บุรุษสวมชุดเขียวคนหนึ่งเดินทางผ่านแคว้นหลันฝาง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตลอดทาง
แคว้นหลันฝางมีชื่อเสียงด้านดอกกล้วยไม้ที่ล้ำค่า คนทั้งแคว้นเหมือนเสียสติที่ไม่เห็นคุณค่าของทองคำ แต่ละครอบครัวมีรากฐานดีหรือไม่ดีก็แทบจะดูแค่ที่ว่ามีดอกกล้วยไม้ที่มูลค่าสูงเทียมฟ้าอยู่กี่ต้นเท่านั้น
นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษอีก เพียงแต่ว่าก็มีขนบธรรมเนียมบางอย่างที่ทำให้คนจดจำได้ลึกซึ้ง ยกตัวอย่างเช่นสตรีแต่งงานแล้วจะชอบโยนเงินทองลงในแม่น้ำเพื่อเสี่ยงทายชะตา ชาวบ้านในแคว้นไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนก็ล้วนชอบปล่อยสัตว์ เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมทั่วทั้งราชสำนัก เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์ที่ลำน้ำตอนบนปล่อยสิ่งมีชีวิตกันอย่างจริงใจ ส่วนลำน้ำตอนล่างจับปลาจับตะพาบกันอย่างจริงจังก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย และยิ่งมีคนลากจูงเรือที่ไม่ว่าจะเป็นชายฉกรรจ์หรือสตรีโตเต็มวัยก็มักจะเปลือยท่อนบน ปล่อยให้แสงแดดสาดส่องแผ่นหลัง รอยเชือกที่กดทับลึกเหมือนร่องน้ำในผืนนาแตกระแหง และยังมีสถานที่ต่างๆ ที่หากเจอกับภัยแล้งหรือน้ำท่วมก็มักจะชอบแห่ราชามังกรกระดาษวนไปรอบถนน แต่กลับไม่ได้เป็นการขอฝนหรือขอไม่ให้ฝนตกจากราชามังกร แต่จะเอาแส้ฟาดโบยใส่ราชามังกรกระดาษอย่างต่อเนื่อง จนกว่ามันจะฉีกขาดยับเยิน
ทางทิศเหนือของแคว้นหลันฝางคือแคว้นชิงสือ ทั้งจักรพรรดิและขุนนางคนสำคัญล้วนเลื่อมใสลัทธิเต๋า มีอารามเต๋ามากมายดุจก้อนเมฆ สยบกำราบลัทธิพุทธอย่างไร้ความยำเกรง บางครั้งที่เจอวัดก็มักจะมีควันธูปบางเบา
ขยับขึ้นเหนือไปอีกนิดก็คือแคว้นจินเฟยแคว้นใต้อาณัติทางทิศใต้ของราชวงศ์ต้าจ้วน ให้ความสำคัญกับวิชายุทธการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดแทบจะมองเห็นคนต่อยตีกันได้ทุกหนแห่ง อีกทั้งยังจริงจังถึงขั้นเห็นเลือด พวกเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งของตระกูลเศรษฐีก็มักจะชอบพกดาบพกธนู จับกลุ่มกันควบม้าออกเดินทางไกล รอบกายห้อมล้อมด้วยหญิงคณิกา ออกล่าเหยื่อไปทั่วทิศราวกับว่ารอบกายไร้ผู้คน จักรพรรดิของแคว้นจินเฟยนั้นมีชาติกำเนิดมาจากสนามรบ ถือเป็นคนที่ใช้อำนาจยึดครองบัลลังก์แย่งชิงเก้าอี้มังกรมาครอง ให้ความเลื่อมใสบู๊กดบุ๋นให้ต่ำ ในราชสำนักจึงมักจะมีขุนนางบุ๋นชั้นสูงที่ถูกต่อยจนหน้าบวมเขียวช้ำถอยออกจากท้องพระโรงกลับบ้านไปพักรักษาตัว
เรื่องเหลือเชื่อของที่อื่น เมื่ออยู่ในสายตาของชาวบ้านแคว้นจินเฟยแล้วกลับเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เรื่องทำนองว่ามหาบัณฑิตถูกถ่มน้ำลายใส่หน้า เจ้ากรมพิธีการที่ปากเอ่ยแต่หลักการเหตุผลอริยะปราชญ์เถียงชนะหมัดเหล็กของแม่ทัพใหญ่ไม่ได้ ฯลฯ ล้วนเป็นได้แค่เรื่องที่คนจะเอามาพูดคุยกันหลังมื้ออาหารเท่านั้น
ตลอดทางมานี้เจอกับฝนโปรยปรายบนสะพานเลียบหน้าผา ม่านฝนเหมือนผ้าม่าน เสียงฝนประหนึ่งเสียงสายลมแผ่วเบาคลอเคล้าด้วยเสียงระฆัง
มีคนตัดฟืนผู้หนึ่งไปเจอกับดอกกล้วยไม้ต้นหนึ่งในเขาลึกโดยบังเอิญก็เต้นแร้งเต้นการาวกับเสียสติ
