ด้านหลังภูเขามีพืชพรรณแปลกตาขึ้นอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีนกหรือแมลงให้เห็น
อีกทั้งเฉินผิงอันยังค้นพบเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้ามาใน จวนตระกูลเซียน ได้เห็นกระเรียนเซียนบินล้อมวนรอบภูเขา ทว่ารอจนคนทั้งสี่เดิน ขึ้นเขามาแล้ว นกกระเรียนเซียนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าเฉินผิงอัน จะแหงนหน้ามองจากตีนเขา หรือก้มหน้าลงมองขุนเขาสายน้ำจากบนยอดเขา หรือภายหลังที่ติดตามหวงซือกับนักพรตซุนหาสมบัติจนมาถึงด้านหลังภูเขาแห่งนี้ เฉินผิงอันก็ไม่ได้เห็นเงาร่างของนกกระเรียนเซียนอีกเลย
หากสถานที่แห่งนี้มียอดฝีมือนอกโลกเฝ้าพิทักษ์จริงๆ อีกทั้งตั้งสมมติฐานถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดว่า เจ้าของที่แห่งนี้มีใจคิดร้ายต่อทุกคนที่มาเยือน
ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ต้องเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนเล่นงานใจคน
คนธรรมดา นายพรานคนตัดฟืน บางทีหากได้เข้ามาในภูเขาลูกนี้ แค่มองเห็น นกกระเรียนเซียนก็คงไม่คิดอะไรมาก แต่คงจะตกตะลึงไปกับสะพานโค้งหยกขาว กรอบป้ายหอเรือนต่างๆ ที่พบเจอในภายหลังมากกว่า จะมองว่ามันคือดินแดนเซียนในโลกมนุษย์ บวกกับที่ได้เห็นโครงกระดูกขาวในแต่ละพื้นที่ แน่นอนว่าต้องมองที่ แห่งนี้เป็นสถานที่ไร้เจ้าของ
ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนแล้ว สิ่งที่ตาเห็นโดยบังเอิญเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเห็นครั้งแรก จะส่งอิทธิพลต่อสภาพจิตใจได้มากกว่า อีกทั้งยังเป็นไปอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นหลังจากนั้น ขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำก็ล้วนต้องเอากลับมาทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เห็นภูเขาเขียวน้ำใสและนกกระเรียนเซียนสีขาวหิมะ เขาเองก็ไม่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ความคิดแรกที่เกิดขึ้นก็คือช่างเป็นจวน ตระกูลเซียนที่ดี เป็นภูเขาที่มีชีวิตชีวาและสายน้ำที่งดงามยิ่งนัก
สิ่งที่พบเห็นต่อมาหลังจากนั้นก็หนีไม่พ้นว่าต้องเพิ่มคำว่าซากปรักเข้าไปในคำว่าจวนตระกูลเซียนก็เท่านั้น
ตระกูลเซียนยังคงเป็นตระกูลเซียน โชควาสนาก็แน่นอนว่ายังต้องเป็นโชควาสนา
เส้นสายมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ซับซ้อนอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าทุกพื้นที่ล้วนมีแต่ความลี้ลับ พอพบเห็นมากเข้าก็ทำให้คนรู้สึกว่ามันคือเชือกที่พันกันยุ่งเหยิงก้อนหนึ่ง แล้วก็คร้านจะคิดให้มากความอีก
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ทว่าการที่ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นร่วงลงมากะทันหันแล้วทะยานกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง หากนกกระเรียนเซียนที่เห็น ก่อนหน้านี้เป็นเวทอำพรางตาที่ถูกจัดวางไว้อย่างตั้งใจล่ะ บวกกับที่กระพรวนตรงเอวของนักพรตซุนระเบิดแตกอย่างไม่ทราบสาเหตุ นี่ก็พอจะกระชากเส้นเส้นหนึ่งออกมาได้แล้ว หรือไม่ก็ควรพูดว่านี่ก็คือความเป็นไปได้ที่แย่ที่สุดอย่างหนึ่ง
จิตใจที่ละเอียดรอบคอบซึ่งต้องมองปลายสองด้านที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดของเส้นสายก่อนนี้ ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้เฉินผิงอันสามารถมีชีวิตเดินออกมาจาก หุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูกภายใต้เปลือกตาของเกาเฉิงแห่งนครจิงกวานได้
เรื่องราวทางโลกซับซ้อน เห็นกับไม่เห็น คิดกับไม่คิด ก็คือความรู้อย่างหนึ่ง คือการทุ่มเททางด้านจิตใจอย่างหนึ่ง
แน่นอนว่าก็มีบางคนที่จับผลัดจับผลู บ้างก็ตายไปอย่างมึนงงไม่เข้าใจ บ้างก็ได้โชควาสนามาอย่างสับสน
คนทั้งสามท่องไปด้านหลังภูเขาต่ออีกครั้ง เมื่อเทียบกับการต่อสู้เอาเป็นเอาตายของด้านหน้าภูเขาแล้ว อย่างน้อยที่สุดเมื่อมองไป พวกเขาก็ถือว่าสบายกว่าเยอะมาก
ส่วนตี๋หยวนเฟิงผู้นั้นจะเป็นหรือตาย เฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ ยิ่งไม่ใช่บรรพบุรุษ หากเขาเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม บางทีเฉินผิงอันอาจจะสนอยู่บ้าง อาจจะพอทำการค้าที่ยุติธรรมกับเขาได้
ข้างทางของถนนเส้นนี้มีต้นไผ่เขียวอยู่ต้นหนึ่งที่ค่อนข้างจะสะดุดตา เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของคนทั้งสาม ดูแล้วโดดเดี่ยวเดียวดาย เงาต้นไผ่พลิ้วไหวเป็นระลอก
ลำต้นของต้นไผ่หนาเท่าปากถ้วย ใบไผ่เขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำให้หยดลงมา ได้ อีกทั้งนี่ยังไม่ได้เป็นแค่คำพรรณนาอะไร แต่เขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำจริงๆ เพราะปลายใบไผ่ที่แหลมเรียวจำนวนมากมีหยดน้ำมารวมตัวกัน ยามที่ลมพัดผ่าน ก็ส่ายไหวจะหยดมิหยดแหล่ ในขณะที่คนทั้งสามเพ่งสายตามองไปนั้นก็มีหยดน้ำ สีเขียวมรกต หยดหนึ่งหล่นลงบนพื้นดิน เพียงชั่วพริบตาก็สลายหายไป เฉินผิงอัน เพ่งสายตามองตามก็เห็นว่าถึงแม้จะไม่ใช่แก่นโชคชะตาน้ำที่ถูกฟูมฟักขึ้นมาอย่างในกระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียวของอารามเต๋า แต่กลับเป็นการรวมตัวกันของ ปราณวิญญาณในระดับขั้นที่เกินจริงไปมาก
ตอนที่นักพรตซุนเดินผ่านได้ใช้นิ้วเคาะเบาๆ เอาหูแนบฟัง แล้วก็ร้องเอ๊ะออกมาหนึ่งที ไม่ธรรมดา
ในขณะที่คนทั้งสองจับจ้องไผ่เขียวต้นนี้ เฉินผิงอันได้หมุนตัวหันหลังให้พวกเขา ปลดห่อสัมภาระลงมา แล้วเรียกเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ เอามาถือไว้ในมือ จากนั้นก็สะพายห่อสัมภาระกลับไว้ที่เดิมอีกครั้ง แล้วจึงยิ้มเอ่ยว่า รบกวนนักพรตซุนช่วยเขย่าต้นไผ่ให้หน่อย ข้าจะได้รับหยดน้ำที่อยู่บนปลายใบไผ่พวกนี้ไว้ได้
ถึงอย่างไรนักพรตซุนก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่แท้จริง จึงพอจะมองตื้นลึกของต้นไผ่นี้ออกอยู่บ้าง เขาส่ายหน้ายิ้มกล่าว สหายเฉิน แนะนำเจ้าว่า อย่าทำอย่างนั้นให้เหนื่อยเปล่าเลย หยดน้ำใบไผ่ที่ฟูมฟักออกมาจากปราณวิญญาณพวกนี้ หากเป็นภาชนะทั่วไปย่อมไม่อาจรองรับปราณวิญญาณที่เข้มข้นนี้ไว้ได้ อย่าว่าแต่เอากาเหล้ามาบรรจุน้ำเลย ต่อให้เจ้าเด็ดทั้งใบไผ่ทั้งหยดน้ำลงมาพร้อมกัน แล้วเก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง ขอแค่ออกห่างจากต้นไผ่ประหลาดนี้ก็ยังรั้งไว้ไม่ได้ อยู่ดี
