ภูตถือพัดเงยหน้าขึ้นชำเลืองตามองไปยังเรือนพักของปี้สู่เหนียงเนียง แล้วก็รู้สึกเพียงคลื่นความร้อนที่พุ่งพล่านอยู่ใต้ท้องน้อย ไม่ว่าจะอย่างไร เรือนร่างของเหนียงเนียงก็งดงามมากจริงๆ
คิดถึงช่วงเวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ตนอยู่บนภูเขาโปลั่ว คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายอีกฝ่าย ผลประโยชน์ที่ได้มาอยู่ในมืออันที่จริงกลับมีไม่มาก มันอยากจะเป็นแขกผู้ได้นอนร่วมเตียงของปี้สู่เหนียงเนียงมากกว่า ในสายตาของคนเป็น บางทีเหนียงเนียงท่านนี้อาจมีรูปโฉมงดงามปานบุปผาปานจันทรา แต่สำหรับภูตแห่งภูเขาหนองบึงอย่างพวกมันแล้ว จะมัวไปพิถีพิถันกับเรื่องพวกนั้นทำไม แต่กระนั้นมันก็กลัวความสามารถบนเตียงที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังหวาดผวาของปี้สู่เหนียงเนียง เพราะหากไม่ระวังก็อาจต้องตายใต้ดอกโบตั๋นเข้าจริงๆ
แทบจะทุกๆ ระยะเวลาสองสามปี ปี้สู่เหนียงเนียงจะต้องออกจากบ้านเพียงลำพังไปพบใครคนใด ไปทำอะไร เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้เลย
ทุกคนพากันพูดไปหลากหลาย
บ้างก็บอกว่าปี้สู่เหนียงเนียงคือชู้รักของเจ้านครเฟิ่นหลาง แล้วก็มีคนบอกว่าเจ้าของภูเขาโปลั่วที่แท้จริงก็คือนายท่านผู้เฒ่าราชาผีที่ชื่อเสียงทัดเทียมกับผูหรางแห่งนครกรงขาวผู้นั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคำกล่าวที่บอกว่าปี้สู่เหนียงเนียงมีความสัมพันธ์ประเภทนั้นกับบุตรสาวโทนของราชันย์เฮยเหอ
ภูตถือพัดดื่มเหล้าด้วยความรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย
เหตุใดปี้สู่เหนียงเนียงถึงไม่ยอมเปิดใจให้ตนบ้างเลย?
มันเริ่มเมาแล้ว
คิดไปว่าไม่รู้ว่าชีวิตนี้ตนจะได้ครอบครองภูเขาหนึ่งลูก สร้างจวนที่หรูหราโอ่อ่า เรียกลมเรียกฝนอย่างเปี่ยมไปด้วยบารมีอำนาจได้เฉกเช่นปี้สู่เหนียงเนียงหรือไม่
คิดว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งตนจะสามารถออกไปจากหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ ไปเยือนฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลนอกชายหาดโครงกระดูก ไปท่องเที่ยวในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ไปเห็นบัณฑิตที่แท้จริง ไปลองอ่านคัมภีร์ของลัทธิขงจื๊อที่แท้จริงได้หรือไม่
……
ภูเขาตี้หย่ง
เมื่อเทียบกับภูเขาโปลั่วแล้ว ที่นี่มีการป้องกันที่เข้มงวดกว่ามาก
อีกทั้งยังสร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่เข้าท่าเข้าทีไว้แห่งหนึ่งด้วย
ทว่าสำหรับบัณฑิตแล้วยังคงเป็นเหมือนสถานที่ที่ไร้ผู้คนอยู่ดี
แต่หากคิดจะเข้าไปสังหารปีศาจกวาดเอาสมบัติในคลังลับมาอย่างเงียบเชียบนั้นกลับยากมาก
บัณฑิตไม่รีบร้อน เขาเข้ามาในภูเขาตี้หย่งแล้วก็มายืนอยู่บนต้นสนที่พุ่มใบหนาดกต้นหนึ่ง คิดจะรอดูสถานการณ์ไปก่อน
