลวงและมารับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาของซ่งเย่จาง หลังจากทำงานประสบความสำเร็จก็กลับเมืองหลวงไปรายงานผลปฏิบัติการ เมื่อกลับมาอีกครั้ง สุดท้ายก็ถูกแม่ทัพสกุลหลูที่ยอมสวามิภักดิ์อยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นตัดหัวด้วยมือตนเอง แล้วใส่กล่องส่งกลับมาให้ที่เบื้องหน้าของอดีตฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้อยู่ในห้องทรงพระอักษรเพียงลำพังตลอดทั้งคืน อ่านเอกสารฉบับนั้นจนฟ้าสาง จากนั้นต่อมาก็ออกพระราชโองการให้กรมพิธีการแต่งตั้งซ่งเย่จางเป็นเทพภูเขาองค์ใหม่ของภูเขาลั่วพั่ว ส่วนเทวรูปในศาลก็มีแค่ส่วนหัวที่ได้เคลือบสีทอง สุดท้ายคนตลอดทั้งบนและล่างภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนจึงได้มีคำเรียกขานเขาอีกอย่างว่า ‘เทพภูเขาเศียรทอง’

ฝ่ายพลเรือนในพระองค์ที่รับผิดชอบเก็บแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ ดูแลเรื่องการบันทึกรายชื่อเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลี เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนก็มีคนแก่ตายไปหลายคน ยี่สิบปีให้หลัง ซึ่งก็คือปีก่อนและปีนี้ก็มีคนตายไปอีกกลุ่มหนึ่ง ล้วน ‘แก่ตาย’ ไปทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าปีนั้นฮ่องเต้มีพระราชโองการจึงจำต้องตาย ทว่าครั้งหลังนี้กลับเป็นเพราะพวกตาแก่หนังเหนียวที่มีชีวิตอยู่มาจนเอียนแล้วขอความตายด้วยตัวเอง ถึงได้ทุ่มเดิมพันข้างองค์ชายที่ไร้รากฐานคนหนึ่ง คิดจะพลิกคดีขึ้นมาโต้เถียงกันเรื่องสถานะว่า ‘ใครเป็นคนโต ใครเป็นคนเล็ก’ อีกครั้ง

ซ่งเหอบอกลาจากไป

สตรีแต่งงานแล้วนั่งดื่มชาอยู่เพียงลำพัง

อารมณ์ของนางซับซ้อนอย่างยิ่ง

ซ่งจี๋ซินก็ดี ‘ซ่งมู่’ ก็ช่าง ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของนาง นางจะไม่มีความผูกพันเลยได้อย่างไร

ปีนั้นนางอุ้มบุตรชายคนโตที่อยู่ในห่อผ้าอ้อม จ้องมองบุตรชายที่ผิวพรรณเป็นสีชมพูน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าของนางนองไปด้วยน้ำตา พึมพำว่า “ใครให้เจ้าเป็นพี่ชาย ใครให้เจ้าเกิดมาเป็นคนสกุลซ่งต้าหลี? ใครให้เจ้าต้องมาเจอกับพ่อแม่ที่ใจดำเช่นพวกเรากันนะ?”

ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ก็อยู่ด้วย เพียงแต่เขาไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย

ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ คราวนั้นที่นางยอมล้ำเส้นหมายแอบดูเอกสารลับนั่นให้ได้ ผลกลับถูกอดีตฮ่องเต้ตวาดสั่งสอน นางจึงตัดใจอย่างสิ้นเชิง คิดเสียว่าลูกชายคนนั้นได้ตายไปแล้ว

ถึงท้ายที่สุดความละอายในใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าไหร่ นางก็ยิ่งกลัวการเผชิญหน้ากับซ่งจี๋ซิน กลัวจะได้ยินเรื่องใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับเขามากเท่านั้น

ยิ่งกลัวว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งจะเดือดร้อนมาถึง ‘บุตรชายเพียงคนเดียว’ ที่ถูกเลี้ยงอยู่ข้างกาย ถึงท้ายที่สุดจะกลายเป็นความว่างเปล่า