แม้ปากของนักพรตร่างผอมสูงจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ถ่วงเวลาการปลดห่อสัมภาระที่เป็นชุดคลุมอาคมของเขาลงมา จากนั้นก็หยิบขวดกระเบื้องเขียวใบเล็กที่วาด เป็นภาพคนที่ปลีกวิเวกมาอยู่ท่ามกลางป่าเขาใบหนึ่งออกมา
หวงซือรำคาญความอืดอาดของคนทั้งสองจึงยกเท้าถีบลงไปบนต้นไผ่ ทันใดนั้นหยดน้ำก็ร่วงกราวลงมาราวกับฝนเม็ดเล็กพร่างพรม นักพรตซุนหัวเราะร่าชอบใจ ร่างพลันขยับไหว ใต้ฝ่าเท้ามีพายุลมกรด ใช้ขวดกระเบื้องสีเหมยเขียวไปบรรจุหยดน้ำ
เฉินผิงอันเองก็ทำเหมือนกัน เขาไม่ยินดีปล่อยให้น้ำหยดใดร่วงหล่นลงพื้นแล้วสลายหายไป ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่แย่งชิงจากนักพรตซุน เขาก็เก็บหยดน้ำที่กำลัง จะหล่นลงพื้นไว้ได้เป็นจำนวนมาก ด้วยการใช้ ‘วิชาน้ำ’ บทหนึ่ง รวบรวมหยดน้ำ ให้เป็นเส้นแล้วค่อยๆ เก็บใส่ไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
หวงซือชำเลืองตามองวิธีการที่ผู้เฒ่าชุดดำใช้ เขามองไม่ออกถึงพิรุธที่ควรค่าแก่การสงสัยใดๆ จึงไม่คิดจะสนใจอีก
ในเมื่อเฉินผิงอันเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาแล้วก็ไม่คิดจะเก็บกลับไปอีก เขาห้อยมันไว้ตรงเอว หยดน้ำที่เกิดจากการรวมตัวของปราณวิญญาณฟ้าดินพวกนี้ มีปริมาณเท่าสุราทั่วไปแค่เจ็ดแปดตำลึงเท่านั้น ทว่ากลับหนักอึ้งเหมือนมีน้ำหนักหลายสิบจิน
คนทั้งสามออกเดินทางกันต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันหันกลับไปมองไผ่เขียวแวบหนึ่ง
หรือว่าจะเหมือนป่าไผ่ที่เว่ยป้อตั้งใจปลูกไว้บนภูเขาฉีตุน หากสืบย้อนกลับไปถึงบรรพบุรุษจริงๆ ก็เท่ากับว่ามาจากภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่?
ไม่อย่างนั้นตามบันทึกเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวในปีนั้น ต้นไผ่ตระกูลเซียนของใต้หล้าไพศาลมีหลายสิบชนิด ทว่าในเรื่องของการรวบรวมโชคชะตาน้ำ ดูเหมือนว่าจะไม่มีต้นไผ่ชนิดไหนที่มีวิชาอภินิหารได้เท่าต้นไผ่ต้นนี้
น่าเสียดายก็แต่มันไม่ต่างจากโต๊ะหินกระดานหมากล้อมที่ยกไปไม่ได้ แบกไปไม่ไหว
นักพรตซุนยังรู้สึกไม่สาแก่ใจมากพอ เขายื่นมือออกไปคว้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ต้นไผ่ที่มีวิชาอภินิหาร ช่วยเสริมวิชาตัวเบาและลมปราณ ในอดีตที่ข้าผู้เป็นนักพรตฝึกตนเคยอ่านตำรามามากมาย แล้วก็เคยอ่านเจอจากตำราเล่มหนึ่ง บอกว่าเอาใบไผ่มาต้มชาจะสามารถดับกระหายทำให้จิตใจปลอดโปร่งได้ดีที่สุด ช่วงฤดูร้อนที่ อากาศร้อนจัด ขอแค่ใช้ใบไผ่หนึ่งหยิบมือ บวกกับเมล็ดบัวบนภูเขาหลายๆ เมล็ด ดื่มต่างชาสองสามถ้วยก็สามารถทำให้คนล่องลอยได้ดุจเทพเซียน
เฉินผิงอันชำเลืองตามองนักพรตซุนแวบหนึ่ง แล้วก็มองต้นไผ่เขียวเรียวยาว ที่อยู่นิ่งไม่ขยับ ไม่ให้หน้านักพรตซุนแม้แต่น้อย
ในเมื่อเป็นขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นคำพูดประจบสอพลอบางอย่าง เขาก็พูด ไม่ออกจริงๆ
นักพรตซุนดึงมือกลับมา พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ช่างเถิด ทิ้งโชควาสนานี้ ไว้ให้คนที่มาถึงภายหลังก็แล้วกัน
หวงซือพูดซ้ำเติมว่า ใบไผ่พวกนี้ หากถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่ฝึกวิชาน้ำนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นสมบัติล้ำค่า มีสมบัติ อยู่ตรงหน้าแต่ไม่คว้าไว้ ระวังสวรรค์จะลงทัณฑ์ นักพรตซุนจะไม่เก็บเอามาสัก หลายๆ หยิบมือจริงๆ หรือ? ต่อให้ไม่ได้เอาไปต้มชา แต่เอาไปมอบให้เด็กรุ่นหลัง ที่เรือนเทพสายฟ้าก็ถือว่าเป็นของขวัญไม่ธรรมดาแก่คนในสำนักแล้ว
นักพรตซุนพูดด้วยสีหน้าสบายๆ ในเรื่องของการฝึกตน เมื่อเกี่ยวพันกับรากฐาน จะมอบโชควาสนาให้ส่งเดชได้อย่างไร ข้าไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของเด็กรุ่นหลังเหล่านั้นเสียหน่อย ของขวัญหนักเกินไป กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี ช่างเถิดๆ
เฉินผิงอันเอ่ยชมเสียงเบา คำพูดของนักพรตซุนซุกซ่อนคำเตือนที่สำคัญ ชวนให้คนนำมาทบทวนอย่างลึกซึ้ง
นักพรตซุนนำขวดกระเบื้องสีเขียวใบเล็กเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ลูบหนวดยิ้มพลางก้าวเดินช้าๆ มองดูแล้วลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง
หวงซือเริ่มทนนักพรตที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระของแคว้นอู่หลิงผู้นี้ไม่ไหวแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ พอรู้ว่านักพรตซุนคือลูกศิษย์ของจิ้งหมิงเจินเหรินแห่งเรือนเทพสายฟ้า เขาก็คอยแสดงความกระตือรือร้นอยู่ข้างกายนักพรตซุนไม่หยุด
หวงซือพลันใช้วิชาของขอบเขตร่างทอง บวกกับพละกำลังหมัดของขอบเขตห้า ซึ่งถือว่าออมมือให้แล้วมาประเมินสภาพร่างกายของผู้ฝึกตนคนนี้ เขาปล่อยหมัดใส่ ผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ข้างกายอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ร่างของฝ่ายหลัง ก็ปลิวหวือออกไปกลิ้งหลุนๆ อยู่ข้างทาง หลังจากดิ้นรนลุกขึ้นนั่งได้แล้วก็คล้ายถูกตีจนมึนงง นั่งบื้ออยู่กับพื้น แล้วจู่ๆ ลำคอก็พลันขยับ หันหน้าไปถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะคืนสติ ถึงได้ลุกขึ้นมา เอาสองมือซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ เห็นได้ชัดว่าคีบยันต์ไว้ที่ปลายนิ้ว ริ้วลมปราณถึงได้ล้อมวนอยู่ที่ปลายแขนเสื้อ แล้วจึงสบถด่าดังลั่น เจ้าคนแซ่หวง เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?!
หวงซือแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่าย เป็นเศษสวะคนหนึ่งจริงๆ
นักพรตซุนก็ยิ่งตกใจจนรีบดีดตัวออกห่างไปไกลหลายจั้ง ในมือข้างหนึ่งของเขา ก็คีบยันต์โจมตีที่เพิ่งซื้อมาจากสหายเฉินไว้แผ่นหนึ่งเช่นกัน
คนสามคนคุมเชิงกันอยู่ในรูปสามเหลี่ยม
หวงซือไม่แม้แต่จะชายตามองผู้เฒ่าชุดดำ เพียงแค่หันหน้ามายิ้มให้นักพรตซุน นักพรตซุน จิตใจคนชั่วร้าย ไม่ระวังไม่ได้เด็ดขาด จะดีจะชั่วพวกเรากับคุณชายฉิน ก็เป็นพันธมิตรที่รู้ไส้รู้พุงกันดี มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้นที่เพิ่งมาพบเจอกลางทาง หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระตัวร้ายที่แสดงละครเก่ง พวกเราจะไม่หลงกลเขาหรอกหรือ ถึงท้ายที่สุดโชควาสนาทั้งหมดที่ได้มา รวมกับชีวิตอีกหนึ่งชีวิต กลายเป็นว่าตัดชุดแต่งงานให้ คนอื่น ข้าว่านักพรตซุนเองก็คงไม่ยินดีกระมัง?
นักพรตซุนใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจพูดกับเฉินผิงอัน สหายเฉิน เอาอย่างไรดี จะเปิดฉากสังหารกันเลยไหม? หวงซือผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร หากต้องฉีกหน้าแตกหักกันขึ้นมาจริงๆ พวกเราสองพี่น้องก็ถือเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ไม่ว่าใคร ก็อย่ามัวออมฝีมืออีกเลย
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว แน่นอนว่านักพรตซุนต้องเชื่อใจผู้เฒ่าชุดดำมากกว่า ตลอดทางที่อยู่ร่วมกันมานี้ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีคนเลวมากแค่ไหน แต่ที่มากกว่านั้นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าสหายเฉินผู้นี้ตบะอ่อนด้อย ไม่เป็นภัยคุกคามมากนัก แน่นอนว่าหากคำพูดและการกระทำของผู้เฒ่าชุดดำแสดงให้เห็นถึง ความหน้าเลือดอวดฉลาด เป็นพวกที่ชอบขับเรือตามกระแสลม นักพรตซุนก็ไม่ยินดีจะร่วมมือกับคนผู้นี้อย่างจริงใจ แต่เขาจะเดิมพันด้วยชีวิต ด้วยการคุมเชิงกับอีกฝ่ายพร้อมหวงซือ
ในใจพูดกับเฉินผิงอันเช่นนี้ แต่ปากของนักพรตซุนกลับเอ่ยถ้อยคำที่เลอะเลือนว่า สหายเฉิน การกระทำนี้ของน้องหวงออกจะเกินไปหน่อย แต่สถานการณ์ในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปยากจะคาดเดา หากพวกเราแตกคอกันเอง นั่นต่างหากจึงจะเป็น การตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นอย่างแท้จริง ไม่สู้พวกเจ้าเห็นแก่หน้าข้าผู้เป็นนักพรต สหายเฉินทำใจให้สงบ แล้วข้าผู้เป็นนักพรตจะให้น้องหวงขอโทษเจ้า แล้วก็ถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นอย่างไร?
เฉินผิงอันพูดอย่างขุ่นเคือง ไม่เป็นอย่างไร! อยู่ดีๆ ต้องมาโดนหมัด เจอกับหายนะที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ พลังต้นกำเนิดของข้าเสียหายอย่างใหญ่หลวง หากขอโทษ ก็จบเรื่อง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ให้หวงซือกินยันต์สายฟ้าข้าหนึ่งแผ่น แล้วถึงจะถือว่า หายกัน!
หวงซือกระตุกมุมปาก เปิดมุมหนึ่งของห่อสัมภาระ หยิบวัตถุชิ้นหนึ่งออกมา โยนให้ผู้เฒ่าชุดดำเบาๆ แล้วยิ้มเอ่ยว่า แค่คำขอโทษไม่พอ ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มของขวัญขออภัยไปด้วยหนึ่งชิ้น
เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าชุดดำตาเป็นประกาย ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังแอบเอามือ ข้างหนึ่งคีบยันต์ไว้ในชายแขนเสื้อ ส่วนมืออีกข้างยื่นออกมา พยายามจะยื่นมือไปรับกระจกทองแดงโบราณบานนั้นเอาไว้
นักพรตซุนพลันหน้าเปลี่ยนสี รีบใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน อย่ารับนะ!
เพียงแต่ว่าสายไปแล้ว
หวงซือก้าวออกไปหนึ่งก้าว ใช้ตบะวิถีวรยุทธของขอบเขตหกขั้นสูงสุดพุ่งตัวมา ถึงตรงหน้าผู้เฒ่าชุดดำในเสี้ยววินาที แล้วปล่อยหมัดออกไป
ผู้เฒ่าชุดดำคนนั้นปากอ้าตาค้าง อึ้งงันเป็นไก่ไม้ เขาดันยืนบื้ออยู่ที่เดิม ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไม่ขยับ ไม่เพียงแต่ไม่อาจรับกระจกทองแดงที่เป็นของขวัญขออภัยนั้นไว้ได้ ยังจะทำให้ตัวเองต้องได้กินหมัดนั้นด้วย
เพียงแต่ว่าหวงซือกลับหยุดหมัดกะทันหัน มีเพียงพายุหมัดระลอกหนึ่งเท่านั้นที่พุ่งผ่านใบหน้าเจ้าแมลงน่าสงสารผู้นี้ไป เส้นผมตรงจอนหูของเขาจึงปลิวไปด้านหลัง
หวงซือเก็บหมัดแล้วขยับห่อสัมภาระหนักอึ้งให้เข้าที่ หมุนตัวได้ก็จากไปทันที พอเดินไปได้หลายก้าวก็หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า พี่ใหญ่เฉิน กระจกทองแดงบานนี้ ข้ามอบให้เจ้าแล้ว
นักพรตซุนถอนหายใจอยู่ในใจ
เหตุใดตนถึงได้หาพันธมิตรทึ่มทื่อที่ตาไร้แววอย่างนี้มาได้นะ
ลำบากเสียจริง
เส้นทางต่อจากนี้ เดินได้ไม่ง่ายเลย
นักพรตซุนเห็นเพียงว่าสหายเฉินผู้นั้นหันมายิ้มขออภัยให้ตน แล้วทรุดตัวลงนั่งยอง เก็บกระจกทองแดงที่ตกพื้นบานนั้นมาใส่ไว้ในห่อสัมภาระผ้าเขียวที่นับว่าฟีบแบน
ต่อให้ไอ้หมอนี่จะพยายามเก็บซ่อนความอกสั่นขวัญผวาของตัวเองเอาไว้ สุดความสามารถแล้ว แต่สองมือก็ยังสั่นเบาๆ อยู่ตลอดเวลา
นักพรตซุนที่มองดูอยู่ปวดหัวแปล๊บ เขาส่ายหน้า หมุนตัวเดินตามหวงซือไป บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกปลงกับความโชคร้ายและโมโหกับความไม่เอาไหนของ เจ้าหมอนี่ เสียงในใจที่เขาเอ่ยจึงแฝงไว้ด้วยความเดือดดาล สหายเฉิน! ต่อจากนี้ จงจำตำแหน่งของตัวเองให้ดี อย่าได้เข้าใกล้เจ้าหวงซือผู้นี้มากนัก ทางที่ดีที่สุด ก็ให้มีข้าผู้เป็นนักพรตคั่นกลางระหว่างตัวเองกับหวงซือ ไม่อย่างนั้นหากหวงซือ เข้าประชิดตัวเมื่อไหร่ ต่อให้เจ้ามียันต์มากแค่ไหนก็เป็นได้แค่เครื่องประดับเท่านั้น ทำไมแค่หลักการตื้นเขินที่ว่าผู้ฝึกลมปราณห้ามปล่อยให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเข้าใกล้ก็ยัง ไม่เข้าใจได้นะ?!