ขอแค่ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของทางอริยะใหญ่ปานซานถูกเปิดใช้งานก็หมายความว่าเจ้าหมอนั่นได้เริ่มบุกภูเขา หรือไม่ก็ร่องรอยถูกเปิดเผยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ตนจะลงมือได้แล้ว
สิ่งเดียวที่ต้องระวังก็คือตะพาบเฒ่าในโพรงมังกรเฒ่าตัวนั้น รวมไปถึงตะพาบน้อยในลำคลองเฮยเหอที่สนิทสนิมกับปี้สู่เหนียงเนียง ไม่ใช่กลัวว่าพวกมันจะร่วมมือกับภูเขาตี้หย่ง แต่เป็นเพราะพ่อลูกคู่นั้นฆ่าตายได้ยากมาก หากพวกมันยืนกรานจะปกป้องพี่เฉินหยวนจวินให้ได้ก็ค่อนข้างจะยุ่งยากแล้ว บัณฑิตเดินทางมาสังหารปีศาจครั้งนี้ ถึงอย่างไรแล้วก็เป็นแค่การผ่อนคลายอารมณ์ ก็เหมือนกับการที่เขาสอบเป็นจิ้นซื่อคนใหม่ที่นครถงโช่วอะไรนั่นที่ทำไปก็เพื่อแก้เบื่อเท่านั้น
พี่เฉินหยวนจวินกับตะพาบเฒ่าราชันย์เฮยเหอ คนหนึ่งมีรากฐานอยู่ที่อารามเสวียนตูเล็ก อีกคนหนึ่งมีความเกี่ยวข้องกับวัดหยวนเยว่ใหญ่ คือตะพาบเฒ่าตัวหนึ่งที่ถูกปล่อยเลี้ยงอยู่ในบ่อของวัด ตอนที่ชายหาดโครงกระดูกยังไม่กลายเป็นซากปรักของสนามรบโบราณ จากบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ของทางการ ก่อนที่ตะพาบเฒ่าจะกลายเป็นภูตก็เคยชูคอรับฟังพระธรรมอยู่ในบ่อน้ำของวัดเป็นประจำ ภายหลังสองราชวงศ์เปิดฉากสังหารกันครั้งใหญ่ เดือดร้อนให้แคว้นใต้อาณัติหลายสิบแคว้นติดร่างแหมาด้วย วัดจึงถูกภิกษุเฒ่าที่มีร่างอรหันต์ทองคำมานานแล้วร่ายวิชาอภินิหารใหญ่ปกป้องเอาไว้ ทำให้ผ่านพ้นภัยสงครามมาได้ สุดท้ายก็ย้ายเข้ามาในป่าท้อของหุบเขาผีร้าย กลายมาเป็นเพื่อนบ้านกับอารามเสวียนตูเล็กที่เดิมทีอยู่ห่างไกลกันหลายพันลี้
ตะพาบเฒ่าแอบออกจากวัด แต่งตั้งตนเองให้เป็นราชันย์เฮยเหอ ยึดครองถ้ำโพรงแห่งหนึ่งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ตั้งชื่อว่าโพรงมังกรเฒ่า เลี้ยงปลาหลั่วสีทองไว้หนึ่งคู่ บอกว่าเอาไว้เป็นสินเดิมของบุตรสาว
บุตรสาวของเขาแต่งตั้งตัวเองเป็นฟู่ไห่หยวนจวิน น้อยครั้งนักที่ตะพาบเฒ่าจะปรากฎตัว ล้วนเป็นนางที่จัดการกิจธุระบนภูเขา ด้านนอกโพรงมังกรเฒ่ามีลำคลองสายใหญ่ที่น้ำไหลเชี่ยวกราก ก็ถูกนางยึดครอง ตั้งตนเป็นผู้นำภูตเผ่าน้ำ คอยสร้างมรสุมอยู่ตลอดทั้งปี ตะพาบน้อยตนนี้เกิดมามีร่างดำเมื่อมตัวใหญ่โต มีครั้งหนึ่งที่เจ้านครเฟิ่นหลางเจอกับมันโดยบังเอิญก็ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตที่ทิ่มแทงจิตใจเอาไว้ บอกว่าตะพาบน้อยเกิดมาหน้าตาอัปมงคลถึงเพียงนี้ ต่อให้ข้าผู้อาวุโสกินไม่เลือกแค่ไหน แม้จะดับไฟจนห้องดำมืดก็ไม่มีทางเขมือบลงเด็ดขาด นี่ถือเป็นการหมิ่นเกียรติอย่างใหญ่หลวงสำหรับฟู่ไห่หยวนจวินท่านนี้
