อันที่จริงส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันก็พอจะมองหาเส้นสายหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่เจอ
บนเส้นเส้นนี้จะมีจุดเชื่อมต่อที่สำคัญอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นตรงสะพานเหล็กแขวนระหว่างหน้าผา การรับสัมผัสของตัวหยางหนิงซิ่งที่เขาเอ่ยบอก
ริมลำคลองเฮยเหอ ภิกษุเฒ่าหันหน้าเข้าหาฝั่งตรงข้ามแล้วท่องประโยคพระธรรมที่คล้ายจะเป็นคำพูดซึ่งเอ่ยลอยๆ ว่า ‘กลับใจคือฝั่ง’
หลังจากเข้าไปในเมืองชิงหลูที่ตามหลักแล้วคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดของหุบเขาผีร้าย แต่กลับไม่สามารถจรดพู่กันเขียนยันต์ได้ จิตใจที่ไม่สงบสุขซึ่งแม้แต่การยืนนิ่งเจี้ยนหลูก็ยังไม่ช่วยให้ดีขึ้นเช่นนั้น เป็นความรู้สึกที่หาได้ยากยิ่ง
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ก็คือโชควาสนาจากภาพเทพหญิงขุนนางสวรรค์แห่งนครปี้ฮว่า เทพหญิงฉีลู่เดินออกมาจากภาพวาด มุ่งหน้าไปที่ท่าเรือข้ามฟากของลำคลองเหยาเย่ จำแลงกายเป็นหญิงชราเพื่อมาหยั่งเชิงตน
นครปี้ฮว่า สามารถเรียกได้ว่าเป็นสถานที่แรกที่เฉินผิงอันเหยียบย่างเข้ามาในอุตรกุรุทวีป!
ความคิดชั่วร้ายอันบริสุทธิ์ที่หยางหนิงซิ่งหล่อหลอมให้เล็กเท่าเม็ดงา ตอนอยู่ในศาลเทพวารีริมน้ำ บัณฑิตได้เอ่ยถ้อยคำหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ บอกว่าเขาไม่เคยชนะเฉินผิงอันได้เลยสักครั้ง
เรื่องราวบนโลกใบนี้ โชคดีมักจะมาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ
เฉินผิงอันมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
หากเขาเอาแต่จมจ่อมอยู่กับโชคดีและความสุขอันยาวนาน ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร?
เวลานี้ต่อให้เฉินผิงอันออกห่างจากหุบเขาผีร้ายมาไกลมากแล้ว พาตัวมาอยู่บนภูเขามู่อีของสำนักพีหมา เขาก็ยังคงหวาดผวาไม่คลาย
ลองจินตนาการดู หากเป็นร้านผ้าห่อบุญอยู่ในนครถงโช่วได้อย่างราบรื่น ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป แน่นอนว่าเขาย่อมเดินทางขึ้นเหนือต่อ เพราะก่อนหน้านี้มีมรสุมคลื่นลมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จริง แต่กลับแค่น่าตกใจทว่าไร้อันตราย ตรงกันข้ามยังสามารถเก็บตกของดีได้อยู่หลายครั้ง ไม่มีเรื่องดีๆ ที่ใหญ่เทียมฟ้า แต่กลับมีโชคเล็กๆ น้อยๆ อยู่ตลอดเวลา ได้กำไรตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย อีกทั้งสุดท้ายแล้วเทพหญิงฉีลู่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน บ่อสายฟ้าภูเขาจีเซียวไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน โชควาสนาบนภูเขากระจกวิเศษก็ยังคงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตน ดูเหมือนว่าเขาเฉินผิงอันแค่อาศัยความระมัดระวังของตัวเองบวกกับ ‘โชคดีเล็กๆ น้อยๆ’ ซึ่งดูเหมือนว่านี่จะเป็นสภาพการณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าผ่อนคลายที่สุด ไร้อันตรายมากที่สุด
เฉินผิงอันหรี่ตาลง ดื่มเหล้าข้าวในกาจนหมด