นักพรตซุน หลักการเหตุผลนั้นข้าเข้าใจ แต่พอต้องต่อกรกับหวงซือเข้าจริงๆ หัวสมองของข้าก็ว่างเปล่า มือเท้าไม่ฟังคำสั่ง มือไม้มันตามไม่ทันหลักการเหตุผล พวกนี้จริงๆ
หลังจากคนผู้นั้นได้กระจกทองแดงบานหนึ่งไปแล้วก็เดินเร็วๆ ตามนักพรตซุนมาแล้วจึงชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ไม่มาเดินเคียงบ่ากับนักพรตซุน แต่เลือกจะเดินอยู่ข้างหลังเขาเสียเลย ฝีเท้าก้าวเดินมั่นคง นักพรตซุนถอนหายใจ แล้วก็ไม่พูดอะไรให้มากความ อีก จะดีจะชั่วก็รู้จักเรียนรู้จากบทเรียนบ้างแล้ว ไม่ถึงขั้นไร้ทางเยียวยา
เฉินผิงอันเดินอยู่ด้านหลังสุด ปาดคราบเลือดตรงมุมปากออกเบาๆ
ผู้ฝึกยุทธทั่วไปที่ท่องอยู่ในยุทธภพ หากโชคไม่ดีก็มักจะถูกคนอื่นต่อยตีจนใบหน้านองไปด้วยเลือด
เฉินผิงอันกลับดีนัก ดันหาเรื่องใส่ตัวด้วยตัวเอง
แต่พอคิดถึงกระจกโบราณทองสัมฤทธิ์ที่ดูก็รู้ว่ามีอายุหลายปีบานนั้น เฉินผิงอัน ก็ไม่มีคำบ่นอะไรอีก
บนกระจกมีตัวอักษรที่สลักไว้เล็กมาก ด้านหน้าตรงสลักคำว่า ‘เลี่ยงภัยทางทหาร’ ด้านหลังสลักคำว่า ‘ต้านเสนียดชั่วร้าย’
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือกระจกขจัดความชั่วร้าย อีกทั้งยังทำเลียนแบบกระจกโบราณ เพราะก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้พิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็พบว่ามีตัวอักษรที่เล็กมากสลักไว้ว่า ‘ตระกูลกงเป็นผู้สร้าง’ แต่นี่กลับกลายเป็นส่วนที่ทำให้มันล้ำค่าที่สุด เพราะการที่กล้าสลักแซ่สกุลบวกกับคำว่า ‘สร้าง’ ลงไปบนวัตถุอาคมอย่าง กระจกทองแดงบานนี้ ก็เท่ากับเป็นการรับรองระดับขั้นของมัน
ในตำราเทพเซียนเล่มนั้นก็เคยมีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ในบรรดานั้นเป็นกระจกโบราณจำลองของสองตระกูล ได้แก่กระจกโบราณลายสัตว์ทะเลหมอบคลานที่สลักคำว่า ‘ร้านหลี่สร้าง’ และกระจกแสงสว่างหรือกระจก เทพเซียนท่องราตรีที่สลักคำว่า ‘น่าหลันซานซานสร้าง’ ที่มีมูลค่าควรเมืองมากที่สุด ส่วนกระจกทองแดงยุคหลังที่สร้างเลียนแบบของเลียนแบบอีกทีนั้น ส่วนใหญ่ มักจะเป็นวัตถุที่เอามาหลอกพวกผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัว ต่อให้จะสร้างขึ้นอย่างประณีตไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ยังคงเป็นหลุมพรางขนาดใหญ่ หากมีคนเข้าใจผิดคิดว่าตัวเอง เก็บสมบัติมาได้ เอาไปขายต่อราคาสูงได้ก็ยังถือว่าดี แต่หากนำมันไปหล่อหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตด้วยความฮึกเหิม คาดว่าคงทำให้ผู้ฝึกตนเคียดแค้น กระอักเลือด ไม่หยุดเป็นแน่
เมื่อครู่นี้เฉินผิงอันเกือบจะอดไม่ไหว อยากให้นักพรตซุนช่วยลูบคลำดูให้ก่อน พูดกับเขาเพราะๆ ว่าขอให้ช่วยดูของให้สักหน่อย จากนั้นตนค่อยเก็บเข้าไปไว้ใน ห่อสัมภาระอย่างจริงจัง
มือของนักพรตซุนผู้นี้พอๆ กับสุยจิ่งเฉิงเลยทีเดียว ต่างก็มีแสงสว่างส่องบนมือ มาก่อนหรืออย่างไร? (มาจากประโยคปากมีแสงสว่าง หมายถึงว่าพูดอะไรไว้ สิ่งนั้น ก็จะเกิดขึ้น)
ไม่พูดถึงผลเก็บเกี่ยวในครั้งนี้อย่างกรงไม้ไผ่สานขนาดเล็กที่มีความเป็นไปได้ อย่างยิ่งว่าจะเป็นข้องราชามังกรคู่นั้น พูดถึงแค่กระพรวนเจดีย์วิเศษที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนักพรตร่างผอมสูง ก็เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นไม่ธรรมดา
ไม่อย่างนั้นตอนอยู่ข้างนอกอารามเต๋าบนยอดเขา กระพรวนเจดีย์วิเศษก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายระเบิดตัวเองเพื่อส่งสัญญาณเตือนอย่างแน่นอน
ทางฝั่งด้านหลังภูเขานี้ สิ่งปลูกสร้างเทียบกับด้านหน้าภูเขาที่ลดหลั่นเรียงรายไม่ได้ สิ่งปลูกสร้างที่เรียกได้ว่าโอ่อ่าตระการตาก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ มีแค่สามหลังเท่านั้น
ตลอดทางที่คนทั้งสามเดินลงจากภูเขามานี้ ทอดสายตามองไป เห็นสิ่งปลูกสร้างเพียงประปรายเท่านั้น
แต่กลับช่วยลดปัญหายุ่งยากไปได้ไม่น้อย
อิงตามกฎเดิม หวงซือจึงไปค้นสมบัติมุมหนึ่ง นั่นคือสิ่งปลูกสร้างลักษณะเหมือนพระราชวังที่อยู่ตรงหน้า ส่วนนักพรตซุนก็ไปอีกจุดหนึ่ง ตรงนั้นมีหอเรือนสูงตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ส่วนเฉินผิงอันแยกไปยังหอเรือนที่อยู่ใกล้กับตีนเขามากที่สุด
หลังแยกกับนักพรตซุนมาแล้ว เฉินผิงอันก็เดินไม่เร็วนัก ราวกับกำลังสาวเท้าเดินเล่นชมทัศนียภาพของภูเขาสายน้ำอย่างไรอย่างนั้น เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มน้ำปราณวิญญาณของใบไผ่หนึ่งอึก ทำให้จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบายได้ดีจริงๆ
เพียงแค่รสชาติจืดไปสักหน่อย ไม่ได้เข้มข้นเหมือนสุรา
เพียงแต่พอคิดว่าหยดน้ำจากปลายใบไผ่เขียวขจีซึ่งก็คือปราณวิญญาณที่เข้มข้นพวกนี้ล้ำค่าหายากอย่างถึงที่สุด ราคาเหนือกว่าเหล้าหมักตระกูลเซียนไปไกลโข เขาก็พลันรู้สึกว่ารสชาติของมันยอดเยี่ยม ชวนให้คนหวนระลึกถึงอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เมื่อดื่มอึกนี้ลงไป ไม่ใช่ว่าดื่มชาอะไร แต่เป็นการดื่มเงินเทพเซียนเข้าไปกำมือใหญ่ รสชาติจะไม่ดีได้อย่างไร?
