กล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ กวนอี้หรานก็ถามว่า อวี๋ซานฝาง ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าถอดเสื้อเกราะกลับคืนสู่มาตุภูมิ เพราะแบบนั้นมีแต่จะทำให้เจ้าอัดอั้นตาย ข้าจะไม่เข้าใจเจ้าได้อย่างไร? ข้าก็แค่อยากฉวยโอกาสนี้ส่งเจ้าไปยังที่ว่าการแห่งใหม่ วันหน้าเจ้าอยู่ในที่สว่าง ต่งสุ่ยจิ่งอยู่ในที่มืด พวกเจ้าคอยช่วยเหลือประคับประคองกัน เจ้าเลื่อนขั้น เขาร่ำรวย วางใจเถอะ ล้วนเป็นงานสะอาด เจ้าก็ถือซะว่าคอยช่วยเหลือข้า เป็นอย่างไร?
อวี๋ซานฝางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ข้าไม่ได้อยากเป็นขุนนางอะไรนั่นสักหน่อย ช่างมันเถิด เจ้าเอาโอกาสนี้ไปมอบให้คนอื่นเถอะ
กวนอี้หรานถาม เจ้าอยากตายอยู่ในสนามรบจริงๆ หรือ?
อวี๋ซานฝางแสยะปากยิ้มกว้าง ตอนนี้มีสงครามให้ทำเสียที่ไหน?
กวนอี้หรานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างคลุมเครือว่า สนามรบหลังจากนี้ก็อันตรายมากเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่บนหลังม้า ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวพันกับความลับอะไร มันเป็นเพียงแค่การอนุมานของข้าเอง นั่นก็คือผู้ฝึกตนในกองทัพทั้งหมดที่ไม่ใช่คนของต้าหลี ใครก็ตามแต่ แม้แต่ข้ากวนอี้หรานเอง ก็ล้วนมีโอกาสตายอย่างเฉียบพลันได้ทุกที่ทุกเวลา ตายได้อย่างไร้สาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าใกล้อาณาเขตแคว้นใต้อาณัติที่เกิดโศกนาฎกรรมสิ้นแคว้นที่รุนแรง ยิ่งขยับเข้าใกล้อดีตเมืองหลวงของแคว้นเก่า หรือไม่ก็ขยับเข้าใกล้ภูเขาตระกูลเซียนที่ล่มสลาย โอกาสที่ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพจะรบตายก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งข้ายังกล้าพูดด้วยว่า การลอบสังหารที่อำมหิตจะมีเยอะมาก เยอะมากๆ
อวี๋ซานฝางร้องอ้อหนึ่งที ถ้าเป็นแบบนี้ การที่ข้าไม่วิ่งไปเป็นขุนนางก็ถูกแล้วน่ะสิ ด้วยฝีมือแมวสามขา (เปรียบเปรยถึงคนไม่มีความสามารถ ดั่งแมวสามขาที่จับหนูไม่ได้) ของเจ้า ไม่มีข้าอยู่ด้วย เวลาเจ้าไปเข้าห้องส้วมก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกใครแทงมีดใส่ก้นจนเป็นรูหลายรูหรอกหรือ?
กวนอี้หรานโมโหจนหยิบที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์อันหนึ่งขว้างใส่ชายฉกรรจ์ผู้นั้น
อวี๋ซานฝางคว้าเอาไว้ได้ ยิ้มพูดหน้าเป็นว่า โอ้โห ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ตบรางวัล
แล้วอวี๋ซานฝางก็ลุกขึ้นยืน วิ่งตะบึงไปทางประตูห้อง
กวนอี้หรานนั่งอยู่ที่เดิม พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า ก็แค่ของเล่นที่มีค่าไม่กี่ตำลึง เจ้ายังมีหน้าจะเอาไปด้วยงั้นหรือ?
อวี๋ซานฝางหยุดเดิน หันหน้ากลับมา ขว้างที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์กลับคืนด้วยสีหน้ารังเกียจ สบถว่า เจ้าเป็นถึงลูกหลานสกุลกวนแห่งเมืองอวิ๋นไจ้ มณฑลอี้โจว แต่ดันเอาของผุๆ นี่มาวางไว้บนโต๊ะงั้นหรือ?! ข้าล่ะนึกอายแทนนายท่านผู้เฒ่ากวนจริงๆ!