จู๋เฉวียนชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้าเบาๆ คิดว่าคงไม่ใช่วัตถุชิ้นนี้ แม้ว่าเกาเฉิงแห่งนครกรงขาวจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของคนตลอดทั้งสำนักพีหมา แต่เจ้าสำนักแต่ละยุคแต่ละสมัยล้วนยอมรับว่าวิญญาณวีรบุรุษผู้ที่ร่วมปกครองหุบเขาผีร้ายคนนี้ ไม่ว่าจะตบะหรือนิสัยใจคอก็ล้วนไม่เลว สามารถเรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษในกลุ่มผี ดังนั้นต่อให้คนหนุ่มจะสะพายอาวุธกึ่งเซียนอยู่จริงๆ แต่เกาเฉิงก็คงไม่ถึงขั้นอยากได้จนน้ำลายสอเช่นนี้ และยิ่งไม่มีทางเป็นเดือดเป็นแค้นขนาดนี้ จู๋เฉวียนใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสมอยู่ในใจก่อนอย่างที่หาได้ยาก หลังจากเตรียมคำพูดที่จะเอ่ยได้คร่าวๆ แล้วก็กล่าวว่า “ข้าจะไม่ถามว่าเหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นปฏิปักษ์กับเกาเฉิง และเจ้าก็ไม่ต้องเล่าให้ข้าฟังด้วย นี่คือบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง แน่นอนว่าการเปิดฉากเข่นฆ่ากับเกาเฉิงและนครจิงกวานก็คืองานในหน้าที่ของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเราอยู่แล้ว ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย เจ้าเองที่หนีรอดมาได้ และมาหลบภัยอยู่ในภูเขามู่อีของเราในครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเพื่อชดใช้น้ำใจที่ติดค้างไว้ จึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย ไม่จำเป็นเลย ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “เจ้าตัวดี ไม่เกรงใจกันจริงๆ ด้วย”
……
ป่าท้อของหุบเขาผีร้าย ในอารามเสวียนตูเล็ก
นักพรตผู้เฒ่าเจ้าอารามยืนอยู่ใต้ต้นท้อสูงเสียดฟ้าต้นนั้น ตรงฝ่าเท้าอบอวลไปด้วยไอน้ำ จากนั้นก็เหมือนมีภาพวาดแห่งภูเขาแม่น้ำที่ใหญ่ยักษ์ม้วนหนึ่งค่อยๆ ถูกคลี่ออก
เมื่อบนม้วนภาพปรากฎร่างของบัณฑิตคนหนึ่งที่เดินเข้าไปในนครถงโช่วเพื่อเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ที่เหมือนการละเล่นของเด็ก
สวีส่ง ‘นักพรตน้อย’ ที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือก็ขนลุกขนชัน เอ่ยเสียงสั่นว่า “อาจารย์ นี่ก็คือภาพม้าวิ่งบนสายน้ำแห่งกาลเวลาในตำนานหรือ?”
นักพรตผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เจ้าลัทธิของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเฉวียนราชวงศ์ต้าหยวนเขียนจดหมายฉบับหนึ่งด้วยลายมือตัวเองแล้วส่งมาที่อารามเสวียนตูเล็กของพวกเรา ต้องการให้อาจารย์ช่วยปกป้องหยางหนิงซิ่งระหว่างที่เดินทาง ในเมื่อทำเรื่องดีแล้วก็ควรทำให้ถึงที่สุด อาจารย์จึงวาดภาพนี้ขึ้นมา แต่เจ้าก็วางใจเถอะ นี่เป็นแค่ฉบับสำเนาของภาพม้าวิ่งที่แท้จริงเท่านั้น ค่าตอบแทนมีไม่มาก คนนอกได้แค่มองดูสามครั้ง การที่ให้เจ้าดูหนึ่งครั้งก็เพราะต้องการให้เจ้าลองพิศมรรคา เอาหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกงามให้ตัวเอง ดังนั้นเจ้าจงพิศดูให้ถี่ถ้วน”
สวีส่งกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ถึงอย่างไรเทียนจวินน้อยของหน่วยฉงเสวียนผู้นั้นก็มีพี่ชายมาช่วยเอาสมบัติให้ที่ภูเขากระจกวิเศษ ตัวหยางหนิงซิ่งที่มาเยือนหุบเขาผีร้ายก็เหมือนแค่มาเที่ยวเล่นเท่านั้น จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ?”
นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “แรกเริ่มอาจารย์ก็สงสัยเหมือนกัน ได้แต่เดาว่านี่น่าจะเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงบนมหามรรคา รอให้เจ้าดูภาพวาดม้วนนี้จบ ความจริงก็จะปรากฏให้เห็นแล้ว”
สวีส่งเบิกตากว้าง ไม่ยอมพลาดรายละเอียดแม้แต่นิดเดียว
เพียงแต่ว่าทุกการกระทำของหยางหนิงซิ่งในนครถงโช่วช่างเกกมะเหรกหาดีไม่ได้ หากม้วนภาพนี้ไม่ใช่ภาพม้าวิ่ง สวีส่งก็คงรู้สึกว่าอาจารย์ของตนทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนเจ้าลัทธิตำหนักนภากาศก็ยิ่งเป็นกังวลเกินจริงไปเอง
แต่เมื่อสวีส่งมองเห็นว่าปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่วถูก ‘บัณฑิต’ เสกให้กลายเป็นควันดำแล้วเขมือบกลืนลงท้อง ส่วนบนหัวกำแพงก็มีมือดาบหนุ่มคนนั้นนั่งยองอยู่
สีหน้าของสวีส่งก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม
เหตุการณ์ต่างๆ ต่อจากนั้น
ทำเอาสวีส่งที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญผวา หัวใจกระเด้งกระดอนไม่หยุด
เมื่อภาพภูเขาแม่น้ำข้างฝ่าเท้าดำเนินมาถึงฉากสุดท้ายก็กลายมาเป็นแกนภาพม้วนหนึ่งที่ถูกอาจารย์กุมไว้ในฝ่ามือเบาๆ
นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “รู้สึกอย่างไร?”
สวีส่งกล่าวอย่างเขินอาย “หากศิษย์เป็น…พี่ชายคนดีผู้นั้น ก็ไม่รู้ว่าต้องตายด้วยน้ำมือของหยางหนิงซิ่งไปกี่รอบแล้ว”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “หากเจ้าเป็นคนผู้นี้ ก็ยิ่งไม่มีทางหนีออกไปจากหุบเขาผีร้ายได้”
สวีส่งนึกถึงความเคลื่อนไหวทางเมืองชิงหลูก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการเข่นฆ่าระหว่างเทพเซียนที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้น นักพรตน้อยท่านนี้ก็ให้รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
นักพรตเฒ่ามองลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตนแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม รู้สึกว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ? หากอาจารย์บอกเจ้าว่าอายุที่แท้จริงของจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นผู้นี้แค่ยี่สิบต้นๆ เจ้าจะเอาหัวโหม่งต้นท้อตายหรือไม่?”