หันหน้ากลับไปมอง ไม่เห็นเงาร่างของหวงซือและนักพรตซุนแล้ว เฉินผิงอันจึงผูกน้ำเต้าให้เรียบร้อย ค้อมตัวลง ร่างพลันพุ่งตะบึงไปเบื้องหน้า พริบตาเดียวก็ทะยานผ่านกำแพงสูง พลิ้วกายลงบนพื้น
ราวกับว่าผสานรวมเข้ากับฟ้าดิน ถึงทำได้อย่างเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ไม่เกิดริ้วคลื่นที่เกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย
……
ตรงตีนเขาของภูเขาด้านหน้า ศึกวุ่นวายตรงสะพานโค้งหยกขาวยังคงดำเนิน ไปอย่างต่อเนื่อง
หากใช้คำกล่าวพื้นบ้านของอุตรกุรุทวีปมาพูด นั่นก็คือต่อสู้กันจนเอาน้ำในสมองที่ไหลออกมา มาดื่มต่างสุราได้แล้ว และนี่ต่างหากจึงจะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง
ศึกการช่วงชิงบนสะพานโค้งของศัตรูที่พบเจอกันบนทางแคบครั้งนี้ดุเดือดอย่างมาก
แม้แต่ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของแคว้นฝูฉวีที่ขึ้นเขาไปหาสมบัติก็ยังได้ยิน ความเคลื่อนไหว จนจำต้องปล่อยสมบัติที่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาชิ้นนั้นทิ้งไป แล้วรีบ เข้ามาร่วมในสนามรบ
ทว่าผู้ถวายงานแคว้นฝูฉวีผู้นี้ก็เป็นคนมีอุบายไม่น้อย เขาเลือกสมบัติส่วนหนึ่ง ที่รู้สึกว่ามีค่า นำไปซ่อนไว้บนคานของหอเรือนแห่งหนึ่ง ส่วนของอื่นๆ ที่เหลือนั้น เก็บรวบใส่ห่อสัมภาระไว้ด้วยกัน แล้วขยับห่างออกมา เอาไปวางไว้ตรงมุมห้อง ถึงเวลานั้นเมื่อกลับมาที่นี่พร้อมกับป๋ายปี้และท่านโหวน้อย ก็จะไม่เผยพิรุธใดๆ ส่วนข้อที่ว่าสุดท้ายแล้วจะเอาสมบัติที่ซ่อนไว้ออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร ก็คงต้องค่อยๆ ดูกันไปทีละขั้นแล้ว
เกาหลิงเรียกเอาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารออกมาแล้ว เขาที่สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างไว้บนร่างร่วมมือกับผู้ถวายงานของจวนโหว พยายามปกป้อง จานชิงไว้ให้ได้มากที่สุด
ส่วนจานชิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตถ้ำสถิตซึ่งมีอาจารย์เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดก็แสร้งทำเป็นว่าตื่นตระหนกลนลาน เวทอำพรางตาอย่างการเป็นคุณชายเสเพลอันดับหนึ่งของแคว้นเป่ยถิง บวกกับคำพูดคำจาที่กำเริบเสิบสานก่อนหน้านี้ก็ล้วน ใช้ได้ผลดีเยี่ยม แทบไม่มีใครเชื่อเลยว่าลูกหลานชนชั้นสูงแห่งแคว้นเป่ยถิงผู้นี้จะเป็น ผู้ฝึกยุทธห้าขอบเขตกลางตัวจริง อีกทั้งยังได้ครอบครองสมบัติอาคมด้านการโจมตี ที่มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ถึงสองชิ้น
สถานการณ์การต่อสู้ที่เดิมทีเอนเอียงไปข้างหนึ่ง พอผู้ถวายงานของแคว้นฝูฉวีผู้นั้นเข้ามาร่วมด้วย ก็เริ่มดึงสถานการณ์ย่ำแย่กลับมาได้เล็กน้อย
จานชิงเคียดแค้นผู้ฝึกตนหญิงที่สวมหมวกคลุมหน้า สวมชุดอาคมของนครเหนือเมฆ ผู้นั้นเป็นที่สุด ก็เพราะคนผู้นี้ที่นำขบวนทุกคนข้ามสะพานมา ทำลายแผนการนั่งรับทรัพย์ของเขาไปเสียสิ้น
ไม่เพียงเท่านี้ ท่ามกลางการต่อสู้วุ่นวายที่เกิดขึ้นในภายหลัง ผู้ฝึกตนหญิงที่ อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำผู้นี้ยังรู้หนักรู้เบาเป็นอย่างดี นางทั้งไม่จับคู่ต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง แต่ก็ไม่นั่งภูดูเสือกัดกัน ไม่ปล่อยให้ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธของฝ่ายต่างๆ พาตัวไปตาย ทุกครั้งที่เกาหลิงสามารถออกหมัดสังหารคน ผู้ฝึกตนหญิง ก็จะคอยยื่นมือเข้าแทรก เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป นางก็สามารถใช้สมบัติหนักด้านการป้องกันสองชิ้นช่วยชีวิตคนเจ็ดแปดคนมาจากเงื้อมมือของเกาหลิงและผู้ถวายงานของจวนโหวได้
วัตถุแห่งชะตาชีวิตด้านการป้องกันสองชิ้นของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น ชิ้นหนึ่งคือกำไลหยกเขียวที่มีประกายแสงไหลริน มันหมุนคว้างไม่หยุดอยู่นิ่ง อีกชิ้นหนึ่งคือ เบาะรองนั่งสีเหลืองสดปักเป็นรูปมังกรทองห้าตัว ต่อให้เกาหลิงจะต่อยโดนมัน มันก็แค่ยุบลงไป ส่งเสียงสะบัดดังพึ่บพั่บ พายุหมัดไม่สามารถต่อยมันให้แหลกสลายได้ ทว่าทุกครั้งที่โดนหนึ่งหมัด ประกายแสงของมังกรทองห้าตัวก็มักจะหม่นหมอง ลงไปหลายส่วน เพียงแต่ว่ากำไลเขียวกับเบาะรองนั่งจะสลับกันลงสนามรบ เบาะรองนั่งพุ่งกลับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของนาง พอถูกปราณวิญญาณแทรกซึมเข้าไป เพียงไม่นานแสงสีทองก็กลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิมอีกครั้ง
ส่วนการล้อมโจมตีของคนอีกสี่สิบกว่าคนที่เหลือ แต่ละคนพากันเรียกสมบัติที่ใช้โจมตีออกมาอย่างพร้อมเพรียง พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม หากไม่เป็นเพราะ การร่วมมือกันของผู้ฝึกตนเหล่านี้ยังมีช่องโหว่ และผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสี่ห้า บางคนก็ไม่กล้าต่อสู้ประชิดตัวมากเกินไปนัก ส่วนใหญ่ล้วนใช้ธนูโจมตีอยู่ไกลๆ บ้างก็ปล่อยพายุหมัดออกมารบกวนอีกฝั่งหนึ่งของสะพานโค้ง
ไม่อาจร่วมมือกันอย่างแนบแน่นไร้ช่องโหว่ได้ ไม่อย่างนั้นก็เกรงว่าพวกเกาหลิง คงจะรับมือได้ยากยิ่งกว่านี้ แต่หากผู้ฝึกตนอิสระเลือกจะลงมือทุ่มสุดชีวิตเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่จานชิงที่เห็นเลือดมาไม่มากเลย แม้แต่เกาหลิงที่มีชาติกำเนิดเป็นแม่ทัพ กับผู้ถวายงานของตระกูลที่ใช้ชีวิตสุขสบายมาจนเคยชินแล้วก็ยังอดอกสั่นขวัญผวาไม่ได้
ผู้ถวายงานของจวนโหวถูกคนใช้สมบัติลับลอบโจมตี หน้าท้องถูกแทงทะลุเป็นรู มีเลือดสดไหลไม่หยุด เพียงแต่ว่าอาศัยเรือนกายของผู้ฝึกยุทธร่างทองจึงพอจะฝืนประคองตัวเองเอาไว้ได้ หันกลับไปมองเกาหลิงที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ในสนามรบ สำหรับการตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรูที่เต็มไปด้วยปลายทวนแหลมคมนั้น ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา เป็นเหตุให้แม้จะมองดูน่าตกใจ แต่ก็ไร้อันตรายที่แท้จริง ส่วนผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นฝูฉวีผู้นั้น สภาพกลับน่าอนาถที่สุด ถูกอาวุธวิเศษด้านการโจมตีชิ้นหนึ่งกระแทกเข้าใส่หัว หากไม่เป็นเพราะเกาหลิงช่วยใช้พายุหมัดสลายพลังของอาวุธชิ้นนั้นไปเกินครึ่ง แล้วจานชิงยังใช้สมบัติลับที่เป็นพัดพับในมือ เล่มนั้น ทำให้ด้านหน้าของเขามีฉากบังตาตระกูลเซียนที่เป็นภาพคนขี่ม้าบน สะพานไม้เลียบขุนเขาท่ามกลางค่ำคืนที่หิมะตกโผล่มาขวางไว้ ก็คาดว่าเทพเซียน ผู้เฒ่าของแคว้นฝูฉวีผู้นี้คงต้องตายคาที่ไปแล้ว
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองคนซึ่งรวมถึงเกาหลิงด้วยนั้น ต่างก็ไม่ได้กินหญ้า ต่อให้จะมีอู่ชวินแห่งจวนไช่เฉวี่ยคอยช่วยต้านทานพายุหมัดให้ แต่กระนั้น คนที่ถูกคนทั้งสองโจมตีจนตายก็ยังมีมากถึงเจ็ดแปดคน สภาพการตายน่าสังเวช อย่างยิ่ง ทุกคนต่างก็เหมือนถูกลงทัณฑ์ด้วยวิธีห้าม้าแยกร่างทั้งสิ้น
ดังนั้นการเร่งรุดมาถึงของป๋ายปี้เซียนดินโอสถทองของสำนักมังกรน้ำจึงไม่ใช่ การเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร แต่เป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ
เพียงแต่ว่าป๋ายปี้เพิ่งจะเรียกสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตหนึ่งป้องกันหนึ่งโจมตีออกมา ซุนชิงเจ้าจวนไช่เฉวี่ยก็ทะยานลมขึ้นสูง เป็นฝ่ายเลือกจับคู่ต่อสู้กับลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ผู้นี้ด้วยตัวเอง
รอบเรือนกายของป๋ายปี้คือเงินเหรียญยาเซิ่งหนึ่งชุดสิบแปดเหรียญที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำมอบให้ ตัวป๋ายปี้เองคือผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ซึ่งเกิดมาก็เหมาะ แก่การฝึกวิชาธาตุน้ำ และตัวอักษรที่สลักไว้บนเหรียญเงินพวกนั้นก็มีความหมาย ที่ยิ่งใหญ่ลึกล้ำ แฝงไว้ด้วยโชคชะตาแคว้นเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ พวกมันเคยเป็นวัตถุเปิดเตาหลอมเงินของราชวงศ์เก่าแก่บางแห่งเลียบลำน้ำจี้ตู๋ ภายหลังกระจายไป สี่ทิศ มีทั้งเอาไปวางไว้บนเสาคานของอารามเต๋าโบราณ แล้วก็ฝังไปพร้อมกับศพของสุสานโบราณ บ้างก็ถูกเชื้อพระวงศ์รุ่นหลังเก็บไว้ในคลังสมบัติ ซึ่งสำนักมังกรน้ำ เก็บรวบรวมมาได้สองชุด หนึ่งชุดรวมกันแล้วมีมากถึงสิบแปดเหรียญ ชุดหนึ่งในนั้น ก็ได้นำมามอบให้ป๋ายปี้
อันที่จริงเงินยาเซิ่งที่ต่อให้อยู่ในศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำก็ยังถือว่าเป็นของดีชุดนี้ ได้ทั้งป้องกันและโจมตี
แต่ป๋ายปี้ก็ยังเรียกสมบัติหนักบนภูเขาออกมาอีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือผลงานอันเป็นที่ภาคภูมิใจของยอดฝีมือด้านจั๋วฉิน (เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของจีน) ท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์อุตรกุรุทวีป ฉินโบราณนี้มีนามว่า ‘หิมะปลิวปราย’
หลังจากที่ผู้ฝึกตนโอสถทองทั้งสองท่านลงมือ สถานการณ์การต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือด
แล้วก็มีน้ำเสียงแหบพร่าที่สมควรโดนแทงพันครั้งนั่นเอ่ยเตือนทุกคนเสียงดังอีกครั้ง พวกเราฆ่าท่านโหวน้อยก่อน!