คิดไม่ถึงว่ากวนอี้หรานจะรีบยื่นสองมือออกมารับที่ทับกระดาษทองสัมฤทธิ์ชิ้นนั้นเอาไว้ เป่าลมใส่มันเบาๆ แล้วเอาวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า นี่คือของตกแต่งห้องหนังสือเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้ราชวงศ์จูอิ๋งเชียวนะ แม่ทัพซูของพวกเรามอบมันเป็นรางวัลให้ข้าด้วยตัวเอง อันที่จริงมีค่ามากนักล่ะ
อวี๋ซานฝางเพิ่งจะเปิดประตูออกไป เขาที่หันหลังให้กับว่าที่เจ้าประมุขสกุลกวนเสาค้ำยันแคว้นชูมือข้างหนึ่งขึ้นสูง แล้วยกนิ้วหนึ่งขึ้น พอกระแทกประตูปิดแล้วก็ก้าวยาวๆ จากไป
กวนอี้หรานส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเส้นสายตาของเขามาตกอยู่บนโต๊ะ รอยยิ้มนั้นก็หุบลง
พลิกเปิดรายงานลับจากองค์กรสายลับศาลาคลื่นมรกตของต้าหลีต่ออีกครั้ง ตัวอักษรในรายงานฉบับนั้นเยอะมาก นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดในราชสำนักต้าหลี
เพราะภายใต้การอนุมานของราชครูชุยฉาน เอกสารรายงานทุกอย่างล้วนเน้นย้ำในด้านความกระชับ ได้ใจความ
การที่กวนอี้หรานสามารถอ่านรายงานลับฉบับนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเขาแซ่กวน แต่เป็นเพราะเขาคือแม่ทัพที่มาปักหลักตั้งกองทัพอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนพอดี จึงจำเป็นต้องให้เขาเขียนรายงานตอบกลับด้วยตัวเอง
รายงานฉบับนี้มาจากมือของขุนนางบุ๋นตำแหน่งเล็กๆ แซ่หลิ่วคนหนึ่งที่มาจากแคว้นชิงหลวน ทว่าเนื้อหาเกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ ใหญ่จนทำให้กวนอี้หรานที่ได้อ่านแค่ไม่กี่ตัวอักษรรู้สึกเหมือนมีไอเย็นๆ ลอยโชยมาปะทะใบหน้า
เป็นกลยุทธ์โดยละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ใหญ่ในอนาคตของทะเลสาบซูเจี่ยน
เนื้อหาหนึ่งในนั้นพูดถึงกู้ช่าน แน่นอนว่าพูดถึงเขากวนอี้หรานด้วย
……
ผู้เฒ่าคนหนึ่งพลิ้วกายลงในลานเรือนขนาดเล็กอย่างเงียบเชียบ
กู้ช่านเก็บตำหนักพญายมราชคุกล่างและเรือนแก้วจำลองที่วางอยู่บนโต๊ะใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งที่วางไว้ข้างเท้า
หยิบเอาพัดไม้ไผ่ที่ทำจากไม้ไผ่เสินเซียวบนโต๊ะขึ้นมาเหน็บไว้ตรงเอว เดินยิ้มออกจากห้องหนังสือ ไปเปิดประตูใหญ่ของห้องหลัก
แขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ ถือว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริงของเขา
หลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสียที่เล่าลือกันว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายอยู่ในคุกน้ำ และตอนนี้ก็มีหวังว่าจะฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด
กู้ช่านเปิดประตูแล้วก็ประสานมือโค้งคารวะ ศิษย์กู้ช่านคารวะอาจารย์
หลิวจื้อเม่าส่งยิ้มให้พลางพยักหน้ารับ ระหว่างพวกเราอาจารย์และศิษย์ ไม่จำเป็นต้องห่างเหินกันเช่นนี้
