ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมองไปยังช่องโพรงบนผนังด้านหลังของศาลด้วยสายตาเลื่อนลอย โคลงศีรษะเบาๆ จากนั้นก็หน้าม่อย พูดเสียงสั่น “เซียนซือฆ่าตู้อวี๋จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “น่าจะเรียกว่าตายไปครึ่งตัวมากกว่า จิตวิญญาณของเขาถูกข้าพันธนาการเอาไว้แล้ว ตำหนักขวานผีเป็นสำนักที่ใหญ่ขนาดนั้น พ่อแม่ของเจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ยังเป็นคู่บำเพ็ญตนใหญ่อย่างที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเรียกอีก ข้าหรือจะกล้าไม่เคารพคนผู้นี้ ก็แค่สั่งสอนเขาเล็กน้อยเท่านั้น”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยืนได้ไม่มั่นคงจึงล้มจ้ำเบ้าลงไป ชุดกระโปรงปักลวดลายสีสันงดงามคล้ายกับดอกโบตั๋นที่ผลิบานสะพรั่งอยู่บนพื้นดิน
คนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ปากเคลือบน้ำผึ้ง แต่จิตใจกลับมีงูและแมงป่องคลานยั้วเยี้ย! ก็แค่มองดูแล้วอายุยังน้อย แต่ความจริงต้องเป็นเจ้าเฒ่าวิปริตที่ฝึกตนอยู่บนภูเขามานานหลายปีอย่างแน่นอน ช่างเป็นเทพเซียนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่จิตใจอำมหิตเสียจริง!
ชุดบนร่างของเฉินผิงอันสะเทือนหนึ่งครั้ง ฝุ่นผงที่ติดเปื้อนมาก็สลายหายไปด้วยตัวเอง ชุดเขียวเปลี่ยนมาเป็นสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด เฉินผิงอันเดินตรงผ่านแท่นบูชาเทพที่ปริแตกจนเกิดช่องโหว่นั้นไป ตอนที่เดินผ่านกองไฟและเด็กหนุ่มที่แกล้งตายผู้นั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “รีบเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาซะ แล้วก็แกล้งตายต่อไป”
เด็กหนุ่มชาวบ้านคนนั้นรีบทำตามทันที
เฉินผิงอันเดินไปนั่งบนธรณีประตูของศาล มองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำและสาวใช้สองคนของนาง ก่อนจะปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มน้ำที่หนักอึ้งของลำธารลึกกลางภูเขาหนึ่งอึก
แจกันสมบัติทวีปมีเทพอภิบาลเมืองคนหนึ่งชื่อว่าเสินเวิน ใบถงทวีปมีเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอ อุตรกุรุทวีปก็มีคนอย่างฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นและเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ย
เฉินผิงอันใช้วิชาลับอย่างหนึ่งมาเก็บดวงวิญญาณของตู้อวี๋ไว้จริง หาใช่แกล้งพูดจงใจขู่ให้ฮูหยินเทพวารีผู้นั้นหวาดกลัวไม่
นี่ไม่ใช่วิชาตระกูลเซียนขั้นพื้นฐานบนภูเขาอะไร แต่เป็นการค้าอย่างที่สองที่ตอนนั้นเฉินผิงอันทำกับหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ระดับขั้นของมันสูงยิ่ง แล้วก็เผาผลาญปราณวิญญาณอย่างมาก เวลานี้การสะสมปราณวิญญาณในจวนน้ำของเฉินผิงอัน หลักๆ แล้วอยู่ที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เป็นธาตุน้ำ หรือก็คือตราประทับอักษรน้ำที่ลอยตัวอยู่ในจวนน้ำ แก่นโชคชะตาน้ำน้อยนิดที่มันสั่งสมและหล่อหลอมอยู่ทุกคืนวัน เวลานี้ถูกดึงมาใช้จนแทบหมดสิ้น ช่วงนี้เฉินผิงอันไม่ค่อยกล้าใช้วิธีมองภายในไปตรวจสอบจวนน้ำมากนัก เพราะเขาทนเห็นสายตาตำหนิต่อว่าของเด็กๆ ชุดเขียวพวกนั้นไม่ได้
เฉินผิงอันหยิบเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่เป็นสีหิมะเกลี้ยงแวววาวเม็ดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ รวมไปถึงยาเม็ดสีชาดที่พื้นผิวภายนอกสลักตัวขระไว้จนเต็ม นี่ก็คือเรื่องที่ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีคิดจะทำก่อนหน้านั้น เขาคิดจะลอบโจมตีเฉินผิงอัน ยาเม็ดนี้หล่อหลอมมาจากโอสถในของปีศาจตนหนึ่ง ประสิทธิผลคล้ายคลึงกับการโจมตีถึงแก่ชีวิตของนักฆ่ากลุ่มหนึ่งที่มาล้อมสังหารเหมาเสี่ยวตงในเมืองหลวงต้าสุยปีนั้น เพียงแต่ว่านั่นคือโอสถทองของแท้แน่นอน แต่เม็ดที่อยู่บนมือเฉินผิงอันตอนนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นโอสถในของปีศาจขอบเขตชมมหาสมุทรตนหนึ่ง ส่วนเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารนั้น คิดดูแล้วตู้อวี๋คงไม่ถึงขั้นจะให้พวกเขาวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย จึงคิดจะอาศัยเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างชิ้นนี้มาต้านทานแรงโจมตีจากการระเบิดของโอสถใน
แผนการถือเป็นแผนการที่ดี
ตอนนั้นที่เฉินผิงอันได้ยินเรื่องเก่าแก่ในอดีตของเมืองสุยเจี้ย สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ค่อยนิ่งสักเท่าไรจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาแบ่งสมาธิไปจับตามองความเคลื่อนไหวของตู้อวี๋ รวมถึงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กๆ น้อยๆ ของสาวใช้ทั้งสองอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันเหม่อลอยถึงได้เผยช่องโหว่ให้ตู้อวี๋สบโอกาส
น่าเสียดายก็แต่ริ้วลมปราณที่กระเพื่อมขึ้นมาเล็กน้อยของตู้อวี๋ก่อนหน้านี้เป็นเหตุให้เศษหินที่อยู่ในร่องแตกของกำแพงปลิวกระจายขึ้นมาเล็กน้อย ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอาจจะสังเกตอะไรไม่เห็น แต่เมื่อมาอยู่กับเฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดไหลเวียนวนได้อย่างเป็นธรรมชาติจนราวกับมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องอยู่นั้นกลับไม่ต่างอะไรจากเสียงฟ้าคำรณ เพราะถึงอย่างไรการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงอย่างแท้จริง ความรุนแรงดุจสายฟ้าระเบิด หลายๆ ครั้งเฉินผิงอันต้องอาศัยการเดา การเดิมพันเอาด้วยซ้ำ ถึงจะได้ไม่ต้อง…ถูกหมัดกระแทกใส่แบบจังๆ คิดจะหลบนั้นหลบไม่พ้นอยู่แล้ว ต่อให้ชุยเฉิงจะจงใจกดปณิธานหมัดไว้ที่ขอบเขตเดินทางไกลก็ตาม และครานั้นเมื่อประมือกับจูเหลี่ยน คนบ้าวรยุทธอย่างเขาก็ถูกชุยเฉิงบีบให้ต้องซ้อมเฉินผิงอันจนร่อแร่ใกล้ตายอยู่ทุกวัน การออกหมัดนั้นไม่เรียกว่ามีการกะเกณฑ์อย่างพิถีพิถันเลยจริงๆ
จะว่าไปแล้วยังคงเป็นเพราะตบะของตู้อวี๋ไม่สูงมากพอ
นี่ก็เหมือนตอนที่เฉินผิงอันอยู่ในหุบเขาผีร้ายแล้วถูกเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานจับตามอง หนี เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ
หากตู้อวี๋ไม่มีใจที่หวังว่าตัวเองจะบังเอิญโชคดี พอฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วเลือกจะหนีไปโดยตรง เฉินผิงอันย่อมขัดขวาง แต่จะไม่มีทางลงมือสังหารเขาแล้วกักวิญญาณไว้ในกรงขังอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเก็บโอสถพิทักษ์ชีวิตที่เป็นสมบัติก้นกรุของตู้อวี๋ชิ้นนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ มือกำเม็ดเสื้อเกราะสีขาวหิมะเม็ดนั้นเอาไว้แล้วบิดหมุนมันเบาๆ พลางมองไปทางฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ “ข้าเคยบอกไว้ว่า อะไรที่เจ้ารู้ ล้วนต้องเล่าให้ข้าฟังทั้งหมด ฮูหยินเองก็เคยบอกว่าจะไม่รนหาที่ตายอีก”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น สีหน้าเศร้ารันทด ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกสลด “ใต้เท้าเซียนซือ บ่าวไม่ได้ปิดบังท่านจริงๆ นะ ใต้เท้าเซียนซือจะต้องใส่ร้ายบ่าวให้ตายถึงจะพอใจใช่ไหม?”