จานชิงเดือดดาลอย่างถึงที่สุด คนผู้นี้ต่างหากที่รับมือได้ยากอย่างแท้จริง
ทุกครั้งที่เปิดปากพูดล้วนได้ผลไปเสียทุกครั้ง
เพียงแต่ว่าเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายใช้วิชาลับบนภูเขา บวกกับที่การต่อสู้ครั้งนี้อันตราย สถานการณ์วุ่นวายเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่ง ทำให้จานชิงไม่อาจแยกแยะได้ว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่
เกาหลิงแม่ทัพบู๊และผู้ถวายงานสองคนต่างก็ไม่มีทางกล้ามองตนถูกอาวุธหรือ เวทคาถาเล่นงานจนตายแน่ แต่หากต้องคอยดูแลเขามากเกินไปก็ย่อมทำให้ ห่วงหน้าพะวงหลัง และถ้าเกิดช่องโหว่ขึ้นมา จะกลายเป็นกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง ง่ายที่จะทำให้ป๋ายปี้ต้องเสียสมาธิด้วย จานชิงกล้าแน่ใจเลยว่า ขอแค่ฝั่งของตนมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งรบตายไป หรือมีคนได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียพลังการต่อสู้ไปชั่วคราว จำต้องถอยออกจากสนามรบกลับขึ้นไป บนภูเขา ผู้ฝึกตนอิสระและผู้ฝึกยุทธที่เข่นฆ่าจนบ้าเลือดกลุ่มนี้จะยิ่งต้องทุ่มสุดชีวิตอย่างแน่นอน
อันที่จริงจานชิงเริ่มใช้เสียงในใจบอกเตือนเกาหลิงและผู้ถวายงานสองคนแล้วว่า ทุกครั้งที่ร่วมมือกันสังหารคน หากเป็นไปได้ให้เลือกดูสักหน่อย สังหารคนจาก ภูเขาเล็กๆ ที่รวมกลุ่มกันสามสี่คนให้สิ้นซากในรวดเดียว นี่จะสยบขวัญผู้คนได้ เป็นอย่างดี และยังป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายกลายเป็นพวกไม่กลัวตาย พยายามจะแก้แค้นให้สหายอีกด้วย เพียงแต่ว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต ต่อให้จานชิงจะคิดคำนวณมา อย่างดีแค่ไหน ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าคงเพราะคราวนี้ที่ออกจากบ้านไม่ได้ เปิดปฏิทินเหลืองดูฤกษ์ยามให้ดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย ยิ่งการเข่นฆ่าดำเนินไปถึงช่วงหลัง เกาหลิงและผู้ถวายงานอีกสองคนก็ไม่อาจระมัดระวังเช่นนี้ได้อีก ส่วนตนก็กลายมาเป็นเป้าหมายที่ทุกคนคิดจะสังหาร อีกฝ่ายมีคนมากกว่า แล้วก็ ไม่คิดจะสนหน้าสนหลัง ไม่ว่าสมบัติโจมตีกี่รูปแบบ หรือเวทคาถาอันตรายที่ นับไม่ถ้วนแค่ไหน ก็ขอให้โยนออกมาก่อนค่อยว่ากัน
จนกระทั่งบัดนี้ จานชิงถึงเพิ่งจะเริ่มเสียใจภายหลัง ตนไม่ควรลำพองใจในตัวเองขนาดนี้เลยจริงๆ ไม่ควรคิดว่าการเอาโชควาสนาทั้งหมดของที่แห่งนี้รวบเข้ากระเป๋าของตัวเองคือเรื่องง่ายๆ
แต่เขาควรทำตามลำดับขั้นตอน ไล่จู่โจมไปทีละฝ่าย ไม่ใช่คิดว่ากลุ่มของตน เมื่อรวมตัวกันขึ้นมา คิดจะสังหารก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ไม่ยาก แล้วจะต้องสนใจ ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งมดตัวน้อยที่มารวมตัวกันชั่วคราวอย่างไร้ระเบียบไปทำไม?
ผลกลับกลายเป็นว่ารอจนจานชิงเดินอาดๆ มาสกัดขวางทางไปของทุกคนอยู่ที่นี่ เลียนแบบคำพูดในนิยายว่าหนึ่งคนเป็นหน้าด่าน หมื่นคนอย่าหวังจะฝ่าไปได้ สุดท้ายเวลานี้กลับต้องมาเสียใจภายหลังซะแล้ว
อันที่จริงไม่ใช่ว่าแผนการก่อนหน้านี้ของจานชิงแย่เกินไป เพียงแต่ว่าบนเส้นทางการฝึกตน หมื่นหนึ่งเพียงหนึ่งเดียวนั้น หากมาถึงเข้าจริงๆ นั่นก็คือหนึ่งหมื่นที่ไม่ว่า กี่เรื่องก็อย่าได้เพ้อฝันถึง (หนึ่งหมื่นเปรียบเปรยถึงเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ ส่วนหมื่นหนึ่ง คือเกินหมื่นออกไป หมายถึงเรื่องที่ไม่คาดฝัน)
ป๋ายปี้พลันค้นพบว่าโอสถทองที่เป็นผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำผู้ยิ่งใหญ่ อย่างตนกลับไม่อาจต่อกรกับผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยที่ปิดบังใบหน้าตรงหน้านี้ได้
ป๋ายปี้จึงใช้เสียงในใจคำรามอย่างเดือดดาลว่า ซุนชิงแห่งจวนไช่เฉวี่ย! เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ? ไม่กลัวหรือว่าจะผูกปมแค้นกับสำนักมังกรน้ำของข้า จวนไช่เฉวี่ย แห่งท่าเรือดอกท้อจะต้านทานฝ่ามือของบรรพจารย์ห้าขอบเขตบนตระกูลข้าได้ กี่ครั้งกัน?
การที่ป๋ายปี้ไม่ได้โพนทะนาออกมาดังๆ
เพราะถึงอย่างไรนางก็มีชาติกำเนิดเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ตัวคนเดียวแล้ว มีสิ่งให้ต้องกริ่งเกรงเยอะกว่า และเรื่องที่ต้อง ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียก็มีมากกว่า
ซุนชิงบังคับสมบัติอาคมโจมตีชิ้นนั้นให้ไปปั่นป่วน ‘เกล็ดหิมะ’ ที่ผุดออกมาเพราะแรงดีดสายฉินโบราณหิมะปลิวปราย จากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า เจ้าพูดอะไรน่ะ? ทำไมข้าถึงฟังไม่เข้าใจ
ป๋ายปี้เดือดดาลอย่างหนัก ซุนชิง! เจ้าคิดจะไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับข้าจริงๆ งั้นรึ?