กลางดึกเสียงแมลงร้องดังระงม แสงจันทร์ประหนึ่งสายน้ำที่ชำระล้างชุดสีเขียว ด้านข้างกองไฟในภูเขา เปลวไฟส่ายสะบัด
กำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้ว
วันนี้เฉินผิงอันเดินช้าๆ อยู่ในป่าเขาชานเมืองของแคว้นจินเฟย สถานที่แห่งนี้มีเสือจับกลุ่มกันสร้างหายนะ ดังนั้นลูกหลานชนชั้นสูงที่ชอบผดุงคุณธรรมของแคว้นจินเฟยจึงมักจะมาล่าสัตว์ที่นี่ ตลอดทางที่เดินผ่านมาเฉินผิงอันเห็นกลุ่มคนพกดาบพกธนูออกมาล่าสัตว์กันหลายกลุ่ม พวกเขาไปมาราวกับสายลม อีกทั้งส่วนใหญ่ยังอายุไม่มาก ล้วนเป็นเด็กหนุ่ม ในบรรดานั้นก็มีสตรีอายุน้อยอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ท่วงท่าของพวกนางองอาจ แต่ละคนคุ้นเคยกับการขี่ม้ายิงธนู ส่วนพวกผู้ติดตามจะมีอายุมากสักหน่อย แค่มองก็รู้ว่ามีชาติกำเนิดมาจากทหารบนสนามรบ
เมื่อหลายวันก่อนเฉินผิงอันเพิ่งได้เห็นภาพที่ลูกหลานคนรวยของแคว้นจินเฟยกลุ่มหนึ่งจับกลุ่มกันร่ำสุราอยู่ในศาลเทพภูเขา แล้วทิ้ง ‘ผลงานชิ้นเอก’ ขีดเขียนไว้บนฝาผนังของศาลอย่างสะเปะสะปะ หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่แบกเทวรูปไม้ลงสีสันรูปหนึ่งขึ้นมาบนบ่า พาเดินออกจากประตูใหญ่ของศาล แล้วทุ่มเทวรูปออกไป ปากก็ตะโกนบอกว่าจะลองประชันพละกำลังแขนกับท่านเทพภูเขาดูสักหน่อย เทพภูเขาและเทพแห่งผืนดินที่หลบไปหาความสงบอยู่ไกลๆ เห็นภาพนี้ก็ได้แต่ทอดถอนใจ
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในตัวเมือง แต่เดินออกห่างจากถนนทางหลวง ข้ามภูเขาแม่น้ำ เลียบเส้นทางสายเล็กคดเคี้ยวในป่าเขาเส้นหนึ่ง บางครั้งก็มองเห็นเงาร่างของผู้คน ส่วนใหญ่ล้วนมีเรือนกายปราดเปรียว น่าจะเป็นพวกผู้ฝึกวรยุทธในยุทธภพ เฉินผิงอันที่สวมชุดสีเขียวเหมือนควันเขียวเส้นหนึ่งที่ลอยวูบวาบไปตามต้นไม้ พอถึงช่วงค่ำคืน กลุ่มคนบนทางสายเล็กยังคงไม่จุดไฟ กลางดึกเฉินผิงอันพลันหยุดชะงัก ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ทอดสายตามองไปไกลก็เห็นว่าบนยอดเขาขนาดใหญ่ยักษ์ที่รอบด้านล้วนเป็นหน้าผาชันซึ่งตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวมีแสงไฟสว่างเรืองรอง หลังคาเรือนของสิ่งปลูกสร้างรวมตัวกันอยู่แน่นขนัด มีเพียงสะพานไม้ขึงเส้นเหล็กที่เชื่อมโยงอยู่กับภูเขาใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันเท่านั้นที่สามารถนำพาไปยัง ‘เมืองเล็ก’ บนยอดเขาแห่งนั้นได้ สายลมภูเขายามราตรีพัดโชยพ่าน สะพานทั้งสายก็แกว่งไกวตามไปด้วยเบาๆ
มองดูคล้ายพรรคในยุทธภพที่มีอำนาจไม่น้อย เพราะปราณวิญญาณบริเวณใกล้เคียงบางเบา เมื่อเทียบกับเส้นชายแดนของแคว้นอิ๋นผิงและแคว้นไหวหวงแล้วก็แค่ดีกว่าเล็กน้อย ไม่เหมือนพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษที่เหมาะให้ผู้ฝึกลมปราณมาใช้ฝึกตนใดๆ
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้ กัดกินขนมแป้งย่าง ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บรรจุเหล้าของแคว้นหลันฝางไว้หลายสิบจิน ตลอดทางมานี้เขาดื่มเหล้าไม่บ่อย ตอนนี้จึงยังเหลืออยู่อีกเยอะ
เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ ต่อให้ผ่านการหลอมเล็กมาแล้ว แต่แท่นสังหารมังกรทั้งสองก้อนก็มีพัฒนาการไปอย่างเชื่องช้า ตลอดทางที่ผ่านมาจึงยังไม่อาจหล่อหลอมได้สำเร็จ