นางฟุบตัวนอนลงกับพื้น ซีกแก้มหนุนอยู่บนแขนสองข้าง ร่างโยกคลอนขึ้นลง ไหล่ทั้งสองสั่นสะท้านเบาๆ น่าสงสารอย่างถึงที่สุด พูดเสียงสะอึกสะอื้น “บ่าวไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กันแน่ ถึงต้องมาถูกเซียนซือใส่ความเช่นนี้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเงียบเสียงลงทันที
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็มานั่งยองอยู่ด้านข้างเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ ฝ่ามือกดลงบนศีรษะของนางแล้วเพิ่มน้ำหนักลงไปแรงๆ จุดจบของนางจึงเหมือนกับตู้อวี๋ก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน นั่นคือสลบเหมือดคาที่ ศีรษะเกินครึ่งฝังลึกลงไปในดิน
สาวใช้ทั้งสองหวาดผวาสุดขีด อยากจะหนีไปให้ไกล คนหนึ่งในนั้นถูกพายุลมกรดที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันกระแทกเข้าที่แผ่นหลัง เรือนกายบอบบางลอยหวือไปฝังอยู่กับผนัง แล้วก็หมดสติไปเช่นกัน
เหลือเพียงสาวใช้อีกคนหนึ่งที่ตัวสั่นสะท้าน เพิ่งจะก้าวขาออกไปหนึ่งก้าวก็เหมือนถูกร่ายวิชาเซียนหยุดร่างเข้าใส่ ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันหมุนตัวไปนั่งบนแท่นบันได เอ่ยว่า “นับว่าเจ้าซื่อสัตย์กว่าพี่น้องที่ไม่เชี่ยวชาญวิชาทะลุผนังมากพอผู้นั้นอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำพูดถึงรายละเอียดบางอย่าง สายตาของเจ้าเผยข้อมูลให้แก่ข้าไม่น้อย ไหนลองเล่ามาสิ ถือเสียว่าช่วยตรวจสอบชดเชยข้อบกพร่องที่ฮูหยินของเจ้าตกหล่นไป ไม่ว่าเจ้าจะวางใจหรือไม่ ข้าก็ยังต้องพูดซ้ำอีกรอบว่า ข้ากับพวกเจ้าไม่เคยมีความแค้นใดๆ ต่อกัน การสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำของพื้นที่หนึ่ง ต่อให้เป็นแค่ผู้ติดตามหรือขุนนางผู้ช่วยก็ยังต้องได้รับผลกรรมอยู่ดี”
สาวใช้ผู้นั้นกลับไม่ใช่คนโง่ นางสูดน้ำมูกพูดเสียงสะอื้นว่า “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเรียกคุณชายว่าเซียนซือ แต่บ่าวกลับคิดว่าคุณชายเหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งมากกว่า ตู้อวี๋ผู้นั้นก็บอกว่าคุณชายคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธอะไรสักอย่าง ผู้ฝึกยุทธฆ่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผลกรรมติดตัว”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง กระบี่บินสืออู่ก็พุ่งออกมา ประหนึ่งนกกระจอกที่บินล้อมวนกิ่งไม้ ท่ามกลางม่านราตรี แสงกระบี่สีเขียวเข้มบินวนไปรอบกายเฉินผิงอันอย่างลิงโลดว่องไว
สาวใช้ปากอ้าตาค้าง “คุณชายเป็นเซียนกระบี่จริงๆ ด้วย!”
ว่ากันว่าใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบที่สูงส่งเหนือผู้ใดของทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้น ในชีวิตนี้กลัวการถูกเซียนกระบี่ใช้กระบี่บินตัดหัวมากที่สุดแล้ว!