คนทั้งสองนั่งลงในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลักซึ่งมีกรอบป้ายเขียนคำว่า ‘ชื่อเสียงหอมหวนขจรนาน’ ที่เจ้าของบ้านเดิมทิ้งไว้
กลอนคู่ที่แขวนไว้สองด้านก็ผ่านกาลเวลามานานแล้วเช่นกัน เนื่องจากไม่เคยได้เปลี่ยนใหม่จึงมีกลิ่นอายของความโบราณเก่าแก่ ‘ยามเปิดประตูภูเขาด้านหลังน้ำใสงามสบายตา ยามปิดหน้าต่างบทความคุณธรรมอบรมจิตใจ’
หลิวจื้อเม่านั่งลงบนตำแหน่งประธาน กู้ช่านนั่งอยู่ด้านข้าง
หลิวจื้อเม่ามองประเมินห้องโถงแห่งนี้ไปรอบหนึ่ง สถานที่เล็กไปสักหน่อย แต่ยังดีที่สะอาดและสงบ
กู้ช่านถาม อาจารย์จะดื่มเหล้าหรือไม่? ที่นี่ไม่มีเหล้าหมักตระกูลเซียน แต่เหล้าหมักข้าวเหนียวของสหายคนหนึ่งกลับยังมีอยู่ไม่น้อย แต่สุราในหมู่ชาวบ้านเช่นนี้ อาจารย์อาจดื่มไม่ชินสักเท่าไร
หลิวจื้อเม่าโบกมือ ยิ้มกล่าวว่า ไม่ดื่มดีกว่า
กู้ช่านจึงไม่เอ่ยอะไรให้มากความอีก ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม
หลิวจื้อเม่ายิ้มถาม ก่อนหน้านี้อาจารย์ออกไปข้างนอกกับผู้ถวายงานคนหนึ่งของสำนักมารอบหนึ่ง ตอนนี้จึงพอจะถือว่ามีความสัมพันธ์กับแม่ทัพใหญ่ซูเกาซานอยู่บ้าง เจ้าอยากเข้าร่วมกองทัพ ชิงเอาตำแหน่งขุนนางแม่ทัพบู๊มาบ้างหรือไม่?
กู้ช่านส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ศิษย์คงไม่นำความสัมพันธ์ควันธูปของอาจารย์มาใช้ให้สิ้นเปลืองแล้ว
หลิวจื้อเม่าเองก็ไม่คิดจะบังคับฝืนใจ เขาพลันพูดอย่างปลงอนิจจังว่า กู้ช่าน ตอนนี้เจ้ายังไม่อายุสิบสี่เลยใช่ไหม?
กู้ช่านพยักหน้ารับ
หลิวจื้อเม่าเงียบงันไปครู่หนึ่ง หากอาจารย์ฝ่าทะลุขอบเขต เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ ในฐานะผู้ถวายงานก็สามารถเสนอข้อเรียกร้องสามข้อแก่สำนักเจินจิ้ง นี่เป็นเรื่องที่เจ้าสำนักเจียงรับปากมาตั้งแต่แรกแล้ว ข้าคิดว่าจะเปิดปากขอให้สำนักเจินจิ้งแบ่งเกาะชิงเสียและเกาะใต้อาณัติซึ่งรวมเกาะซู่หลินเป็นหนึ่งในนั้นออกมา แล้วยกให้เจ้าทั้งหมด
กู้ช่านมีสีหน้าเป็นปกติดังเดิม ไม่ได้รีบร้อนจะเอ่ยวาจา
หลิวจื้อเม่าจึงเอ่ยต่อไปว่า อาจารย์ไม่ได้คิดทำเพื่อลูกศิษย์อย่างเจ้าไปเสียทั้งหมด อาจารย์เองก็มีใจที่เห็นแก่ตัวเช่นกัน เพราะไม่อยากให้การสืบทอดของสายเกาะชิงเสียต้องขาดสะบั้นไปนับแต่นี้ มีเจ้าอยู่บนเกาะชิงเสีย ศาลบรรพจารย์ก็ไม่ถือว่าถูกปิด ต่อให้สุดท้ายแล้วเกาะชิงเสียจะเหลือคนแค่ไม่กี่คน แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเกาะชิงเสียอย่างข้าก็สามารถอุทิศตนถวายชีวิตให้แก่เจียงซ่างเจินและสำนักเจินจิ้งได้อย่างเต็มที่แล้ว
กู้ช่านถาม อาจารย์ต้องการให้ศิษย์ทำอะไร? อาจารย์เชิญบอกมาได้เลย ศิษย์ไม่กล้าพูดจาสวยหรูว่าจะไม่ปฏิเสธทุกเรื่องที่อาจารย์เอ่ยมา แต่หากเป็นเรื่องที่ทำได้ ศิษย์จะต้องทำให้อย่างแน่นอน แล้วก็จะยังพยายามทำให้ดีที่สุดด้วย