โดยไม่ทันรู้ตัว แสงไฟบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามก็เริ่มทยอยกันดับลง สุดท้ายเหลือเพียงแสงเรืองรองคล้ายแสงดาวเท่านั้น
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันลืมตาขึ้น แปะยันต์แบกศิลาที่เรียนมาจากตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีลงไปบนร่างของตัวเอง แล้วฝึกตนต่ออีกครั้ง
การเดินทางขึ้นเหนือ เดินๆ หยุดๆ ไปตามใจปรารถนา ขอแค่ไปถึงแคว้นลวี่อิงที่อยู่ทางแถบตะวันออกของอุตรกุรุทวีปได้ก่อนจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็พอ แคว้นลวี่อิงก็คือทางเข้าที่แม่น้ำใหญ่สายนั้นไหลลงสู่มหาสมุทร ภูมิประเทศทางภาคกลางของอุตรกุรุทวีป ตรงกลางจะเป็นเขาสูงตระหง่าน สองฝั่งอย่างตะวันออกและตะวันตกจะลาดเอียงเข้าหาน้ำทะเลอย่างต่อเนื่อง ทางทิศเหนือจะสูงกว่า มีลำคลองขนาดใหญ่หลายสิบสายที่ไหลลงสู่ท้องน้ำของมหานทีเส้นนี้ ก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่หนึ่งสายน้ำใหญ่ได้ครอบครองทางเข้าสู่มหาสมุทรถึงสองทาง
เฉินผิงอันหลอมเล็กแท่นสังหารมังกรสองก้อนได้พอสมควรแล้วก็จำแลงพวกมันเป็นภาพมายาแล้วใส่ไว้ในช่องโพรงลมปราณสองช่องที่ต่างก็เคยมี ‘ปราณกระบี่กลุ่มเล็ก’ ล้อมวน กระบี่บินชูอีสืออู่ต่างก็แยกกันอยู่คนละช่องโพรง
ทุกครั้งที่กระบี่บินพุ่งเข้าชนแท่นสังหารมังกร คมกระบี่ที่ถูกลับจะเกิดประกายไฟแลบวูบวาบ หัวใจของเฉินผิงอันก็เหมือนถูกมีดคว้าน นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำให้เขาเดินทางได้ไม่เร็วนัก ระดับความเร็วในการหลอมเล็กของเฉินผิงอันเทียบเท่าได้กับความเร็วในการ ‘กินอาหาร’ อย่างแท่นสังหารมังกรของชูอีกับสืออู่เท่านั้น รอจนพวกมันกินแท่นสังหารมังกรนี้จนหมดถึงจะเรียกว่าเป็นการรองท้องปูพื้นฐาน หลังจากนี้การหลอมชูอีสืออู่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งขั้นตอนนั้นต้องอันตรายและผ่านพ้นไปได้อย่างยากลำบากแน่นอน
ทว่าความรู้สึกที่ราวกับเหมือนได้กลับไปถูกคนป้อนหมัดบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วอีกครั้งเช่นนี้กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกมั่นคงมากเป็นพิเศษ
บนสะพานมีเสียงล้อรถบดพื้นถนนของรถใส่ปุ๋ยหลายคันดังแว่วมา ภูเขาสูงที่อยู่อีกแถบหนึ่งของสะพานนี้ได้ถูกบุกเบิกเป็นไร่พืชผักขนาดใหญ่ จากนั้นก็มีกลุ่มคนที่มาตักน้ำจากธารน้ำภูเขาห่างไปไกลเดินตามมา มีเด็กเล็กหักกิ่งหลิวเดินตามขบวนมาด้วย พวกเขากระโดดโลดเต้น ในมือถือถังน้ำใบเล็กที่ถือไว้พอเป็นพิธีเท่านั้น จากนั้นในหมู่บ้านขนาดเล็กบนยอดเขาก็มีเสียงตวาดเสียงคำรามจากผู้ฝึกยุทธยามที่ฝึกหมัดฝึกดาบดังขึ้นมา
พักอาศัยอยู่บนภูเขา อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่หลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้า ถึงอย่างไรก็ยังเป็นปัญหา เงาร่างที่ก่อนหน้านี้ทยอยกันกลับมาถึงหมู่บ้านขนาดเล็กบนภูเขากลางดึก คนส่วนใหญ่ล้วนมีห่อสัมภาระติดตัวมา และระหว่างนี้ก็ยังมีคนที่จูงลาซึ่งแบกวัตถุหนักข้ามสะพานกลับมาบ้านด้วย