บัณฑิตยืนอยู่บนกิ่งไม้ เขาสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งก่อน ปราณหยินที่ซุกซ่อนอยู่ในต้นสนโบราณต้นนี้ก็ถูกดูดมาจนว่างเปล่า หลังจากนั้นบัณฑิตก็พ่นมันออกมาเบาๆ รอบด้านพลันกลายเป็นไอน้ำขมุกขมัว เขาถึงได้คลายฝ่ามือออก ใช้นิ้ววาดยันต์
มองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ
แกว่งฝ่ามือเบาๆ
เสกม้วนภาพภูเขาแม่น้ำของจวนบนภูเขาตี้หย่งออกมา
ทัศนียภาพในม้วนภาพวาดค่อนข้างพร่าเลือน นี่เป็นเพราะเขาไม่ยินดีจะเปิดเผยเบาะแส เพราะถึงอย่างไรพี่เฉินหยวนจวินผู้นี้ก็มาจากสายของลัทธิเต๋า อีกทั้งยังมีตบะเป็นโอสถทอง ไม่แน่ว่าจิตอาจจะสัมผัสได้
บนหอสูงแห่งหนึ่งของจวนบนภูเขาตี้หย่ง ด้านในกำลังจัดงานเลี้ยงฉลอง
บัณฑิตหัวเราะจืดเจื่อน
เห็นเพียงว่าในงานเลี้ยงบนหอสูงมีปีศาจรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ร่างจริงแต่ละตนเรือนกายหนาใหญ่ขุ่นมัว เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของบัณฑิตก็เหมือนกับองค์รักษ์ข้ารับใช้ที่เปิดเผยตัวตนอันน่ากลัวคอยปกป้องเจ้านายอยู่ด้านหลังเหล่าปีศาจ
บัณฑิตพึมพำ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมารวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาตี้หย่งครบแบบนี้? ไอ้หมอนั่นโชคดีกว่าข้าอีกหรือนี่? เขาจับผลัดจับผลูหรือว่าคาดการณ์ได้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว?”
ผู้ฝึกตนกับองค์เทพต่างก็มีร่างกายธรรม ส่วนภูตผีปีศาจที่จำแลงร่างกลายเป็นคนกลับมีคำเรียกขานถึงร่างจริง ยิ่งตบะสูงเท่าไหร่ ร่างจริงก็ยิ่งพร่าเลือนมากเท่านั้น หลังจากเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแล้ว จะสามารถเก็บร่างจริงได้อย่างสัมบูรณ์ ส่วนผู้ที่มีขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดลงมา โดยเฉพาะปีศาจโอสถทอง ร่างจริงจะหล่อหลอมได้อย่างกระชับมั่นคงมากที่สุด แล้วก็ยากจะปกปิดอำพรางได้ที่สุด
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ตบะลึกล้ำ รวมไปถึงโอสถทองในสำนักที่มีการสืบทอดมาอย่างยาวนานมักจะมองร่างจริงของปีศาจออกเสมอ
บัณฑิตรีบเก็บวิชาอภินิหารมองภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือ
มองปราดๆ ไปที่หอสูงแห่งนั้น อริยะใหญ่ปานซานที่ร่างเดิมคือวานรหลังเงินตัวหนึ่ง เซียนจัวเยาที่เป็นภูตหนูตัวอ้วนใหญ่ และขุนพลเทพชื่อเหลยที่ด้านหลังมีงูเหลือมใหญ่ห้าสีขดอยู่
แน่นอนว่ายังมีพี่เฉินหยวนจวินที่ร่างจริงคือเตียวน้อยขนสีทอง
นอกจากนี้ยังมีผีโอสถทองอีกตนหนึ่ง
นอกจากคู่พ่อลูกของโพรงมังกรเฒ่าและลำคลองเฮยเหอแล้ว ปีศาจตนอื่นๆ ล้วนมากันครบหมด เพียงแต่ว่ามีผีโอสถทองที่ชอบงัดข้อกับนครฟูนี่เพิ่มมาอีกหนึ่งตน
บัณฑิตเอ่ยอย่างจนใจ “ขออย่าให้เป็นสุนัขที่ถูกปิดประตูตีเลย โชคของข้าคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกกระมัง?”