หลิวจื้อเม่ามีสีหน้าปลาบปลื้ม ลูบหนวดยิ้ม นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเนิบช้าว่า ช่วยศาลบรรพจารย์ของเกาะชิงเสียแตกกิ่งก้านสาขา ง่ายดายเพียงเท่านี้แหละ แต่เอาเรื่องที่ไม่น่าฟังมาพูดกันก่อน นอกจากหลี่ฝูฉวีผู้ถวายงานก่อกำเนิดของสำนักเจินจิ้งผู้นั้นแล้ว ผู้ถวายงานน้อยใหญ่คนอื่นๆ อาจารย์ล้วนไม่สนิทสนมด้วยสักคน บางคนยังเป็นศัตรูแอบแฝงด้วยซ้ำ เจียงซ่างเจินเองก็ไม่ได้จริงใจกับข้าอย่างแท้จริง ดังนั้นเจ้ารับเอาศาลบรรพจารย์เกาะชิงเสียและเกาะใต้อาณัติทั้งหลายไปหมด จึงไม่ใช่เรื่องดีเสียทีเดียว เจ้าจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียให้ดี เพราะถึงอย่างไรทรัพย์สินที่หล่นลงมาจากฟ้า เงินมากเกินไปก็กระแทกคนให้ตายได้ เจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เข้าตาอาจารย์ อาจารย์ถึงได้พูดกับเจ้ากู้ช่านอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
กู้ช่านเอ่ย ถ้าอย่างนั้นขอให้ศิษย์ได้ใคร่ครวญให้ดีอีกสักหน่อย อย่างช้าสุดสามวันก็สามารถมอบคำตอบที่แน่ชัดให้แก่อาจารย์ได้
หลิวจื้อเม่าพยักหน้ารับ เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด ระมัดระวังกลัวตาย วางแผนก่อนค่อยลงมือ ทุ่มสุดชีวิตอย่างไม่เสียดาย เดิมพันมากก็ได้มาก นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนของผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเรา
กู้ช่านผงกศีรษะ คำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์จดจำไว้ขึ้นใจแล้ว
กล่าวมาถึงตรงนี้ กู้ช่านก็คลี่ยิ้มเอ่ยว่า ในอดีต นึกว่าตัวเองเข้าใจเหตุผลไปเสียทุกเรื่อง อันที่จริงกลับไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นศิษย์ที่ดื้อรั้นไม่รู้ความ เป็นที่ขบขันของอาจารย์แล้ว
หลิวจื้อเม่าพูดกลั้วหัวเราะ ทุกคนในใต้หล้านี้ที่พร่ำพูดว่าตัวเองเข้าใจเหตุผลทุกอย่าง แน่นอนว่าย่อมเป็นคนที่ไม่เข้าใจอะไรที่สุด อันที่จริงการกระทำของเจ้าในอดีต มองดูเหมือนไร้ขื่อไร้แป แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่เจ้าคิด ขอแค่มีชีวิตอยู่รอดมาได้ ความยากลำบากใหญ่หลวงทั้งหลายที่ต้องเผชิญมา ก็คือรากฐานสมบัติที่แท้จริงของผู้ฝึกตนอิสระ โดนต่อยจนฟันร่วงหมดปากก็ยังต้องกลืนทั้งเลือดทั้งฟันลงไป นี่ต่างหากจึงจะเรียกได้ว่าเข้าใจหลักการเหตุผลที่แท้จริง
กู้ช่านอืมรับหนึ่งที
หลิวจื้อเม่าหยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งที่ราวกับทำมาจากวัสดุอย่างทองหรือหยก เพราะมันส่องประกายแสงแวววาว มีไอหมอกแผ่ปกคลุมขมุกขมัว ชื่อตำราเขียนด้วยตัวอักษรโบราณสีทองสี่คำว่า ‘คัมภีร์สกัดคงคา’