หน้าผากของสวีส่งมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมา
นักพรตเฒ่าส่ายหน้าถอนหายใจ “เด็กโง่ อยู่บนเส้นด้ายแห่งชีวิตที่มีทั้งโชคและเคราะห์อยู่ร่วมกัน ต้องคอยเดิมพันกับหนึ่งในหมื่นครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเรื่องดีจริงๆ หรือ? จมลึกอยู่ในฝุ่นผงแห่งโลกีย์ เวรกรรมตามติดรัดพันตัว สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว จะน่ากลัวปานใด ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะสู้คนผู้นี้ไม่ได้จริงๆ แล้วเจ้าก็จะไม่อาจฝึกตนไม่อาจบรรลุมรรคาได้แล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์ พอคิดถึงว่าจุดที่อยู่สูงขึ้นไปมีมรรคาจารย์เต๋าผู้นั้นอยู่ ตนก็ต้องต่ำต้อยกว่า มีเจ้าลัทธิสามสายนั่นอยู่ ก็ต้องต่ำลงอีกหน่อย และยิ่งมีเซียนบินทะยานอยู่ในหอป๋ายอวี้จิง ก็ต้องหมดอาลัยตายอยาก บอกกับตัวเองว่าช่างมันเถิดอย่างนั้นหรือ?”
สวีส่งเงยหน้าขึ้น สีหน้าเลื่อนลอย
นักพรตเฒ่าใช้นิ้วดีดหน้าผากสวีส่งเบาๆ “นักพรตอย่างพวกเรา ฝึกวิชาของตัวเองเป็นเรื่องในบ้านของตัวเอง ศัตรูมีเพียงกรงขังแห่งกฎเกณฑ์ที่ต้นไม้เติบโตแล้วก็ต้องแห้งเหี่ยว มนุษย์ทุกคนล้วนต้องตายเท่านั้น หาใช่อยู่ที่คนอื่นไม่ ความรุ่งโรจน์มีเกียรติ ความตกต่ำอับจนของคนอื่น เกี่ยวข้องอะไรกับเราด้วย? ในสายตาของอาจารย์ บางทีมหามรรคาที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องช่วงชิงด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า…ช่างเถิด พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
สวีส่งถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มลงกราบคำนับ “อาจารย์ ศิษย์พอจะเข้าใจบ้างแล้ว”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับอย่างปลาบปลื้ม “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
……
ในพื้นที่ลับตระกูลเซียนที่เดิมทีภาพฝาผนังทุกภาพล้วนเป็นประตูบานหนึ่งที่เปิดเข้ามาได้
เมื่อภาพวาดฝาผนังทั้งแปดล้วนกลายเป็นภาพโครงร่างขาวดำ ปราณวิญญาณในจวนตระกูลเซียนแห่งนี้ก็สูญหายไปเกินครึ่ง กลายมาเป็นพื้นที่ลับทั่วไปที่ไม่เพียงพอจะเป็นถ้ำสวรรค์ แต่กลับเหลือเฟือที่จะเป็นถ้ำมงคล ยังคงเป็นพื้นที่วิเศษแห่งหนึ่ง เพียงแค่ไม่เหลือความรู้สึกน่าตื่นตาตื่นใจใดๆ อีกต่อไป
เจียงซ่างเจินที่เข้ามาเดินในนี้อีกครั้งรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
หลังจากที่เขาใช้ใบหลิววัตถุแห่งชะตาชีวิตผ่าม่านฟ้าย้อนกลับมาที่ชายหาดโครงกระดูกก็ไม่ได้ไปจากอุตรกุรุทวีปในทันที แต่แอบมาเยือนพื้นที่ลับแห่งนี้
เรื่องบางอย่าง หากไม่คิดให้กระจ่าง ในใจก็จะยังคันคะเยออยู่อย่างนั้น