ในฐานะฟ้าดินขนาดเล็กที่ดำรงอยู่มานับพันปี หุบเขาผีร้ายจึงมีการข่มกำราบอย่างไร้รูปลักษณ์ต่อผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไหร่ พันธนาการก็ยิ่งหนาแน่นมากเท่านั้น
นอกจากนี้สำหรับผู้ฝึกลมปราณที่สถานะพิเศษแล้วก็ยิ่งมีแรงกดดันที่ไม่น้อย
ยกตัวอย่างเช่นเขา
คนธรรมดายังมีคำกล่าวที่ว่าปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ได้ ผู้ฝึกตนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
โดยเฉพาะเขาที่แปดอักษรเป็นปราณหยางบริสุทธิ์ ขัดแย้งกับแปดอักษรของหุบเขาผีร้ายแห่งนี้โดยตรง หากไม่เป็นเพราะวิชาการฝึกตนเลิศล้ำสูงส่ง เหนือกว่าที่วิชานอกรีตทั้งหลายจะเทียบเคียงได้ติด สามารถผสานน้ำและไฟในชะตาชีวิตของตนเข้าด้วยกัน หยินหยางอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ไม่อย่างนั้นเขาที่เข้ามาอยู่ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก เหมือนโคมไฟที่แขวนลอยสูงอยู่ท่ามกลางม่านราตรีที่ดำมืดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตัวเอง มีแต่จะกลายไปเป็นเป้าของเหล่าภูตผีปีศาจนับพันนับหมื่น
บัณฑิตพึมพำขึ้นมาอีกครั้ง “กลับ?”
เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็คลี่ยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นก็รออีกสักหน่อย อย่าปล่อยให้ข้าตายด้วยน้ำมือคนอื่นล่ะ ไม่อย่างนั้นการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้าก็จะมีจุดด่างพร้อยจุดใหญ่แล้ว”
ในเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว จิตใจของบัณฑิตก็นิ่งสงบราวกับสายน้ำ
แล้วเขาก็เริ่มอยู่นิ่งๆ เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ด้วยการหลับตาเข้าฌานมันเสียเลย
อีกทั้งยังเริ่มหลอมป้ายหินประตูมังกรแผ่นนั้น ดูว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ หากสำเร็จก็เป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร
ไอน้ำชื้นล่องลอยดุจฝนรสหวานที่พร่างพรม ท่ามกลางจวนน้ำเหมือนมีมังกรเฒ่าว่ายวนอยู่กลางกลุ่มเมฆเพื่อโปรยพิรุณ
ในจวนไฟก็มีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่ทั่วร่างลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงเหมือนเทพแห่งอัคคีกำลังตีเหล็กหลอมมีดสั้นเล่มหนึ่ง ทุกครั้งที่เหวี่ยงแขวนทุบลงไป สะเก็ดไฟจะแตกกระจายไปทั่ว
และในช่องโพรงสำคัญอีกแห่งหนึ่งก็มีเทือกเขาสลับสล้างเขียวขจี ต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้ม บนยอดเขามีอารามเต๋าอยู่แห่งหนึ่งที่ปูด้วยกระเบื้องแก้วสีเขียว แขวนกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง
ส่วนในช่องโพรงอีกแห่งหนึ่งก็เหมือนสนามรบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่าสังหาร สองกองทัพคุมเชิงกัน เสียงกีบเท้าม้าและเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น
และเมื่อบัณฑิตทดลองหล่อหลอมป้ายศิลาที่ได้มาจากภูเขาโปลั่วแผ่นนั้น ในจวนน้ำก็มีป้ายหินตั้งตระหง่าน แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศสูง สองตัวอักษรว่า ‘ประตูมังกร’ ที่อยู่ด้านบนสุดของป้ายศิลาก็มีประกายแสงสีทองเรืองรองออกมาในทุกขีดตัวอักษร