หลิวจื้อเม่ายื่นสองนิ้วออกมาประกบกัน แล้วผลักตำราเล่มนั้นไปให้กับเด็กหนุ่มชุดเขียวที่สุขุมเยือกเย็น แล้วผู้เฒ่าก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า วิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้พวกเจ้าเมื่อก่อน เป็นวิชารากฐานภายนอกของศาลบรรพจารย์เกาะชิงเสีย ถือว่าเป็นแค่วิชาสายรองเท่านั้น มีเพียงวิชาลับตระกูลเซียนเล่มนี้ที่ถึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาของอาจารย์ บอกตามตรง ปีนั้นอาจารย์ไม่กล้า แล้วก็ไม่ยินดีจะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่เจ้าจริงๆ แน่นอนว่าเป็นเพราะกลัวเจ้าจะร่วมมือกับหนีชิวน้อยมาสังหารอาจารย์
หลิวจื้อเม่าผลักตำราลับเล่มที่ตัวเองเก็บรักษาอย่างดีดุจชีวิตมาหลายร้อยปีเล่มนั้นออกไปแล้วก็ไม่เหลือบมองอีกแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้ไม่เหมือนวันวาน หากข้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ทุกเรื่องก็ล้วนพูดได้ง่าย แต่หากโชคร้ายกายดับมรรคาสลาย ระหว่างฟ้าดินไม่มีหลิวจื้อเม่าอยู่อีก ก็ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเจ้าคิดบัญชีตามหลัง
กู้ช่านไม่ได้หยิบตำราโบราณตระกูลเซียนที่มูลค่าแทบจะเท่ากับ ‘ห้าขอบเขตบน’ ครึ่งตัวเล่มนั้นมา เขาลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งคารวะหลิวจื้อเม่าอีกครั้ง
หลิวจื้อเม่านั่งตัวตรงอยู่ตรงตำแหน่งประธานของห้องเล็ก รับการคารวะนี้จากลูกศิษย์
การวางอุบายปัดแข้งปัดขาระหว่างพวกเขาอาจารย์และศิษย์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นับว่าไม่น้อยเลยจริงๆ
คืนนี้คนหนึ่งมอบตำรา คนหนึ่งคารวะ อันที่จริงนั้นเรียบง่ายมาก นี่เป็นเพียงแค่การถ่ายทอดมรรคกถาที่บริสุทธิ์ดั้งเดิมที่สุดบนเส้นทางการฝึกตนบนโลกใบนี้
หลังจากผ่านคืนนี้ไป บัญชีเก่าและการคิดคำนวณที่สมควรมีระหว่างอาจารย์และศิษย์คู่นี้ บางทีอาจจะยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนไม่น้อยเรื่องหนึ่ง
กู้ช่านเก็บตำราลับตระกูลเซียนเล่มนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว ศิษย์พี่หญิงเถียนและศิษย์พี่ชายที่เหลือของเจ้า แต่ละคนโง่เง่าไม่แพ้กัน
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า โชคและเคราะห์ที่หามาใส่ตัวเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้
หลิวจื้อเม่าขบคิดแล้วก็เอ่ยว่า ไปหยิบเหล้ามาสองกา อาจารย์อยากคุยเรื่องสัพเพเหระกับเจ้าต่ออีกสักหน่อย ต่างคนต่างดื่มเหล้ากัน ไม่ต้องเกรงใจ
เดิมทีประตูของห้องหลักก็ไม่ได้ปิดอยู่แล้ว แสงจันทร์จึงสาดทอเข้ามาในห้อง
กู้ช่านไปที่ห้องครัว วิ่งไปกลับอยู่สองรอบ หิ้วเอาเหล้าหมักจากบ้านเกิดที่ต่งสุ่ยจิ่งมอบให้มาสองกา กับถ้วยขาวสองใบ และยังมีกับแกล้มจานเล็กๆ อีกสองสามจาน
หลิวจื้อเม่ารินเหล้าหนึ่งถ้วย แล้วคีบเอาปลาแห้งตัวเล็กที่รสชาติกรุบกรอบของทะเลสาบซูเจี่ยนขึ้นมาหนึ่งตัว เขาเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดื่มเหล้าตามไปหนึ่งอึก
นี่ก็คือรสชาติของโลกมนุษย์
แม้จะบอกว่าเขามีความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขตอย่างมาก และเจียงซ่างเจินเองก็ย่อมช่วยคุ้มกันยามที่เขาฝ่าทะลุขอบเขตอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้สำนักเจินจิ้งมีผู้ถวายงานขอบเขตหยกดิบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
แต่บนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดที่แน่นอนเสมอไป
เพราะยังคงมีความเป็นไปได้ว่ารสชาติบ้านๆ ภายใต้แสงจันทร์มื้อนี้อาจเป็นอาหารมื้อดึกมื้อสุดท้ายบนโลกในชีวิตนี้ของเขาหลิวจื้อเม่าก็เป็นได้
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว ปีนั้นสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนที่พวกเจ้าจัดตั้งขึ้นมา คนที่ทุกคนรู้จักกันดี อันที่จริงก็มีแค่พวกเจ้าเก้าคนเท่านั้น คาดว่าจนถึงตอนนี้ก็คงมีแค่ไม่กี่คนที่เดาออกว่า คนสุดท้ายนั่นคือนักบัญชีที่อยู่ตรงหน้าประตูภูเขาเกาะชิงเสียของพวกเรา น่าเสียดายนัก เดิมทีในอนาคตควรมีโอกาสได้กลายเป็นเรื่องเล่าขานที่งดงามเรื่องหนึ่ง
หลิวจื้อเม่าเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนม้านั่ง หรี่ตาจิบเหล้าหนึ่งอึก คีบถั่วลิสงสองสามเม็ดมาโยนเข้าปาก แล้วยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาเริ่มนับ มารร้ายกู้ช่านแห่งเกาะชิงเสีย เถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลิน ศิษย์พี่สี่ฉินเจวี๋ย ศิษย์พี่หกเฉาเจ๋อ ฟ่านเยี่ยนนายน้อยแห่งนครน้ำบ่อ ลวี่ไช่ซางแห่งเกาะหวงหลี หยวนหยวนแห่งเกาะกู่หมิง หันจิ้งหลิงองค์ชายที่ตกระกำลำบาก หวงเฮ้อบุตรชายของแม่ทัพใหญ่
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว ศิษย์พี่หญิงเถียนของเจ้าไปที่เกาะกงหลิ่วมาสองรอบ ข้าล้วนไม่ได้ออกมาพบนาง ครั้งแรกนางเดินวนเวียนอยู่ริมขอบอาณาเขตหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แล้วก็ต้องกลับไปพร้อมความผิดหวัง ครั้งที่สองยิ่งนานก็ยิ่งกลัวตาย จึงคิดจะบุกเกาะกงหลิ่ว ใช้วิธียอมให้ชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งชั่วคราว เพื่อแลกเปลี่ยนมาด้วยชีวิตที่สมบูรณ์ในภายภาคหน้า น่าเสียดายที่อาจารย์ที่ใจดำอำมหิตอย่างข้ายังคงคร้านจะมองนาง ชีวิตครึ่งหนึ่งนั้นของนางถือว่าเสียไปเปล่าๆ เจ้าคิดจะจัดการกับนางอย่างไร? จะตีหรือจะฆ่า?
กู้ช่านยิ้มบางๆ เอ่ยว่า อาจารย์ทุ่มเทความคิดจิตใจด้วยความหวังดี จงใจให้ศิษย์พี่หญิงเถียนอับจนหนทาง รู้สึกสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เพราะหวังว่าข้ากู้ช่านและเกาะชิงเสียในอนาคตจะมีคนที่สามารถใช้งานได้ที่รู้ความและรู้กาลเทศะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
—-