เฉินผิงอันคิดว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองวัน พยายามจะใช้คาถาเซียนที่ถอดมาจากอักขระขอฝนบนศิลาของตำหนักปี้โหยวมาหลอมเล็กให้กับแท่นสังหารมังกรทั้งสองก้อนอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นค่อยออกเดินทางต่ออีกครั้ง
หลายสิบแคว้นทางทิศเหนือของสวนน้ำค้างวสันต์ซึ่งรวมถึงแคว้นจินเฟยแห่งนี้เป็นหนึ่งในนั้น ล้วนมีราชวงศ์ต้าจ้วนเป็นผู้นำ โชคชะตาบู๊โชติช่วง ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพเดินอาดกันอย่างผึ่งผาย เกินจริงจนถึงขั้นที่ว่ามีผู้ฝึกยุทธหลายร้อยคนร่วมมือกันไปโจมตีตระกูลเซียนบนภูเขา
สถานที่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางก็มีเพียงตำหนักเกล็ดทองที่มีก่อกำเนิดคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์เท่านั้นที่พอจะถือว่ารอดพ้นหายนะมาได้ เพียงแต่ว่ายามที่ลูกศิษย์ในสำนักลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ก็ยังต้องระมัดระวังตัวอยู่ดี
ตอนแรกที่เฉินผิงอันได้ยินเรื่องนี้จากสวนน้ำค้างวสันต์ก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่ออยู่เหมือนกัน เพียงแต่พอเขาได้ยินว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบสี่ท่านของอุตรกุรุทวีป คนหนึ่งในนั้นก็อยู่ในราชวงศ์ต้าจ้วนแห่งนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจได้บ้างแล้ว
ตอนนี้อุตรกุรุทวีปมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางอยู่สี่ท่าน คนที่อายุมากสุด เดิมทีก็คือผู้แข็งแกร่งล่างภูเขาที่มีคุณธรรมมีชื่อเสียงสูงส่ง เป็นสหายสนิทกับเซียนกระบี่บนภูเขาหลายท่าน ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อหลายปีก่อนถึงได้ธาตุไฟเข้าแทรก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนหลายท่านต้องทุ่มเทพละกำลังอย่างมากกว่าจะจับเขาขังไว้ได้สำเร็จ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจลงมือได้อย่างเต็มที่ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเอาชีวิตของผู้ฝึกยุทธผู้เฒ่าโดยไม่ทันระวัง และด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกยุทธเฒ่ายังทำร้ายเทพเซียนลัทธิเต๋าขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งให้บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ถูกขังอยู่ในจวนเทียนจวินชั่วคราว รอให้เทียนจวินเซี่ยสือกลับมาจากแจกันสมบัติทวีปแล้วค่อยออกคำสั่งว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร
คนที่อายุน้อยที่สุดเพิ่งจะมีอายุได้ร้อยปี คือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อของทางเหนือ ภรรยาคือเซียนกระบี่หญิงที่เพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ อันที่จริงทั้งสองฝ่ายอายุห่างกันค่อนข้างมาก คนทั้งคู่กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ด้วยกันได้ก็ได้ผ่านเรื่องราวอะไรมากมาย