ซ่งเย่จางที่เคยเป็นขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผามานานหลายปีผู้นั้น เดิมทีก็มีโอกาสที่จะไม่ต้องตาย ถอยไปพูดหนึ่งก้าว อย่างน้อยก็สามารถตายช้าหน่อย อีกทั้งยังมีหน้ามีตาได้มากกว่าเดิม อย่างเช่นหากอิงตามแผนการแรกเริ่มสุดของอดีตฮ่องเต้ ซ่งเย่จางสามารถใช้ชีวิตอยู่ในกรมพิธีการได้อีกหลายปี จากนั้นก็ถูกย้ายไปทำงานอยู่ในที่ว่าการน้ำใสที่มีตำแหน่งแต่ไร้อำนาจ ระดับขั้นย่อมไม่ต่ำอย่างแน่นอน เก้าขุนนางใหญ่ในหกกรมไม่ต้องคิดฝัน อดีตฮ่องเต้ไม่มีทางยกตำแหน่งให้เขาแน่ แต่เก้าขุนนางเล็กย่อมต้องเป็นของในกระเป๋า ยกตัวอย่างเช่นตำแหน่งไท่ฉางซื่อชิง (ตำแหน่งขุนนางระดับสามชั้นเอก) หรือไม่ก็อยู่ในหงหลูซื่อ (หน่วยงานราชการ ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงดูแลเรื่อง ระเบียบธรรมเนียมการประชุมการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง) และฝ่ายชุนฝางซ้ายขวาผู้ดูแลเชื้อพระวงศ์ (หน่วยชุนฝางจะเป็นหน่วยงานที่ดูแลองค์รัชทายาท) ถือเป็นการถูกกักบริเวณ แต่ได้เสวยสุขไปอีกสิบยี่สิบปี หลังจากตายไปก็ยังได้บรรดาศักดิ์ที่ดีงามในลำดับต้นๆ ถือเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อสกุลซ่งต้าหลี

ต้องรู้ว่าเรื่องของการสร้างสะพานแบบคานล้วนผ่านมือของซ่งเย่จางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ที่นั่นได้กลบฝังเรื่องน่าอายที่ใหญ่ที่สุดของสกุลซ่งต้าหลีเอาไว้ หากเผยแพร่ออกไป ถูกสำนักศึกษากวานหูจับจุดอ่อนไว้ได้ อาจถึงขั้นส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การฮุบกลืนแจกันสมบัติทวีปของต้าหลี

ดังนั้นจึงถือว่าอดีตฮ่องเต้มีเมตตากรุณาต่อซ่งเย่จางมากแล้ว

แต่ที่ไม่สมควรอย่างยิ่งเลยก็คือ ในขณะที่ข่าวลือว่าซ่งจี๋ซินคือบุตรชายนอกสมรสของท่านผู้ตรวจการงานเตาเผาอย่างเขาแพร่ไปทั่วเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูจนผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่ว ซ่งเย่จางกลับยังไม่รู้จักทำตัวสำรวม ไม่รู้จักเก็บซ่อนอารมณ์ ถึงขั้นกล้าเปิดเผยความรู้สึกผูกพันฉันท์พ่อลูกต่อซ่งจี๋ซิน จุดที่ทำให้ซ่งเย่จางสมควรตายที่สุดนั้นอยู่ที่ ส่วนลึกในใจของซ่งจี๋ซิน นอกจากจะเกลียดแค้นผู้ตรวจการท่านนี้แล้ว เขากลับคาดหวังให้ซ่งเย่จางเป็นบิดาแท้ๆ ของตนอย่างแท้จริง ในเอกสารลับล้วนบันทึกสิ่งละอันพันละน้อยไว้อย่างชัดเจน และหลังจากซ่งเย่จางกลับคืนไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยตำแหน่งขุนนางกรมพิธีการก็ยังคงไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเอง หากยังไม่ตายจะเป็นอย่างไรไปได้อีก? ดังนั้นต่อให้ซ่งเย่จางจะตายไปแล้ว อดีตฮ่องเต้ก็ยังไม่คิดจะปล่อยขุนนางผู้ภักดีที่แตะเกล็ดย้อนมังกรของเขาไป ปล่อยให้นางตัดหัวเขานำกลับเมืองหลวง จากนั้นค่อยแต่งตั้งเขาให้เป็นเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เทพภูเขาที่มีหัวทององค์หนึ่งจึงกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งแถบขุนเขาเหนือแห่งใหม่

ต่อให้อดีตฮ่องเต้จะจากไปแล้ว

สตรีแต่งงานแล้วก็ยังคงกริ่งเกรงในตัวบุรุษที่องอาจเปี่ยมปรีชา แต่กลับต้องตายไปในวัยกลางคนผู้นั้น