อีกทั้งเมื่อมาหลบอยู่ที่นี่ก็ถือว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว หนึ่งคือที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยยิ่งกว่าหลบอยู่ในภูเขามู่อี สองก็เพราะกังวลว่าหลังจากผิดใจกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงผู้นั้นแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาจะค่อนข้างน่ากลัว อีกฝ่ายคือสตรีอำมหิตที่มีโชควาสนาลึกล้ำจนน่าตกใจ หากนางเกลียดตนขึ้นมาก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ขอแค่เขาเจียงซ่างเจินอยู่ในอาณาเขตทั่วไปของอุตรกุรุทวีป ก็อาจจะต้องเจอกับภัยพิบัติโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อาจไม่ถึงขั้นหายนะใหญ่ แต่จะต้องทำให้คนสะอิดสะเอียนได้มากแน่ๆ ยกตัวอย่างเช่นเจียงซ่างเจินเป็นกังวลอย่างยิ่งว่าหากตอนนี้ตนไปโผล่หน้าที่ชายหาดโครงกระดูกหรือไม่ก็ภูเขามู่อี จะได้เจอกับหญิงแก่บางคนที่เดินทางท่องเที่ยวลงใต้ จากนั้นนางก็จะมาร้องไห้คร่ำครวญน้ำหูน้ำตานองหน้าใส่ตน เจียงซ่างเจินไม่อาจทนรับการพบกันอีกครั้งแบบนี้ได้มากที่สุด
เพียงแต่ว่าเจียงซ่างเจินไปนอนคิดอยู่ในพุ่มดอกไม้ของพื้นที่ลับ นั่งคิดอยู่บนเตียงที่ปูด้วยผ้าแพรถักลาย นอนฟุบตัวครุ่นคิดอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งที่กลิ่นหอมยังคงอยู่ นั่งคิดอยู่บนราวระเบียงหอสูงที่เหล่าพี่สาวเทพธิดาต้องเคยฟุบตัวนอนคว่ำมาก่อนอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงคิดเรื่องบางเรื่องได้ไม่กระจ่าง เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตากลับเหมือนผ่านไปแล้วสามวัน
หากคิดไม่ออก ก็ต้องถามสิ
เจียงซ่างเจินจึงบังคับวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้ไปเคาะตรงประตูบานหนึ่งรัวๆ
เพียงไม่นานบรรพจารย์สำนักพีหมาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีคนหนึ่งก็เดินออกมา พอเห็นคนผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน เขาคำรามอย่างเดือดดาลว่า “เจียงซ่างเจิน เจ้ายังไม่ไสหัวไปอีกรึ?! สำนักพีหมาของพวกเราไม่มีขี้หมาให้เจ้ากินหรอกนะ!”
เจียงซ่างเจินนั่งอยู่บนราวระเบียงแห่งหนึ่ง หลุบตาลงต่ำมองตาแก่เจ้าอารมณ์ผู้นั้นแล้วยิ้มหน้าเป็นพูดว่า “ไม่เอาน่า มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ สิ ตอนนี้ข้าเป็นถึงพันธมิตรของสำนักพีหมาพวกเจ้าเชียวนะ…”
บรรพจารย์สำนักพีหมาผู้นั้นไม่พูดจาไร้สาระให้เสียเวลา เตรียมจะลงมือตีคนทันที
เจียงซ่างเจินรีบชูมือสองข้างขึ้น พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับจู๋เฉวียนเจ้าสำนักของพวกเจ้า แน่นอนว่ายังรวมไปถึงแขกที่มาพักอยู่บนภูเขาของพวกเจ้าคนนั้นด้วย ทางที่ดีที่สุดคือให้พวกเขามาคุยกับข้าที่นี่”
บรรพจารย์ควบคุมวัตถุแห่งชะตาชีวิตออกมาแล้ว ดูจากท่าทางไม่เหมือนว่าจะแค่ยืดเส้นยืดสายเล่นเท่านั้น
เจียงซ่างเจินใช้สองมือตีราวระเบียงเบาๆ พูดอย่างระอาใจว่า “ที่นี่คือกิจการอันล้ำค่าของสำนักพีหมาพวกเจ้าเชียวนะ ตีกันไปตีกันมา ก็เป็นพวกเจ้าที่ต้องเสียหายไม่ใช่หรือ?”