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าว่าใช่ก็ใช่แล้วกัน”
สาวใช้เริ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้ ใบหน้าของนางเผยความอัดอั้นขมขื่น ไม่เหมือนกับท่าทางบอบบางน่าสงสารของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก่อนหน้านี้ เพราะนี่เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงของนาง
ขอแค่วันนี้ตนเปิดเผยความลับสวรรค์ช้าสักหน่อย ด้วยนิสัยชอบคาดเดาของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ รวมไปถึงนิสัยป่าเถื่อนของใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นั้น ตนก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ? หนึ่งทะเลสาบสามลำคลองสองคูน้ำ ภายในระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปกระตุ้นให้เจ้าแห่งทะเลสาบเกิดโทสะ พี่สาวน้องสาวทั้งหลายที่ถูกสาวจิตวิญญาณมาทำเป็นไส้ตะเกียงของตะเกียงน้ำที่ถูกจุดเผาไหม้อยู่ทุกเช้าค่ำ นางยกสองมือนับก็ยังไม่พอ จิตวิญญาณของเหล่าพี่น้องจะได้พ้นจากห้วงทะเลแห่งความทุกข์ได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อน้ำมันแก่นวิญญาณหยดสุดท้ายในตะเกียงน้ำหมดลงแล้วเท่านั้น แต่กระนั้นพวกนางก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับไปเกิดใหม่อยู่ดี
เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะยกเส้นสายที่อ้อมค้อมบางอย่างมาพูด รวมไปถึงเปิดเผยแผนการในภายหลังที่ตนเตรียมไว้ให้นางได้รู้เล็กน้อย นางจะได้สบายใจขึ้น แต่สุดท้ายกลับพูดแค่คำเดียวว่า “พูด”
สาวใช้ตกใจจนร่างส่ายโงนเงน ไม่กล้าคิดหวังว่าตัวเองจะโชคดีอีก จึงเล่าเรื่องวงในที่ตัวเองรู้และอนุมานมาได้รัวยาวเหมือนเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่ให้เซียนซือหนุ่มผู้นี้ฟังในรวดเดียว
เจ้าแห่งทะเลสาบของทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้นคือเทพวารีลำดับขั้นสูงเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นอิ๋นผิงพวกนาง ต่อให้เจอกับเจ้าแห่งขุนเขาทั้งหลายก็ยังสามารถนั่งทัดเทียมกับพวกเขาได้ สำหรับศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองสุยเจี้ยแห่งนั้น เขาดูแคลนมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเทพอัคคีที่เคยผูกปมแค้นกับฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมาก่อน หลังจากประลองเวทกันไปครั้งหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบก็เกือบจะบังคับน้ำทะเลสาบออกมา วางท่าว่าจะควบคุมให้น้ำท่วมทับเมืองสุยเจี้ย บีบให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเทพอัคคีต้องปรากฏตัว แล้วโขกหัวยอมรับผิดต่อหน้าชาวบ้านทั้งเมือง ภายหลังถูกเซียนกระบี่เส้นผมขาวโพลนคนหนึ่งที่เดินทางผ่านมาช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ ถึงได้ยอมเลิกรา แต่เจ้าแห่งทะเลสาบกลับเคียดแค้นเมืองสุยเจี้ยอย่างลึกล้ำ ปีนั้นที่เจ้าเมืองส่งจดหมายลับไปหาสหายในเมืองหลวง ศาลเทพอภิบาลเมืองถูกปิดหูปิดตา แต่เจ้าแห่งทะเลสาบกลับเห็นอย่างชัดเจนเหมือนมองกองไฟในถ้ำมืด จึงแอบส่งเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีให้ไปดักคนส่งจดหมายผู้นั้นเอาไว้ พอรู้เนื้อหาที่อยู่ในจดหมายลับ ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบจึงนำของแทนตัวที่เป็นหยกลัญจกรชิ้นหนึ่งซึ่งสามารถออกคำสั่งให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำเดินทางไกลออกจากพื้นที่ของตัวเองไปได้ นำไปมอบให้กับเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี สั่งให้นางเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอิ๋นผิงพร้อมกับคนส่งจดหมายคนนั้น
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเทพอัคคีกับศาลเทพอภิบาลเมืองเป็นอย่างไร?”
สาวใช้ตอบ “ความสัมพันธ์ธรรมดา ตามหลักแล้วศาลเทพอัคคีลำดับขั้นต่ำกว่าเล็กน้อย แต่เทพองค์นั้นกลับไม่ค่อยชอบไปมาหาสู่กับศาลเทพอัคคี งานเลี้ยงขุนเขาสายน้ำที่ตระกูลเซียนมากมายบนภูเขาจัดขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็แทบจะไม่เคยออกงานร่วมกันมาก่อน”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วเจ้าแห่งทะเลสาบมีท่าทีอย่างไรต่อศาลเทพอภิบาลเมือง?”