จากนั้นก็คือยอดฝีมือนอกโลกของราชวงศ์ต้าจ้วนที่เป็นดั่งนกกระเรียนป่าโบยบินอยู่ในหมู่เมฆเพียงลำพัง หลายสิบปีที่ผ่านมาเป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ผู้คนพากันวิจารณ์ไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าเขาตายไปแล้ว ตายอยู่ท่ามกลางการต่อสู้กับเซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าราชวงศ์ต้าจ้วนปกปิดไว้ได้ดี แล้วก็มีคนบอกว่าเขาไปอยู่ที่ถ้ำสวรรค์ดอกชาแล้ว พยายามจะกระทำเรื่องที่ผิดต่อหลักทั่วไป ใช้ปราณวิญญาณมาหล่อหลอมเรือนกาย เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วใช้ลูกคลื่นของมหาสมุทรขัดเกลาร่างกาย จากนั้นก็จะเปิดฉากเข่นฆ่ากับเซียนกระบี่ใหญ่แห่งภูเขาวานรคำรามที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขตไปเมื่อหกสิบปีก่อน
คนล่าสุดมีประวัติความเป็นมาแปลกประหลาด จำนวนครั้งที่ลงมือมีน้อยมาก ทุกครั้งที่ลงมือ หมัดของเขาแทบจะไม่เคยปลิดชีพใคร แต่กลับไปรื้อศาลบรรพจารย์บนภูเขามาแล้วสองลูก ว่ากันว่าเป็นจวนตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์อยู่ด้วย ดังนั้นในรายงานข่าวของอุตรกุรุทวีปถึงได้กล้ายืนยันว่าคนผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่ลุกผงาดขึ้นมาใหม่ ว่ากันว่ามีความเกี่ยวข้องกับยอดเขาสิงโต และหลี่เอ้อร์ชื่อของเขาก็น่าจะเป็นเพียงนามแฝง
ราชวงศ์ต้าจ้วนยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดอยู่อีกหนึ่งคน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แล้วนับว่าพบเจอได้ค่อนข้างง่าย คือปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นสตรีท่านหนึ่ง แล้วก็เป็นมือกระบี่ท่านหนึ่ง ตอนนี้รับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ประจำตัวของฮ่องเต้สกุลโจวแห่งต้าจ้วน ทว่าเส้นทางอนาคตของคนผู้นี้ไม่ค่อยมีใครเห็นดีด้วยนัก เพราะเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกลได้ก็นับว่าเป็นม้าตีนปลายแล้ว ชีวิตนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีหวังได้เลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขา
พูดง่ายๆ เลยก็คือ เมื่ออยู่ที่นี่ เสียงของผู้ฝึกยุทธในยุทธภพดังที่สุด และหมัดก็แข็งที่สุด
ตอนนี้อันที่จริงเฉินผิงอันเองก็ยังเข้าใจผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่อยู่นอกภูเขาลั่วพั่วได้ไม่กระจ่างชัดนัก
ซูหลางเซียนกระบี่ไผ่เขียวที่ตอนนั้นคิดจะประลองกระบี่กับผู้อาวุโสซ่งคือคนแรก
ผู้ที่ออกหมัดลอบโจมตีตนในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นคือคนที่สอง
ข้ารับใช้แซ่เลี่ยวที่อยู่ข้างกายคุณชายน้อยเว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชางบนเรือข้ามฟากคือคนที่สาม
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากจะหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งมาประลองฝีมือด้วยอย่างมาก น่าเสียดายที่ร่างจำแลงของเกาเฉิงบนเรือข้ามฟากน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด แต่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่พลังอำนาจไม่ธรรมดาซึ่งเอากระบี่ปาดคอตัวเองคนนั้น ก่อนที่ศีรษะจะหล่นลงพื้น เขาได้เอ่ยประโยคว่า ‘ขอบเขตหยกดิบสามคนของสำนักพีหมาไม่คู่ควรที่จะได้รับเกียรติสังหารเขา’ อันที่จริงก็ถือว่าเป็นถ้อยคำที่ห้าวหาญมากทีเดียว
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบแห่งหนึ่งของแคว้นจินเฟย เฉินผิงอันได้เช่าเรือลำเล็กออกมาตกปลายามค่ำคืน พลางชมศึกการต่อสู้ที่กลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่ไกลๆ