บรรพจารย์หัวเราะเสียงเย็นไม่หยุด เมื่อป้ายไม้ที่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตแผ่นนั้นปรากฏขึ้น รอบกายของเขาก็มีเทวรูปทวยเทพราชาสวรรค์สี่องค์ยืนอยู่ แขนขาทั้งสี่ของพวกเขาค่อยๆ ขยับ แสงสีทองไปรวมตัวกันอยู่ในดวงตาอย่างต่อเนื่อง
เจียงซ่างเจินกลัวผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเล่นไม้นี้มากที่สุด ตีๆ กันให้เสร็จไปก่อนแล้วแม่งค่อยมาคุยกันทีหลัง
หากเป็นในอดีต เจียงซ่างเจินอาจจะยังตกหลุมพราง ตอนนั้นเจียงซ่างเจินยังเป็นแค่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับกล้าบอกว่าตัวเองมีความสามารถในการหาเรื่องใส่ตัวเป็นอันดับหนึ่ง ทักษะในการตีคนด่าคนก็เป็นอันดับหนึ่ง ฝีมือในการเห็นท่าไม่ดีแล้วเผ่นหนีก็คือที่หนึ่ง ยกยอว่าตัวเองคือผู้นำในสามด้าน แต่การเดินทางมาเยือนอุตรกุรุทวีปในครั้งนี้ เจียงซ่างเจินไม่คิดจะหวนคืนสู่ยุทธภพอีกจริงๆ
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองจุดสูงแล้วถอนหายใจโล่งอก
ท่ามกลางทะเลเมฆแห่งหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือพื้นที่ลับปรากฏเป็นรองเท้าปักลายบุปผาของเจ้าสำนักจู๋เฉวียนอีกครั้ง แรกเริ่มก็ใหญ่เหมือนขุนเขา บดบังผืนฟ้า เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาที่พลิ้วกายลงสู่พื้นดินก็กลับคืนมามีเรือนกายปกติธรรมดา
ข้างกายจู๋เฉวียนยังมีเฉินผิงอันติดตามมาด้วย
คนทั้งสองปรากฏตัวอยู่กลางระเบียงชั้นบนของหอสูงตระหง่านแห่งนี้
จู๋เฉวียนบอกให้บรรพจารย์ผู้นั้นกลับไปยังภูเขามู่อี
บรรพจารย์สบถด่าพลางเก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตและเทวรูปราชาสวรรค์ทั้งสี่ลงไป
เจียงซ่างเจินหัวเราะร่า กระโดดลงมาจากราวระเบียง “เฉวียนเอ๋อร์น้อย ต่างก็บอกกันว่าไม่เจอหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามสารทฤดู พวกเราไม่พบหน้ากันมาสิบปีแล้ว คิดถึงข้าหรือไม่? ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่คิดถึงแม้แต่น้อย ใช่ไหม?”
จู๋เฉวียนคร้านจะเหลือบแลเขาให้เต็มตา เพียงหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “วางใจเถอะ หากมีปัญหา ข้าจะรีบมาทันที สังหารเจ้าคนบ้าตัณหาผู้นี้ ข้าเต็มใจเสียยิ่งกว่าเหยียบนครจิงกวานให้พังราบเป็นหน้ากลองเสียอีก”
เจียงซ่างเจินไม่ถือสา เอนตัวพิงราวระเบียง ใช้มือต่างพัดพัดเอาลมเข้าหาตัวเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เฉวียนเอ๋อร์น้อยไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ยังคงน่ารักร่าเริงอยู่ดังเดิม”
ร่างของจู๋เฉวียนพุ่งวาบหนึ่งครั้งก็ย้อนกลับไปยังภูเขามู่อีผ่านทางทะเลเมฆแห่งนั้น
รอจนกระทั่งบรรพจารย์สำนักพีหมาและเจ้าสำนักอย่างจู๋เฉวียนต่างก็จากไปแล้ว เจียงซ่างเจินก็สะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง สมบัติอาคมแปลกประหลาดชิ้นแล้วชิ้นเล่าผุดออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วพุ่งตรงไปปิดผนึกประตูบานใหญ่ของทะเลเมฆที่เชื่อมตรงสู่ภูเขามู่อีและประตูเล็กบนผนังภาพวาดทั้งแปดที่เหลือ