มีเงินยาเซิ่งสิบแปดเหรียญนั้นปกป้องอยู่รอบกาย สภาพของป๋ายปี้จึงยัง ไม่กระเซอะกระเซิงมากนัก แล้วนับประสาอะไรกับที่สมบัติอาคมที่จัดเรียงกัน เป็นค่ายกลชุดนี้ได้ทั้งป้องกันและโจมตี แล้วก็เห็นได้ชัดว่าป๋ายปี้ยังไม่ได้ทุ่มสุดกำลัง อีกอย่างเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากศาลบรรพจารย์ที่มีอักษรจงในชื่อคนหนึ่ง มีใครบ้างที่ไม่มีวิชาไม้ตายที่เอามาใช้รับมือกับศัตรูให้วอดวายกันไปทั้งคู่ หรือไม่ก็ช่วยให้หลบหนีได้ไกลเป็นพันลี้ ดังนั้นการที่ป๋ายปี้อับอายจนพานเป็นความโกรธนี้ น่าจะเป็นเพราะสภาพจิตใจของนางไม่ต่างจากจานชิงเท่าไร่ เพราะต้องสูญเสีย โอกาสอันดีที่จะได้ฮุบครองผลประโยชน์เพียงลำพังไป อีกทั้งยังต้องเสียหน้าผู้ฝึกตนโอสถทองสำนักใหญ่เช่นนี้ แต่เมื่อเทียบกับจานชิงที่อยู่ตรงหัวสะพานตีนเขาซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแล้ว สภาพการณ์ของป๋ายปี้ในตอนนี้ก็นับว่าดีกว่ามาก
ซุนชิงยังคงเล่นแง่ไม่ยอมรับ พูดกลั้วหัวเราะคิกคักว่า พวกเราเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ภาระให้ต้องพะวงหา เน้นย้ำในคำที่ว่าตายคนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่หาก ไม่ตายก็มีอายุยืนนานหมื่นปี หมื่นๆ ปี
ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งเอ่ยประโยคเช่นนี้ เรียกได้ว่ารังแกกันมากเกินไปแล้วจริงๆ
ป๋ายปี้สูดลมหายใจเข้าลึก ทันใดนั้นสภาพจิตใจของนางก็นิ่งสงบดุจสายน้ำ ไม่เหลือความคิดวุ่นวายอื่นๆ อีก ถึงขั้นที่ว่าไม่หันไปสนใจสถานการณ์ทางฝั่งของ จานชิงเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อใช้หลักการเหตุผลของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลแล้ว แต่ก็ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นโอสถทองรุ่นเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่อาศัยการเข่นฆ่าด้วยตบะมาพิสูจน์ฝีมือที่แท้จริงแล้ว
แม้ว่าซุนชิงจะมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ดูผ่อนคลายยิ่งกว่าผู้สืบทอดสำนักมังกรน้ำ ที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้แค่ไม่กี่วันอย่างป๋ายปี้มากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าจวนโอสถทองที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจวนไช่เฉวี่ยผู้นี้กลับไม่ได้ ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย
เผชิญหน้ากับผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยของตระกูลเซียนอักษรจงที่สำนักมีรากฐานลึกล้ำ ซุนชิงจึงกำลังรอคอยโอกาสหนึ่งโอกาสที่จะโจมตีให้ถึงชีวิตในคราวเดียว หากไม่สำเร็จ นั่นต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้สถานะเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลมานั่งลงพูดคุยกันได้
หากอีกฝ่ายมีตบะสูงยิ่งกว่า สังหารนางซุนชิงได้
ซุนชิงก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
ข้าฆ่าคนอื่นได้ คนอื่นก็สังหารข้าได้เช่นกัน
ดังนั้นปีนั้นตอนที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยกัน ผู้ฝึกกระบี่ที่เหมือนบัณฑิต สอนหนังสือผู้นั้นถึงได้เอ่ยประโยคว่า ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ไม่สามารถตายได้
เพียงแต่ว่าปีนั้นเจียวหลงบนบกของอุตรกุรุทวีปผู้นั้นยังพูดประโยคหลังตามมาด้วยว่า แต่ทุกคนในใต้หล้านี้ล้วนสามารถใช้เหตุผลได้
ประโยคหลังนี้ ซุนชิงไม่เคยฟังเข้าหู ด้วยรู้สึกว่าไร้เหตุผลสิ้นดี
เพียงแต่ว่าชอบเขา ก็เลยไม่โต้เถียงกับเขา
แน่นอนว่าหากคิดจะตั้งใจถกเถียงเรื่องหลักการเหตุผลกับหลิวจิ่งหลงจริงๆ ต้องเป็นการหาเรื่องลำบากใส่ตัวอย่างแน่นอน
เพราะไม่มีทางเอาชนะเขาได้
ปีนั้นหลิวจิ่งหลงเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง แต่กลับอาศัยหลักการเหตุผล ที่เอ่ยออกมาจากปากโน้มน้าวตาเฒ่าประหลาดขอบเขตหยกดิบที่คิดจะเปิดฉากสังหารใหญ่ได้ ไม่เพียงเท่านี้ เขายังมีความสัมพันธ์เป็นทั้งเพื่อนทั้งศัตรูกับตาเฒ่าประหลาดผู้นั้นอีกด้วย แล้วกลับกลายเป็นว่าตาเฒ่าประหลาดได้กลายมาเป็น ผู้ปกป้องมรรคาให้กลุ่มของพวกเขา
ถือว่าพาพวกเขาทุกคนส่งออกจากอาณาเขตอย่างมีมารยาท คราวก่อนที่ซุนชิง ไปเจอกับหลิวจิ่งหลง ‘โดยบังเอิญ’ หลังจากทักทายปราศรัยกันตามมารยาทแล้ว ด้วยไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกัน นางจึงถามถึงเรื่องนี้ หลิวจิ่งหลงบอกว่าก่อนหน้านั้น ที่เดินทางลงใต้ เขาได้ไปพบกับผู้อาวุโสคนนั้นมา ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างถูกคอ เพียงแต่ว่าหลังจากเขาหลิวจิ่งหลงเดินทางกลับเหนือแล้ว ก็แค่ต้องทำใจให้สงบ ปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย ไม่ต้องกลับไปที่ภูเขาอีกรอบ
……
สถานที่ที่เฉินผิงอันแวะมาเยือนมีโครงกระดูกอยู่บนพื้นไม่มาก เขาเอ่ยขออภัย ในใจคำหนึ่ง จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งยองลงบนพื้น ยื่นมือไปชั่งน้ำหนักโครงกระดูกเบาๆ ยังคงไม่ต่างจากโครงกระดูกในโลกมนุษย์สักเท่าไร ไม่ได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่กระดูกแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวใสแวววาวเพราะถูกปราณหยินอาบย้อมเหมือนในชายหาดโครงกระดูก ตรงภูเขาด้านหน้าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน นี่หมายความว่า ตอนที่มีชีวิตอยู่ ผู้ฝึกตนในพื้นที่แทบจะไม่มีคนที่บรรลุมรรคาอย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีใครเคยเป็นเซียนดิน และยังมีเรื่องประหลาดอีกหนึ่งอย่าง ในศาลา ที่บนโต๊ะหินสลักเป็นกระดานหมากล้อม สองฝ่ายที่เล่นหมากล้อมกัน เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นของชุดคลุมอาคมที่สวมอยู่บนร่างนั้นดีเยี่ยม แต่หลังจากถูกหวงซือดึงออกไป เฉินผิงอันกลับสังเกตเห็นว่าโครงกระดูกทั้งสองโครงนั้น ยังคงไม่มีคุณสมบัติของ โอสถทองที่กระดูกต้องเป็นกิ่งทองใบหยก
จุดที่เฉินผิงอันเดินมาถึง คือสถานที่ห่างไกลเงียบสงบที่มีเส้นทางสายเล็กทอดยาวมาถึง ยังคงมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น ไม่ทำให้คนรู้สึกไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงต้องเสียยันต์ปราณหยางส่องไฟไปอีกหนึ่งแผ่น