ดูเหมือนว่าจะเป็นการล้อมโจมตีที่มีการวางแผนล่วงหน้ามาไว้นานแล้ว อันดับแรกคือเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นบนเรือหอเรือนลำหนึ่งที่จอดอยู่บนทะเลสาบก่อน คนหลายสิบคนแบ่งเป็นสองกลุ่ม ต่างคนต่างถืออาวุธครบมือ สิบกว่าคนในนั้นน่าจะเป็นคนในยุทธภพที่พอจะถือว่าเป็นยอดฝีมือระดับต้นของแคว้นจินเฟยได้ น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าหรือหก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนแขนขาดขาปลิวหัวกระเด็น จากนั้นก็มีเรือรบของทางการแคว้นจินเฟยเผยตัวเจ็ดแปดลำ แสงไฟส่องสว่างเจิดจ้า สะท้อนให้ผิวน้ำทะเลสาบสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน โอบล้อมเรือหอเรือนลำนั้นไว้อย่างแน่นหนา อันดับแรกก็เป็นการยิงห่าธนูจากคันธนูหลายสิบคัน รอจนผู้ฝึกยุทธทั้งสองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันล้มกองกลายเป็นศพหลายสิบศพแล้ว คนที่เหลือก็พากันหลบเข้าไปในตัวเรือ เรือรบของทหารใช้ไม้ตบที่ติดข้างลำเรือโจมตีเรือหอเรือนอย่างแรง ระหว่างนี้ก็มียอดฝีมือในยุทธภพที่บาดเจ็บพยายามจะฝ่าวงล้อมออกมา ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยให้โดนฆ่าตาย เพียงแต่ว่าเพิ่งจะพุ่งออกจากตัวเรือ หากไม่ถูกห่าลูกธนูบีบให้ถอยร่น ก็ถูกขันทีเฒ่าสวมชุดหม่างตัวหนึ่งจู่โจม หรือไม่ก็ถูกมือกระบี่หญิงอายุไม่มากคนหนึ่งใช้ปราณกระบี่ฟาดร่างให้ขาดครึ่งท่อน ยังมีแม่ทัพร่างกำยำสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ท้องเรือ ในมือถือทวนเหล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยลงมือมาก่อน
ยอดฝีมือในยุทธภพบางคนที่แสร้งทำเป็นว่าได้รับบาดเจ็บจึงร่วงลงสู่ทะเลสาบ จากนั้นก็พยายามจะกลั้นหายใจดำหนีไปใต้น้ำก็ยากที่จะรอดพ้นหายนะไปได้ เพราะในน้ำก็น่าจะมีพวกภูตน้ำแฝงตัวคอยฉวยโอกาสโจมตีรออยู่นานแล้ว เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายถูกบีบให้ต้องลอยพ้นผิวน้ำ จากนั้นก็ถูกแม่ทัพบู๊ร่างกำยำดึงคันธนูออกมาแล้วไล่ยิงพวกเขาให้ตายไปทีละคน ทุกคนล้วนถูกลูกธนูยิงทะลุศีรษะโดยไม่มีข้อยกเว้น
หลังจากที่เรือทหารของทางการแคว้นจินเฟยขยับเข้ามาใกล้ เฉินผิงอันก็ได้บังคับเรือลำน้อยให้ลอยห่างไปไกลอย่างเงียบเชียบแล้ว
ภาพสุดท้ายทำให้เฉินผิงอันจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
คือสตรีที่เป็นมือกระบี่คนนั้นยืนอยู่บนหัวเรือ นางออกกระบี่ไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นศพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำหรือคนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วตกลงไปในทะเลสาบ ล้วนถูกนางใช้กระบี่ทิ่มแทงเพื่อนำมันมาชดเชยปราณกระบี่แหลมคมที่สูญเสียระหว่างการต่อสู้
คาดว่าสุดท้ายแล้วคนบนเรือที่อยู่ใจกลางทะเลสาบลำนั้นคงมีคนรอดชีวิตแค่ไม่กี่คน
คนที่รอดชีวิตก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นสายให้กับราชสำนัก
สุดท้ายเฉินผิงอันเห็นว่ามีคนสามคนเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดของเรือรบ กุมหมัดคารวะแม่ทัพบู๊ร่างกำยำที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนนั้น
—–