นางรักเขามาก เคารพนับถือและเลื่อมใสบูชาเขาอย่างยิ่ง

แต่การที่เขาตายไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ตายไปอย่างพอเหมาะพอดี อันที่จริงนางก็มีความสุขอย่างมาก

สำหรับสตรีบางคน ความรักก็เหมือนวัตถุดิบในการปรุงอาหาร หากมีย่อมดีที่สุด แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถหาอย่างอื่นมาทดแทนกันได้

……

เซียนซือผู้เฒ่าชุดขาวที่ก่อนหน้านี้เก็บสะพานเทพเซียนใส่เข้าไปในชายแขนเสื้อลูบหนวดยิ้ม “ดูท่าไทเฮาของเราคงจะเริ่มสั่งสอนบุตรชายอีกแล้ว”

สวี่รั่วเพียงยิ้มตอบ

เรือข้ามฟากต้าหลีหันหัวกลับทิศใต้ ส่วนเรือชายหาดโครงกระดูกมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือต่อ

ผู้เฒ่าหันหน้าไปชำเลืองมองทางทิศเหนือแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เหตุใดถึงเลือกต่งสุ่ยจิ่ง ไม่ใช่คนผู้นี้?”

สวี่รั่วยิ้มกล่าว “คนจิตใจดีไม่เหมาะกุมอำนาจทางการทหาร คนที่มีคุณธรรมนำมาก่อนไม่เหมาะจะเป็นพ่อค้า”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด ไม่ปกปิดความไม่เห็นด้วยของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

สองมือของสวี่รั่วแยกกันจับที่ด้ามกระบี่และหัวกระบี่ที่วางพาดขวางอยู่ด้านหลัง ท่วงท่าผ่อนคลาย ทอดสายตามองไปยังแผ่นดินกว้างใหญ่และแม่น้ำภูเขาของทิศไกล

แถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่เบื้องใต้เรือข้ามฟากลำนี้ สายน้ำเหมือนไม้กวาดที่แยกตัวออกไปกระจัดกระจายกว้างขวาง

ผู้เฒ่าคือผู้มีอำนาจตัดสินใจในแจกันสมบัติทวีปหลังจากที่สายหลักของสำนักโม่เลือกลงเดิมพันกับต้าหลี

เขากับสวี่รั่วและ ‘ผู้เฒ่าช่างไม้’ คนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าปีนั้นฝ่ายพ่ายแพ้ในการช่วงชิงผู้เป็นใหญ่ของสำนักโม่ จึงย้ายไปอยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สุดท้ายก็เลือกสกุลซ่งต้าหลี

ตอนนั้นคนที่ร่วมกับสายนี้ของสำนักโม่อย่างพวกเขายังมีสายรองของสุกลลู่สำนักหยินหยาง ทั้งสองฝ่ายจับมือตกลงกันแล้วก็เริ่มละเมิดข้อห้ามใหญ่ของใต้หล้า สร้างป๋ายอวี้จิงจำลองที่มีพลังอำนาจมากพอจะสยบสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินขึ้นมาโดยพลการ

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางผู้นั้นยังแอบซ่อนวิธีการชั่วร้ายอำมหิตเอาไว้ เขาล่อลวงให้อดีตฮ่องเต้ต้าหลีละเมิดกฎของลัทธิขงจื๊อแอบฝึกตนจนเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง หากฮ่องเต้ฝ่าทะลุขอบเขตก็จะสามารถรักษาสติปัญญาเอาไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็จะกลายมาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยอย่างลับๆ อีกทั้งขอบเขตของทั้งร่างจะหายวับไปไม่มีเหลือ เท่ากับว่ากลับคืนไปมีร่างกายเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกครั้ง ถึงเวลานั้นสำนักศึกษาซานหยาที่ยังอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีก็ดี หรือสำนักศึกษากวานหูที่อยู่ไกลไปถึงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็ช่าง ต่อให้พอจะสัมผัสได้ถึงสายสนกลใน แต่ก็ไม่มีเบาะแสให้สืบหา การลงทุนก้อนใหญ่ระดับนี้ของตระกูลเซียนก็มีเพียงสกุลลู่สำนักหยินหยางที่มีรากฐานแน่นหนาเท่านั้นถึงจะสามารถคิดออกและสามารถทำได้

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท