วันนี้ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งข้างคลองส่งน้ำมีเรื่องสนุกอย่างการแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ให้ดู
บัณฑิตคนหนึ่งที่เดินทางไปกลับลำคลองส่งน้ำเส้นเดิมจนครบหนึ่งรอบแล้วได้พาเด็กหนุ่มข้ารับใช้ที่ชื่อว่าหลิ่วซัวไปนั่งอยู่บนกำแพงดินเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง มองดูการแสดงทางฝั่งนั้นที่เสียงตีกลองดังสะเทือนฟ้า ม้าไม้ไผ่ทำมาจากไม้ไผ่สาน ใช้ผ้าห้าสีรัดพันเอาไว้ แบ่งออกเป็นสองช่วงคือช่วงหน้าและหลัง เอามาผูกไว้ตรงเอวของคนที่ขี่ม้ากระโดด ตามประเพณีพื้นบ้าน ชุดขาวขี่ม้าแดง ชุดเขียวขี่ม้าเหลือง สตรีขี่ม้าเขียว บัณฑิตขี่ม้าขาว ผู้ฝึกยุทธขี่ม้าสีดำ ต่างก็มีความหมายที่แตกต่างกันออกไป
อันที่จริงมองไม่ออกแล้วว่าบัณฑิตผู้นี้มีตำแหน่งขุนนางติดกาย เพราะผิวของเขาถูกแดดเผาจนดำเมี่ยม บนร่างสวมชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ มีเพียงบนเท้าเท่านั้นที่สวมรองเท้าหนังเลียงผาแน่นหนาแข็งแรงแต่เก่า ไม่ใช่รองเท้าที่ครอบครัวชนบททั่วไปสามารถครอบครองได้
งานแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ไม่ได้ไปเยือนทุกหมู่บ้าน ต้องดูที่ว่าหมู่บ้านไหนออกเงิน ออกเงินมากหรือน้อย อีกทั้งม้าจะกระโดดโดยอิงตามราคาที่จ่ายด้วย
เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้ออกเงินค่อนข้างมาก ดังนั้นการแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ถึงได้ตระการตามากเป็นพิเศษ
บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงยังมีอันธพาลที่เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จากต่างหมู่บ้านซึ่งมาร่วมวงชมเรื่องสนุกอยู่อีกไม่น้อย
พวกเขาพากันชี้ไม้ชี้มือใส่เด็กสาวในหมู่บ้านที่ร่ำรวยแห่งนี้ คำพูดคำจาไร้ความยำเกรง บอกว่าวันหน้าคุณหนูของบ้านใดจะต้องหน้าอกใหญ่มาก บอกว่าเด็กสาวของครอบครัวไหนจะต้องให้กำเนิดบุตรชายได้ เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นๆ ลงๆ อยู่บริเวณโดยรอบหัวกำแพง แล้วก็ยังมีคนเถียงกันว่าสตรีของบ้านใดสวยที่สุดกันแน่ เปรียบเทียบกันว่าใครกันแน่ที่เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในรัศมีหลายสิบลี้นี้ ถึงอย่างไรต่างคนก็ต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง
บัณฑิตคนนั้นก็มองสตรีที่พวกเขาชี้ด้วย อีกทั้งยังไม่ปิดบังสายตามองประเมินของตนเองแม้แต่น้อย เด็กรับใช้ที่นั่งอยู่ข้างกายรู้สึกจนใจเล็กน้อย เหตุใดนายท่านถึงได้ทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้กันนะ
บัณฑิตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า คุณสมบัติดั้งเดิมของสตรี มีเพียงความขาวเท่านั้นที่ยากที่สุด อันที่จริงจะอ้วนหรือผอมก็ไม่สำคัญ
เด็กรับใช้กล่าวอย่างระอาใจ นายท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้นแหละ
บัณฑิตยิ้มกล่าว เจ้ายังเด็ก วันหน้าก็จะเข้าใจเอง ใบหน้าของสตรีไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด มีเพียงรูปร่างดีเท่านั้น ถึงจะยอดเยี่ยมที่สุด
เด็กรับใช้กลอกตามองบน นายท่าน ข้าจะต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม เพิ่งอ่านตำราได้แค่ไม่กี่เล่ม แล้วยังจะต้องไปสอบเอาตำแหน่งเป็นขุนนางเหมือนท่านอีกด้วย
บัณฑิตพยักหน้ารับ เมล็ดพันธุ์บัณฑิตอย่างเจ้า อนาคตต้องได้เป็นขุนนางแน่
เด็กรับใช้พลันตื่นเต้นดีใจ
คำพูดของนายท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ล้วนแม่นยำเสมอ!
ห่างพวกเขาไปไกล ใกล้กับจุดที่แสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ เสียงไชโยโห่ร้อง เสียงปรบมือดังต่อเนื่องไม่หยุด
บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงที่พวกเขานั่งอยู่ก็มีผู้ชมไม่น้อย แต่หลายคนกลับออกปากตินู่นตินี่ ไม่เห็นว่าสนุกสนาน เสียงพ่นลมออกจากจมูกอย่างดูแคลนดังมากกว่าเสียงปรบมือ
เด็กรับใช้ถามเสียงเบา นายท่าน ท่านมีความรู้ยิ่งใหญ่ รู้ต้นกำเนิดของการกระโดดม้าไม้ไผ่พวกนั้น ถ้าอย่างนั้นท่านลองบอกหน่อยสิว่า พวกเขากระโดดได้ไม่ดีจริงๆ หรือ? ข้ารู้สึกว่าก็ดีมากนี่นา
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา แน่นอนว่าต้องดี แต่พวกเราไม่ได้ออกเงิน แล้วทำไมต้องบอกว่าดีด้วย ของดีในใต้หล้านี้ มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องจ่ายเงิน?
เด็กรับใช้มึนงงไม่เข้าใจ นี่คือเหตุผลอะไร?
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไรอีก เขายื่นมือไปลูบหัวเด็กหนุ่ม ไม่ต้องไปคิดเรื่องพวกนี้ให้มากความ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันดีในการศึกษาเล่าเรียนของเจ้า
เด็กรับใช้พยักหน้ารับ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า เหตุใดช่วงนี้ท่านถึงเอาแต่ดูเอกสารคดีเรื่องภาษีของกรมการคลังในแต่ละยุคสมัยล่ะ?
จนถึงตอนนี้เด็กรับใช้ก็ยังไม่เข้าใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตำแหน่งขุนนางของนายท่านตนในเวลานี้จะไปพลิกเปิดอ่านได้ แต่นี่ยังถึงขั้นว่ามีคนแอบนำมาส่งให้ถึงโต๊ะหนังสือของเขาโดยเฉพาะ
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบาว่า ตำราประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจักรพรรดิในยุคหลังที่สั่งให้คนเขียนเรื่องราวของราชวงศ์ก่อน ความจริงบางอย่างย่อมขาดหายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่มีเพียงเรื่องที่เงินทองเข้าออกเท่านั้นที่ไม่หลอกลวงคนมากที่สุด ดังนั้นหากมีโอกาส ยามที่พวกเราอ่านตำราประวัติศาสตร์ก็ควรต้องอ่านประวัติของคนที่มีอำนาจควบคุมดูแลเรื่องการเงินในแต่ละยุคแต่ละสมัย รวมไปถึงประวัติการสร้างและการใช้เงินน้อยใหญ่ในเรื่องต่างๆ ของเขา ใช้คนหนึ่งคนเป็นจุดเริ่มต้น ใช้ผลกำไรขาดทุนของท้องพระคลังแคว้นเป็นเส้นที่ลากยาวออกไป แบบนี้ก็จะยิ่งมองเห็นผลได้ผลเสียของกลยุทธที่หนึ่งแคว้นเอามาใช้ได้ชัดเจนมากขึ้น
เด็กรับใช้เกาหัว
หลิ่วชิงเฟิงทอดสายตามองไปยังความอึกทึกครึกครื้นที่ห่างไปไกลแล้วยิ้มเอ่ยว่า เจ้าเองก็ไม่ต้องรีบร้อน วันหน้าขอแค่นึกอยากอ่าน ก็มาเอาที่ข้าไปได้
เด็กรับใช้เห็นว่าวันนี้นายท่านของตนยินดีที่จะพูดคุยก็อดดีใจไม่ได้
เพราะการตรวจสอบดูแลงานตั้งแต่ต้นถึงปลายคลองส่งน้ำทั้งสองรอบนั้นทำให้คนเหนื่อยตายได้จริงๆ อีกทั้งเวลานั้นนายท่านก็ไม่ค่อยชอบพูดสักเท่าไร เอาแต่มองภูเขาสายน้ำพวกนั้นที่ไม่มีความต่างกันแล้วจดบันทึกไปเงียบๆ
เด็กรับใช้ฉวยโอกาสที่วันนี้นายท่านยินดีที่จะพูดคุย จึงถามเพิ่มไปอีกว่า นายท่าน ทำไมเวลาที่ท่านไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งก็จะต้องชอบไปพูดคุยกับพวกอาจารย์ในโรงเรียนตามชนบทหรือไม่ก็ตามนครต่างๆ ล่ะ?
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ย เมล็ดพันธุ์บัณฑิตเกิดขึ้นได้อย่างไร? ตามหลังพ่อแม่ในครอบครัวก็คือครูบาอาจารย์แล้ว แล้วจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่บัณฑิตอย่างพวกเราควรให้ความใส่ใจได้อย่างไร? หรือว่าอยู่ดีๆ จะมีบัณฑิตที่ในท้องเต็มไปด้วยความรู้ อีกทั้งยังยินดีที่จะอบรมบ่มเพาะตัวเองหล่นลงมาจากฟ้าได้จริงๆ
เด็กรับใช้อืมรับหนึ่งที นายท่านยังคงพูดจามีเหตุผล
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ เรื่องนี้เจ้ากลับสามารถครุ่นคิดให้ดีๆ ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
เด็กรับใช้พยักหน้ารับ ตกลง!
ทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างกำยำและเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามา พอเห็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่หลิ่วชิงเฟิงกับเด็กรับใช้นั่งอยู่ คนผู้หนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนหัวกำแพง ไสหัวออกไป
เด็กหนุ่มผู้เป็นเด็กรับใช้มีสีหน้าขุ่นเคือง
คิดไม่ถึงว่านายท่านของตนจะลุกขึ้นยืนแล้ว แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรสักอย่าง เพียงแค่กระโดดลงจากหัวกำแพงเตี้ยๆ ไปเงียบๆ เด็กหนุ่มจึงได้แต่ทำตาม ไปชมการกระโดดม้าไม้ไผ่ที่อื่น เพียงแต่ว่าพอลองมองไปอีกครั้งกลับเห็นได้ไม่ชัดเจนเหมือนเก่าแล้ว
เด็กหนุ่มโมโหอย่างหนัก
หลิ่วชิงเฟิงที่ไปยืนตำแหน่งอื่นยืดคอยาว เขย่งปลายเท้า ดูการแสดงม้าไม้ไผ่ที่กระโดดอยู่บนลานตากธัญพืชของหมู่บ้านนี้ต่อไป
เด็กหนุ่มอัดอั้นอยู่ในใจ
นายท่านของตนไม่ว่าอะไรก็ดีหมด เพียงแต่นิสัยดีเกินไป ข้อนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
ไม่พูดเรื่องถูกผิดกับคนผิด ถึงท้ายที่สุดตนเองก็จะกลายเป็นคนผิดนั้นเอง
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว ไม่แก่งแย่งชื่อเสียงกับวิญญูชนจอมปลอม ไม่ช่วงชิงผลประโยชน์กับคนถ่อยที่แท้จริง ไม่ถกเถียงเหตุผลกับคนดื้อดึง ไม่แข่งขันความกล้าหาญกับคนหยาบกระด้าง ไม่ประชันความรู้กับชาวลัทธิขงจื๊อที่ยากจน ไม่เมตตาประทานบุญคุณแก่คนโง่
นี่ก็คือการไม่แก่งแย่งชิงดี
อันที่จริงยังมีความรู้ในเรื่องการแก่งแย่งแข่งขันอยู่อีกด้วย
แต่หลิ่วชิงเฟิงรู้สึกว่าเอาไว้พูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายช้าสักหน่อยจะดีกว่านี้
เด็กหนุ่มเป็นบัณฑิต ไม่ตั้งใจเล่าเรียนหนังสืออ่านตำรา เอาแต่คิดถึงเรื่องหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นว่าจะไม่ใช่เรื่องดี
ขอแค่ไม่ทำความผิดมหันต์ก็พอแล้ว
เด็กหนุ่มหลิ่วซัวปลุกความกล้าโต้เถียงนายท่านของตัวเองที่รอบรู้ทุกเรื่องเป็นครั้งแรก อะไรก็ไม่แก่งแย่งชิงดี ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เท่ากับว่าพวกเราไม่เหลืออะไรเลยหรอกหรือ? จะเสียเปรียบเกินไปหน่อยไหม ไหนเลยจะมีหลักการที่ว่ามีชีวิตอยู่แล้วยังต้องยอมให้คนอื่นทุกเรื่อง ข้ารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ดีเลย!
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ ลองคิดดูให้ดีๆ อีกครั้ง
หลิ่วซัวส่ายหน้า คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ
หลิ่วชิงเฟิงถอนสายตากลับมา หันหน้ามามองเด็กหนุ่ม แล้วเอ่ยสัพยอกว่า โง่ขนาดนี้จะมาเป็นเด็กรับใช้ของข้าได้อย่างไร?
หลิ่วซัวหัวเราะหึหึ
หลิ่วชิงเฟิงพลันเอ่ยว่า ไปกันเถอะ
หลิ่วซัวจึงเดินจากมาพร้อมกับนายท่านของตัวเอง
หลิ่วชิงเฟิงเดินเนิบช้า ครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างที่จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่
เดิมทีหลิ่วซัวยังมีคำถามอีก เพียงแต่ว่าเห็นท่าทางของนายท่านตอนนี้ก็รู้ว่าตนไม่อาจรบกวนนายท่านได้แล้ว
การกระทำของหลี่เป่าเจินในตอนนี้ หลิ่วชิงเฟิงมีแต่จะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ
ความทะเยอทะยานของหลี่เป่าเจิน หรือก็สามารถเรียกได้ว่าปณิธาน อันที่จริงไม่ถือว่าเล็กเลย
หนึ่งในหัวหน้าใหญ่ไม่กี่คนของสายลับศาลาคลื่นมรกตทางทิศใต้ของต้าหลีท่านนี้กำลังทำการทดสอบอย่างหนึ่ง เริ่มวางแผนอย่างละเอียดโดยเริ่มจากอันดับล่างสุด เมล็ดพันธุ์บัณฑิต จอมยุทธในยุทธภพ ผู้นำวงการนักประพันธ์ ขุนนางในราชสำนัก หลังจากที่เขาหลี่เป่าเจินเข้ามาในแคว้นชิงหลวน ทุกคนก็เริ่มกลายมาเป็นหมากที่เขาควบคุมอยู่ในมือแล้ว ตอนนี้แทบทุกคนล้วนเป็นเหมือนเด็กน้อยไม่รู้ความ ยกตัวอย่างเช่นเด็กอัจฉริยะที่ได้รับตำแหน่ง ‘ต้าโจวอ๋อง’ ผู้นั้น
ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก ความหมายของแผนการร้ายมีเต็มเปี่ยม เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายมืดทะมึนน่าสะพรึงกลัว ปราณสังหารแผ่อบอวล แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนี้ทั้งหมด
ก็เหมือนว่าหลี่เป่าเจินกำลังสร้างบ้านหลังหนึ่ง เป้าหมายแรกของเขาไม่ใช่ว่าได้เป็นฮ่องเต้ที่อยู่เบื้องหลังแคว้นชิงหลวนอะไร แต่เป็นว่าวันใดวันหนึ่ง ราชวงศ์ในโลกมนุษย์จะสามารถเป็นผู้ควบคุมแม้กระทั่งโชคชะตาของตระกูลเซียนบนภูเขา เหตุผลนั้นง่ายมาก แม้แต่ตัวอ่อนผู้ฝึกตนก็ยังเป็นข้าหลี่เป่าเจินกับราชสำนักต้าหลีที่ส่งขึ้นไปบนภูเขา เป็นอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า ตัวอ่อนผู้ฝึกตนกลายเป็นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาหรือไม่ก็เสาค้ำยันสำนักบนภูเขา นานวันเข้า เมื่อมาลองพูดเรื่องกฎเกณฑ์ของด้านล่างภูเขาอีกครั้งก็พูดคุยกันเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ระหว่างนี้ก็มีเหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่ของแคว้นชิงหลวนท่านนั้นคอยมองดูอยู่ห่างๆ บางครั้งยังตั้งกฎที่แม้แต่ตัวหลี่เป่าเจินเองก็ยังต้องเคารพอีกหลายข้อ
สำหรับแผนการของหลี่เป่าเจิน นับตั้งแต่จุดประสงค์ไปจนถึงวิธีการ หลิ่วชิงเฟิงก็ล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากไม่เป็นเขาหลิ่วชิงเฟิงที่เล่นเหลือไว้ ก็เป็นเขาหลิ่วชิงเฟิงที่จงใจทิ้งไว้ให้หลี่เป่าเจิน
ยกตัวอย่างเช่นนับตั้งแต่ปีนี้มาก็มีผู้มีชื่อเสียงในวงการนักประพันธ์แคว้นชิงหลวนอีกหลายคนที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่แพร่สะพัด
จะทำอย่างไร? ยังคงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่หลิ่วชิงเฟิงสอนหลี่เป่าเจินในปีนั้น อันดับแรกก็ยกยอสรรเสริญก่อน บอกว่าบทกวีบทประพันธ์ของคนเหล่านั้นสามารถทัดเทียมกับอริยะได้ คุยโวว่านิสัยใจคอของคนเหล่านั้นมีคุณธรรมสูงส่งจนเหมือนอริยะที่อยู่บนแท่นบูชาเทพเจ้า
จากนั้นก็มีคนออกมาพูดประโยคที่เป็นกลางสักสองสามคำ แล้วก็เริ่มก่อหวอดกันเงียบๆ ต่อไป เริ่มชักนำไปสู่การถกเถียงในวงการนักประพันธ์ หลอกล่อให้พวกคนที่เป็นกลางรู้สึกรังเกียจคนเหล่านั้นที่อันที่จริงแล้วแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังแปลกใจว่าเป็นอริยะผู้มีคุณธรรมได้อย่างไร
สุดท้ายก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ พวกเจ้าเป็นอริยะคุณธรรมสูงส่งไร้ตำหนิไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เอาถ้อยคำเหลวไหลที่แต่งขึ้นมาส่งเดช เอาความผิดด้านพฤติกรรมส่วนตัวมาโจมตีคนเหล่านั้น เวลานี้ก็ถึงช่วงที่ยุทธภพและหมู่ชาวบ้านต้องออกแรงแล้ว นักเล่านิทานที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ เถ้าแก่ร้านหนังสือส่วนบุคคลก็จะเริ่มผลัดกันลงสนามรบ แน่นอนว่ายังมีคนในวงการประพันธ์ที่ตัวหลี่เป่าเจินเองรวบรวมมาไว้เพื่อ ‘ใช้งาน’ ที่รู้สึกเจ็บปวดปานจะขาดใจจนต้องออกมาพูดจาทวงความเป็นธรรม ถึงท้ายที่สุด ชื่อเสียงแต่ละคนก็จะพังพินาศ พวกชาวบ้านที่ช่วยผลักดันลูกคลื่นอย่างที่มองไม่เห็นจะสนใจความจริงหรือ? อาจจะมีคนที่สนใจ แต่ก็คงไม่มากนัก คนส่วนใหญ่ก็แค่มาร่วมวงดูเรื่องสนุกไม่ใช่หรือ? ก็เหมือนที่วันนี้หลิ่วชิงเฟิงเองก็มามองดูการแสดงกระโดดม้าไม้ไผ่ที่ครึกครื้นนั้นอยู่ไกลๆ ไม่ใช่หรือไร?
เหตุใดต้องวาดหวังให้ฝูงชนที่เดิมทีก็แค่อยากเห็นเรื่องสนุกไปขบคิดให้มากความด้วย?
หลิ่วชิงเฟิงไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่
แล้วนับประสาอะไรกับที่ใต้หล้านี้ไม่เคยมีเรื่องครึกครื้นใดที่ไม่มีวันเลิกรา
หลังจากเสียงอึกทึกจอแจผ่านไปแล้ว ก็คือความเงียบสงัด
เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
หลิ่วชิงเฟิงหัวเราะ พูดพึมพำกับตัวเองว่า ข้าเป็นตัวเปิดที่ดีเลยนี่นะ
และตัวหลี่เป่าเจินเองก็ฉลาดอย่างมาก ง่ายที่จะสรุปจากเรื่องหนึ่งแล้วอนุมานไปเรื่องอื่นๆ ได้
หลิ่วชิงเฟิงพลันหยุดเดิน แล้วหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายว่า หลิ่วซัว จำไว้ว่าหากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่มาเกลี้ยกล่อมให้เจ้าทำร้ายข้า ไม่ว่าจะต้องทำหน้าที่เป็นหมากที่ถูกอำพรางบนเส้นสายที่ยาวมากเส้นหนึ่ง หรือเป็นการลอบฆ่าที่ค่อนข้างฉุกละหุก เจ้าก็แค่พยักหน้าตอบตกลงไป ไม่เพียงแต่ต้องตอบตกลงกับอีกฝ่าย เจ้ายังต้องใช้ทุกวิธีการที่มี ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ไม่ต้องมีความลังเลหรือออมมือใดๆ
เด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาว
ในหัวสมองว่างเปล่า
ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดนายท่านถึงต้องพูดจาชวนให้คนตกใจเช่นนี้ด้วย
หลิ่วชิงเฟิงพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ เพราะเจ้าไม่มีทางทำได้สำเร็จแน่นอน ข้าเก็บเจ้าไว้ข้างกาย อันที่จริงก็เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายเจ้าหนึ่งครั้ง ดังนั้นข้าจะต้องช่วยเจ้าหนึ่งครั้ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าต้องตายไปเปล่าๆ เพียงเพราะคำว่าคุณธรรม ในระหว่างนี้ เจ้าสามารถเรียนรู้จากข้าไปได้กี่มากน้อย สะสมเครือข่ายผู้คนได้มากเท่าไร สุดท้ายจะป่ายปีนไปถึงตำแหน่งไหน ล้วนเป็นความสามารถของตัวเจ้าเอง ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดทั้งๆ ที่รู้ดี แต่กลับยังคงเก็บเจ้าไว้ข้างกาย ก็เพราะว่าข้าค่อนข้างอยากรู้ว่า เจ้าจะกลายเป็นหลี่เป่าเจินคนที่สองได้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องฉลาดกว่าเขา ฉลาดจนถึงขั้นที่ว่าสุดท้ายสามารถสร้างประโยชน์ให้กับวิถีทางโลกได้อย่างแท้จริง ได้หรือไม่
น้ำตานองเต็มใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาถูกนายท่านที่ให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยผู้นี้ทำให้ตกใจแล้ว
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา จำได้หรือยัง?
เด็กหนุ่มปาดน้ำตา พยักหน้ารับ
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ ดีมาก ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้ไป เจ้าก็ต้องทดลองลืมเรื่องพวกนี้ไปซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็หลอกหลี่เป่าเจินไม่ได้หรอก
ครู่หนึ่งต่อมา หลิ่วชิงเฟิงก็มีท่าทางตกตะลึงอย่างที่หาได้ยาก
เพราะมีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาตน ทว่าองค์รักษ์ที่ต้าหลีส่งมาให้คุ้มครองตนคนนั้นกลับไม่คิดจะปรากฎกาย
ในมือของเด็กหนุ่มคนนั้นถือว่าวกระดาษมาหนึ่งชิ้น เขาคลี่ยิ้มกว้างสดใส หลิ่วชิงเฟิง ข้าถือจอบด้ามเล็กมาขุดกำแพงบ้านเจ้าแล้ว เจ้าอยู่กับเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นั้นก็ไม่เคยได้ดิบได้ดีอะไร วันหน้าก็มาอยู่กับข้าชุยตงซานเถอะ อีกอย่าง อะไรที่เป็นของข้าก็ต้องเป็นของข้า อะไรที่เป็นของเขาก็ยังคงเป็นของข้า จะต้องเกรงใจเขาไปทำไม ทั่วทั้งแถบทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป เป็นข้าที่ใหญ่ที่สุด เจ้าตะพาบเฒ่านั่นคิดจะควบคุมข้าก็ทำไม่ได้
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว ข้อนี้ค่อนข้างยากสักหน่อย
การปิดบังตัวตนของอีกฝ่าย หลิ่วชิงเฟิงที่ทกุวันนี้สามารถเปิดอ่านรายงานลับขององค์กรทั้งหมดของศาลาคลื่นมรกตจึงพอจะเดาได้คร่าวๆ ต่อให้จะเป็นเพียงตัวตนที่แสดงออกภายนอก แต่อันที่จริงก็มากพอให้อีกฝ่ายเอ่ยประโยคที่ไร้ความเคารพยำเกรงพวกนี้ได้แล้ว
ชุยตงซานโยนว่าวในมือให้หลิ่วชิงเฟิง หลิ่วชิงเฟิงคว้าเอาไว้แล้วก้มหน้าลงมอง ไม่มีสายป่าน เขาจึงหัวเราะ
หลิ่วชิงเฟิงเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าเอ่ยว่า เจ้าควรจะรู้ว่าปณิธานของข้าหลิ่วชิงเฟิงไม่ได้อยู่ที่นี่ ในเรื่องของการรักษาตัวรอด เรื่องของอิสระเสรี ไม่เคยเป็นสิ่งที่บัณฑิตอย่างพวกเราแสวงหา
ชุยตงซานก้าวยาวๆ มาด้านหน้า เอียงศีรษะ ยื่นมือออกมา ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คืนข้ามา
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มกล่าว แน่นอนว่ามีคนเอามามอบให้ข้าเปล่าๆ ย่อมดีกว่า ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเก็บเอาไว้ไม่คืนให้แล้ว
ชุยตงซานจุ๊ปากพูด หลิ่วชิงเฟิง หากเจ้ายังทำตัวถูกใจข้าแบบนี้ต่อไป ข้าคงต้องช่วยอาจารย์ของข้ารับศิษย์แทนเขาแล้ว!
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านชุยคือเทพเซียนจากฝ่ายใด ?
ชุยตงซายืนอยู่ที่เดิม เท้าสองข้างไม่เคลื่อนไหว ยักไหล่ซ้ายทีขวาที ท่าทางซุกซนอย่างยิ่ง ยิ้มแต้เอ่ยว่า เจ้าเคยเจอเขามาตั้งนานแล้ว
หลิ่วชิงเฟิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า เดาไม่ออก
ชุยตงซานหัวเราะร่าเสียงดัง เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าก็จะไม่อมพะนำกับเจ้าแล้ว อาจารย์ของข้าก็คือคนที่ปีนั้นทำให้รถเทียมวัวของเจ้าตกลงไปในน้ำ
ชุยตงซานเองก็อึ้งตะลึงไปเหมือนกัน ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาเขาก็พุ่งตัวมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิ่วชิงเฟิง กระโดดเบาๆ แล้วฝ่ามือหนักๆ ข้างหนึ่งก็ตบป้าบลงบนหัวหลิ่วชิงเฟิง ทำเอาหลิ่วชิงเฟิงร่างเซวูบเกือบจะสะดุดล้ม แล้วก็ได้ยินคนผู้นั้นด่าอย่างเดือดดาลว่า เจ้าลูกกระต่ายระยำ บังอาจเรียกชื่อของอาจารย์ข้าออกมาตรงๆ เลยรึ?!
—-