จากนั้นก็มีน้ำเสียงพร่าเลือนของจู๋เฉวียนดังมาจากทะเลเมฆ “เจียงซ่างเจิน เจ้าอยากโดนฟันตายหรือไร” ตามมาด้วยทะเลเมฆที่สั่นสะเทือนไม่หยุด คาดว่าจู๋เฉวียนคงเริ่มทุบประตูที่ภูเขามู่อีแล้ว
เจียงซ่างเจินจึงโบกชายแขนเสื้ออีกครั้ง สมบัติอาคมที่สีสันเจิดจ้าพร่าตาชิ้นแล้วชิ้นเล่าบินออกมาจากชายแขนเสื้ออีกรอบ ปิดตายประตูใหญ่ทะเลเมฆนั่นไปโดยตรง ก่อนที่เขาจะสาบานเสียงดังก้องว่า “หากข้ากระทำการอำมหิตอยู่ในนี้ ออกจากประตูไปจะให้เจ้าจู๋เฉวียนฆ่าตายทันที ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาหิ้วกาเหล้าออกมาหนึ่งกา โยนไปให้เจียงซ่างเจิน เอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”
เจียงซ่างเจินไม่เหลือสีหน้าหยอกล้ออีก ทอดถอนใจพูดว่า “ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่า เจ้าเดาออกแล้วหรือว่าเป็นใครที่ลงมือกับเจ้า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็ไม่ใช่เกาเฉิงหรอกหรือ?”
เจียงซ่างเจินไม่ได้เอ่ยสัพยอกอย่างที่หาได้ยาก เพียงจ้องนิ่งมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกระโดดเบาๆ ขึ้นไปนั่งบนราวระเบียง เจียงซ่างเจินก็ตามมานั่งด้านข้าง ต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเองไป
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าถามแบบนี้ ข้าก็แน่ใจจริงๆ แล้ว”
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างกังขา “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจแล้ว ข้าใช้ช่องทางต่างๆ ตรวจสอบอดีตของเจ้า ตามหลักแล้ว เจ้าก็ไม่น่าจะผูกปมแค้นลึกล้ำกับนางเช่นนี้ถึงจะถูก”
เฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับหัวข้อที่พูดคุยกันก่อน “ก่อนหน้านี้เจ้าสำนักจู๋บอกว่า หลังจากที่ผูหรางออกกระบี่ใส่เกาเฉิงก็ตอบนางกลับไปหนึ่งประโยคว่า ‘มือกระบี่จะทำการใด ฟ้าดินไร้พันธนาการ’ เขาพูดได้ดีมากจริงๆ”
เจียงซ่างเจินดื่มเหล้าอึกใหญ่ แก้มพองออกน้อยๆ ทำเสียงเหมือนคนบ้วนปาก จากนั้นก็แหงนหน้ากลืนลงคอไป
แล้วเจียงซ่างเจินก็กรอกเหล้าใส่ปากอีกครั้ง ยังคงไม่รีบร้อนกลืนลงท้องอยู่ดังเดิม
ก็แค่ทิ้งตาข่ายขาดๆ ที่มีมูลค่าเจ็ดสิบแปดสิบเหรียญฝนธัญพืชไว้ในหุบเขาผีร้ายเท่านั้น แต่ได้ดูเรื่องสนุกขนาดนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ขาดทุนเลยสักนิด
มาพูดเรื่องเงินทองกับข้าเจียงซ่างเจิน ไม่ใช่ว่าหมิ่นเกียรติข้าหรอกหรือ?
“การที่ข้ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง”
เฉินผิงอันพูดช้าๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เป็นเพราะเจ้าตะพาบลู่เฉินผู้นั้นเล่นงานข้า”
เจียงซ่างเจินพ่นเหล้าพรวดออกจากปาก
—–