บัณฑิตไม่ได้หลอมป้ายศิลาทั้งแผ่นให้เสร็จในรวดเร็ว หลังจากที่สองตัวอักษรว่าประตูมังกรปรากฏแจ่มชัดแล้ว เขาก็ยุติแต่เพียงเท่านี้ เขาลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ
บัณฑิตสะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง มองไปยังจวนแห่งนั้น ปีศาจแต่ละตนทะยานลมลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ค่อยๆ มุ่งหน้ามาหาเขา ส่วนค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาตี้หย่งก็ถูกเปิดใช้ในเสี้ยววินาที แต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก
บัณฑิตหันหน้าไปมองยังทิศทางที่ตั้งภูเขาของอริยะใหญ่ปานซานแวบหนึ่ง แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่ชายคนดีเอ๋ยพี่ชายคนดี ตอนอยู่ภูเขาโปลั่วเป็นข้าที่ได้ผลประโยชน์ไปมาก ตอนนี้ถือว่าข้าชดใช้คืนให้เจ้าส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังช่วงชิงผลประโยชน์มาไม่ได้ ไม่อาจกลับไปพร้อมกับสมบัติเต็มไม้เต็มมือก็คงจะทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง”
แล้วบัณฑิตก็ชำเลืองตามองไปทางภูเขากระจกวิเศษ ไม่รู้ว่าธุระสำคัญของที่นั่นดำเนินไปอย่างไรบ้างแล้ว
ดินของห้าธาตุ กระจกซานซานจิ่วโหว
คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นสุดท้ายที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของเขา
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง
หากรวบรวมธาตุทั้งห้าครบถ้วน แล้วค่อยสังหารสามอสุภะทั้งหมด ไม่เพียงแต่จะเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งหลังจากฝ่าทะลุคอขวดของก่อกำเนิดไปได้ การกลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็จะเปลี่ยนมาเป็นราบรื่น จิตมารไม่เพียงแต่ไม่กำจัดได้ยากเหมือนของก่อกำเนิดทั่วไป กลับกลายเป็นว่าแค่จำเป็นต้องใช้เวลาที่เหมือนน้ำหยดลงหินทุกวันเท่านั้น อย่างมากสุดเวลาสองสามร้อยปีก็สามารถขัดเกลาได้อย่างสิ้นซาก แทบจะไม่มีอันตรายใดๆ อีกทั้งระหว่างขั้นตอนของการขัดเกลาจิตมารนี้ยังมีประโยชน์ต่อจิตวิญญาณของเขาด้วย
นี่ก็คือรากฐานของตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของทวีป
……
เฉินผิงอันไม่ได้ไปยังภูเขาที่อริยะใหญ่ปานซานอยู่อาศัย แต่อ้อมเส้นทางเล็กน้อย ไปเยือนตำหนักหยางฉางของเซียนใหญ่จัวเยา
เรียกว่าตำหนัก แต่อันที่จริงแล้วไม่ได้ดีไปกว่าวัดร้างผุพังที่อยู่ตรงตีนเขาของภูเขากระจกวิเศษสักเท่าไหร่ ขนาดเท่ากับเรือนสามชั้นของที่เขตการปกครองหลงเฉวียนเท่านั้น
แล้วก็มีภูตน้อยแค่สองตนคอยเฝ้าประตูใหญ่ แต่ละตนต่างกอดทวนไม้ไว้ในอ้อมอก กำลังนั่งคุยกันอยู่บนขั้นบันได ภูตหนูหนึ่งในนั้นวางตำรากระดาษที่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีเอาไว้บนหัวเข่า
เฉินผิงอันก็ไม่สนใจว่านี่จะเป็นเวทอำพรางตาหรือไม่ มีความเป็นไปได้มากว่าปีศาจใหญ่จัวเยาผู้นั้นจะยังอยู่บนภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน ปรึกษากันว่าควรจะล้อมปราบตนอย่างไร
จากนั้นภูตสองตนก็มองเห็นผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งเดินตรงมาทางหน้าประตูบ้านของตน
ภูตหนูร่างบึกบึนหนึ่งในนั้นขยี้ตา สูดจมูกดมกลิ่น “คือคนมีชีวิตจริงๆ หรือ? ข้าคงไม่ได้กำลังฝันไปหรอกกระมัง?”