สาวใช้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบดูแคลนท่านเทพอภิบาลเมืองมากกว่า บางครั้งที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำของพวกเราดื่มจนเมามายอยู่ในวังมังกรใต้ทะเลสาบ ยามที่กลับมาถึงเรือนพักส่วนตัวก็จะเล่าเรื่องบางอย่างให้พวกเราพี่น้องฟัง บอกว่านายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบเหยียดยันว่าท่านเทพอภิบาลเมืองคือพวกโง่เขลาไร้ฝีมือ ตอนมีชีวิตอยู่ชอบไปลอกเลียนเอาบทกวีของบัณฑิตยากจนมามากที่สุด จากนั้นก็ทุ่มเงินสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แคว้นอิ๋นผิงเลือกคนแบบนี้มาเป็นเทพอภิบาลเมืองก็เพียงแค่เพราะเห็นแก่ชื่อเสียงที่ดีงามของเขาเท่านั้น และตอนมีชีวิตอยู่เขาก็ไม่ใช่พวกคนที่มีความสามารถในการปกครอง เวลาปกติชอบกินลมชมจันทร์ ตั้งฉายาให้ตัวเองว่าชมจันทร์เจินเหริน ชอบทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่ดีแต่ชี้นิ้วสั่งคนอื่น แล้วก็ไม่รู้จักศาสตร์แห่งการใช้คน ดังนั้นหายนะของเมืองสุยเจี้ยครั้งนี้ จะเรียกว่าภัยพิบัติจากธรรมชาติได้อย่างไร ต้องเรียกว่าภัยจากมนุษย์ต่างหาก แต่ภายนอกความสัมพันธ์ระหว่างทะเลสาบชางอวิ๋นเรากับศาลเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ยก็ยังถือว่าพอคบค้ากันได้ ท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นั้นมักจะชอบพาขุนนางชนชั้นสูง ลูกหลานของอ๋องของกงออกไปท่องเที่ยวนอกเมืองหลวงเป็นประจำ แล้วก็มักจะมาเปิดหูเปิดตาที่วังมังกรใต้ทะเลสาบ อีกทั้งในจวนเจ้าแห่งทะเลสาบก็มีสาวใช้ที่งดงามอยู่หลายสิบคน แต่ละคนล้วนมีเสน่ห์น่าหลงใหล เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่แขกชนชั้นสูงมาเยือนอย่างเบิกบาน ก็ต้องกลับไปด้วยความสำราญทุกครั้ง”
เฉินผิงอันกล่าว “ศาลเทพอภิบาลเมืองทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงได้ก่อให้เกิดหายนะใหญ่อย่างในวันนี้ แน่นอนว่าศาลเทพอัคคีก็ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย อันที่จริงเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นของพวกเจ้าน่าจะยินดีที่ได้เห็นมากกว่ากระมัง”
สาวใช้ไม่ต่อคำ เงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “นายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบคือผู้นำของเทพวารีในหนึ่งแคว้น จิตใจลึกล้ำยากจะหยั่ง สาวใช้ต่ำต้อยอย่างข้าจะไปคาดเดาใจเขาออกได้อย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เก็บเม็ดเสื้อเกราะชิ้นนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นก็ดีดนิ้วเบาๆ สาวใช้หงายหลังผลึ่งลงกับพื้นทันที
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สาวใช้ที่ร่างจมอยู่ในผนังก็เหมือนถูกคนกระชากเข้ามาในเรือน นางกลิ้งตลบอยู่บนพื้น ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา รู้สึกเพียงว่าปวดหัวราวกับหัวจะแตก กระดูกและเส้นเอ็นทั่วร่างก็คล้ายว่าจะคลายตัวหลวม
เฉินผิงอันถาม “เมื่อครู่นี้ในสมองของสาวใช้ผู้นี้เหมือนมีแต่แป้งเปียก ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง มองดูแล้วเจ้าน่าจะฉลาดกว่าหน่อย ไหนเจ้าลองเล่ามาสิ”
สาวใช้คนนี้คิดจะโขกหัวคำนับอ้อนวอนขอชีวิต แต่เฉินผิงอันกลับดีดนิ้วหนึ่งครั้ง พละกำลังที่ใช้ไม่มาก แต่กลับยังคงกระแทกให้นางลอยกระเด็นไปทางประตูใหญ่ของศาลเหมือนว่าวที่สายป่านขาด จากนั้นเฉินผิงอันก็ยื่นมือออกมากวัก บังคับให้นางลอยกลับมา แล้วเอามือบีบคอของนางไว้ สองฝ่ายจ้องตากัน สาวใช้มองตาเขาแล้วก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ สีหน้าเขียวคล้ำ ร้องอึกอักอยู่ในลำคอคล้ายมีเรื่องจะพูด
เฉินผิงอันสะบัดมือเหวี่ยงนางลงบนพื้นกลางลาน นางนอนพังพาบอยู่กับพื้น จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน หันหน้าไปจ้องมองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำนิ่งๆ สายตาซับซ้อน ในสายตานั้นมีทั้งแววตาซาบซึ้ง อาลัยอาวรณ์ และความไม่พอใจ
สุดท้ายนางตีหน้าเคร่ง หันไปถ่มน้ำลายแรงๆ ใส่เซียนซือหนุ่มที่ทำเล่นผีหลอกเจ้าแล้วหัวเราะเสียงหยัน “ข้าผู้อาวุโสพูดจบแล้ว!”
—–