ภูตหนูร่างเล็กเตี้ยอีกตนหนึ่งรีบเก็บตำรา มันเองก็ลังเลใจไม่ต่างกัน สุดท้ายก็ลุกพรวดขึ้นยืน ถือทวนไม้ไว้ในมือ คำรามอย่างเดือดดาล “บังอาจ ใครใช้ให้เจ้าบุกรุกเข้ามาในตำหนักหยางฉางบ้านข้า? บอกชื่อแซ่มา แล้วจะเว้นชีวิตเจ้า!”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่วส่งข้ามาเชิญเซียนใหญ่จัวเยาให้ไปเป็นแขกที่ตำหนักกว่างหาน ท่านเซียนใหญ่ของพวกเจ้าเล่า? เร็วเข้า เหนียงเนียงของข้าเพิ่งจะจับตัวบัณฑิตคนหนึ่งของนครถงโช่วมาได้”
ภูตหนูที่อยู่ตรงหน้าประตูถึงกับน้ำลายไหลยืด วิ่งตุปัดตุเป๋มาหา “จริงหรือ?”
ภูตตัวเล็กอีกตนหนึ่งทำสีหน้ากังขา ใช้ปลายทวนชี้ไปที่เฉินผิงอันแล้วทิ่มผ่านความว่างเปล่าอยู่สองที “ท่านบรรพบุรุษของข้าเคยบอกว่า สตรีหน้าเหม็นอย่างปี้สู่เหนียงเนียงผู้นั้นชอบกินอาหารเพียงลำพังมากที่สุด เจ้าอย่าได้คิดมาหลอกพวกเรา!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บอกตามตรง เป็นเพราะเหนียงเนียงของข้ามีเรื่องจะขอร้อง หวังว่าข้าจะมาเรียกให้เซียนใหญ่จัวเยาไปช่วยรับมือกับเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่มาวางตัวโอหังอยู่บนภูเขา”
ภูตหนูที่น้ำลายไหลไม่หยุดตนนั้นเอ่ยเสียงเบา “ต้องเป็นเซียนกระบี่ร้ายกาจที่ท่านบรรพบุรุษพูดถึงแน่นอน เขามาหาเรื่องปี้สู่เหนียงเนียงแล้ว เดิมทีภูเขาโปลั่วก็อยู่ใกล้กับภูเขาถงกวาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่ถูกหาเรื่อง”
ภูตหนูที่ถือทวนไม้ไว้ในมือใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้านับ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไสหัวกลับไปที่ภูเขาโปลั่วได้แล้ว ข้าจะไปรายงานท่านบรรพบุรุษในตำหนัก จะไม่ถ่วงเวลาการไปช่วยเหลือปี้สู่เหนียงเนียงของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
ภูตหนูอีกตนหนึ่งมีท่าทางลุกลี้ลุกลน รีบหันมาขยิบตาให้อีกฝ่าย
คนตัวเป็นๆ ที่ไม่มีแรงจะจับไก่ แม้จะอายุมากไปหน่อย แต่หากลงหม้อแล้วยังกลัวว่าจะต้มได้ไม่เละอีกหรือ? สังหารเขาแล้วค่อยไปรายงานบรรพบุรุษที่อยู่กับอริยะใหญ่ปานซานก็ยังไม่สาย ในเมื่อทางฝั่งของภูเขาโปลั่วต้องการความช่วยเหลือจากตำหนักหยางฉางของพวกเรา คนเป็นตายไปแค่คนเดียวเท่านั้น คิดดูแล้วปี้สู่เหนียงเนียงคงไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราสองสหายก็จะได้มีอาหารเลิศรสมื้อหนึ่งกินแล้วไม่ใช่หรือ?
ดูเหมือนว่าภูตหนูตนนั้นจะไม่เข้าใจความนัย ยังเอาทวนไม้ทิ่มมาทางเฉินผิงอันอีกครั้ง “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก? บรรพบุรุษของข้า เจ้าคิดจะพบหน้าก็พบได้อย่างนั้นหรือ? ถูกน้ำมันหมูบดบังจิตใจ รนหาที่ตายหรือไร?”
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าภูตหนูตนนี้แอบส่งสายตาให้ตน ความหมายก็คือให้ตนรีบกลับไปซะ
ส่วนภูตหนูที่อยู่ข้างๆ ตนนั้นก็แอบชักมีดสั้นปลายแหลมเล่มหนึ่งจากชายแขนเสื้อไปซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วเดินมาหาตนพร้อมกล่าวว่า “ไปพบท่านบรรพบุรุษเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ไหนแต่ไรมาตำหนักหยางฉางของพวกเราก็ต้อนรับขับสู้แขกทุกคนเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”
—–