เฉินผิงอันได้ผลเก็บเกี่ยวน้อยมาก มีแค่วัตถุบนภูเขาที่มีรอยแตกร้าวจำนวนมากไม่กี่ชิ้น ดูท่าการเดินทางไปพร้อมกับนักพรตซุนคงเป็นความคิดที่ถูกต้องจริงๆ
มาถึงบ่อน้ำที่แห้งขอดจนมองเห็นก้นบ่อ ใบไม้แห้งเหี่ยวกระจัดกระจายอยู่รอบๆ
ดูจากสภาพของมันแล้ว หากมีน้ำเต็มก็น่าจะเป็นตาน้ำพุแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันคิดถึงตัวอักษรที่เห็นตรงทางเข้าโพรงถ้ำอยู่ตลอดเวลา คนที่ทิ้งตัวอักษรพวกนั้นไว้จะต้องเป็นบุคคลที่เคยเข้าออกซากปรักจวนเซียนแห่งนี้มาก่อน อย่างแน่นอน
หากไม่ใช่ยอดฝีมืออำพรางตัวตนที่ทิ้งเบาะแสของการเปิดประตูไว้ให้กับ คนรุ่นหลัง ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นคนที่กลัวว่าปลาจะโง่เกินไป แม้แต่เหยื่อล่อก็ยัง ไม่กล้างับ ไม่อาจติดเบ็ด
เฉินผิงอันพลิกตัวข้ามราวรั้ว กระโดดเข้าไปในบ่อน้ำ ใบไม้แห้งพวกนั้นพอหยิบมาไว้ในมือก็แหลกสลายทันที ไม่มีความลี้ลับใดๆ
ปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำของภูเขาด้านหลังนี้ ยังคงเป็นบริเวณใกล้เคียงกับ ต้นไผ่เขียวที่เข้มข้นที่สุด
ภูเขาลั่วพั่วกำลังขาดต้นไผ่ดีๆ ต้นหนึ่งอยู่พอดีเลย
หากสามารถเป็นเหมือนบรรพบุรุษต้นไผ่เฟิ่นหย่งบนภูเขาฉีตุนในปีนั้นที่เว่ยป้อทะนุถนอมเห็นค่าอย่างถึงที่สุด ซึ่งสามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้ปีแล้วปีเล่า รากไผ่ ใต้ดินทอดตัวขยายยาวเหยียด ตาเฒ่าให้กำเนิดบุตรชาย บุตรชายให้กำเนิดหลานชาย ก็จะมีป่าไผ่หนาครึ้มเพิ่มขึ้นมาผืนหนึ่งได้อย่างเปล่าๆ
แน่นอนว่าในสายตาของเฉินผิงอัน ไม่ว่าอะไรภูเขาลั่วพั่วก็ยังขาดอยู่ทั้งนั้น
เฉินผิงอันขยุ้มดินขึ้นมาเล็กน้อย ดินที่อยู่ปลายนิ้วก็ยังคงแหลกสลายไป อย่างรวดเร็ว แล้วปลิวกระจายตามลมไปรอบด้าน
เกี่ยวกับลำน้ำจี้ตู๋ของอุตรกุรุทวีป เฉินผิงอันรู้มาไม่น้อย
เพียงแต่ว่าเรื่องที่มากกว่านั้นอย่างเรื่องวงในของลำน้ำใหญ่ ความรุ่งโรจน์และ ล่มสลายของควันธูปแห่งศาล การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของใต้หล้า เขากลับรู้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
แค่เคยได้ยินเว่ยป้อพูดถึงว่า หลิวเสียทวีปเคยมีลำน้ำใหญ่จากตะวันออก สู่ตะวันตกที่ไหลลงสู่มหาสมุทรเส้นหนึ่ง เลื้อยคดเคี้ยวทอดตัวยาวถึงสามหมื่นลี้ ทุกจุดตัดที่ขุนเขาสายน้ำมาเจอกัน ก็จะมีอริยะปราชญ์และเซียนดินผุดขึ้นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
และก็มีลำน้ำสายหนึ่งของฝูเหยาทวีปที่ถูกสายน้ำใหญ่ซึ่งเป็นเพียงแค่ลำคลอง มาสกัดกั้นทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทร นับแต่นั้นมาก็สร้างหายนะให้กับ ลำน้ำใหญ่ทั้งสาย เวลาสั้นๆ เพียงแค่สามร้อยปี ลำน้ำใหญ่สายหนึ่งก็หายสาบสูญไปนับแต่นั้น นี่หมายความว่าร่างทองของเทพวารี พ่อปู่แม่ย่าลำคลองทั้งหมดของ ลำน้ำใหญ่สายนั้นล้วนสลายหายไปด้วย และการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เลียบ ลำน้ำสายใหญ่ก็มีพิธีการและกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด เหนือเกินกว่าการที่จักรพรรดิของราชวงศ์หนึ่งแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำในอาณาเขต การปกครองอยู่มาก ว่ากันว่ายังต้องส่งเอกสารไปให้กับสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อของแผ่นดินกลางด้วย
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มากระดกดื่มแรงๆ หนึ่งอึก แล้วจากนั้นก็ดื่มน้ำปราณวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้หมดรวดเดียว ก่อนที่จิตวิญญาณจะจมจ่อมอยู่ภายใน ความคิดที่เล็กเท่าเมล็ดงาเข้าไปในสำรวจจวนน้ำ
เห็นเพียงว่าประตูใหญ่ของจวนน้ำเปิดอ้า ไม่แม้แต่จะคิดปิดประตูด้วยซ้ำ
ตรงข้างฝ่าเท้าของเฉินผิงอันมีธารน้ำสีเขียวมรกตอยู่เส้นหนึ่ง จากมุมต่างๆ ของข้อต่อกระดูกในร่างมีสายน้ำหลายสายค่อยๆ มารวมตัวกัน แล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นธารน้ำเส้นนี้ที่ค่อยๆ ไหลรินเข้าสู่บ่อน้ำของจวนน้ำ
พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวทั้งหลายที่กำลังง่วนทำงานไม่แม้แต่จะชายตามองขุนนางใหญ่ผู้มีคุณูปการบางท่านที่มาเยือนด้วยซ้ำ แต่ละคนวิ่งตะบึงกลับไปกลับมา เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมตื่นเต้น
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกปวดใจเล็กน้อย มาเจอกับเจ้านายอย่างตน คาดว่าเจ้าตัวน้อยทั้งหลายคงจะยากจนจนเกิดความหวาดกลัวแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันไปดูที่ศาลภูเขามารอบหนึ่ง อันที่จริงในจวนน้ำมีสายธารเส้นที่เล็ก บางกว่าอยู่อีกเส้นหนึ่งด้วย กระแสน้ำไหลริกๆ มุ่งงหน้าเข้าสู่ช่องโพรงสำคัญซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลภูเขา เนื่องจากแก่นชะตาน้ำถูกกักไว้ในจวนน้ำแล้ว ดังนั้นน้ำไหลสายนี้จึงใสสะอาดไร้สีสัน ไม่มีสีเขียวมรกตเป็นกลุ่มๆ ซ่อนอยู่อีก ปราณวิญญาณที่เข้มข้นเหมือนสายน้ำพวกนี้ พอมาถึงช่องโพรงลมปราณอันเป็นที่ตั้งของศาลภูเขาก็เริ่ม แทรกซอนเข้าสู่ผืนดิน เหมือนฝนรสหวานที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผืนแผ่นดิน
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนดวงจิตออกมา ไม่ได้หยุดอยู่ในจวนที่ ไม่มีสมบัติใดๆ ให้ตามหาแห่งนั้นอีก แต่ใช้ตบะและฝีเท้าที่สหายนักพรตเฉินสมควรมีวิ่งตะบึงไปตลอดทาง แอบวิ่งไปยังต้นไผ่เขียวที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมาจากภูเขาชิงเสิน ใช้ฝ่ามือกดที่ลำต้นไผ่ ปล่อยแรงกระเทือนเบาๆ ไผ่เขียวก็โยกคลอนพลิ้วไหว จากนั้นเขาที่มือหนึ่งถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็โบกชายแขนเสื้อรวบเอาหยดน้ำ ที่รวบรวมอยู่บนปลายใบไผ่ซึ่งเหลืออยู่อีกไม่ถึงครึ่งพวกนั้นเก็บมาไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทั้งหมด
เฉินผิงอันค่อนข้างลำพองใจไม่น้อย
ตนสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเก็บตกของดีจริงๆ
จากนั้นเฉินผิงอันก็รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย แล้วเริ่มปีนขึ้นไปบนต้นไผ่ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่ากิ่งไผ่เล็กบางที่มองดูเหมือนกิ่งอ่อนสามารถเด็ดออกมา ได้ง่ายๆ กลับหักออกได้ไม่ง่ายเลย
เฉินผิงอันมองไปยังตำหนักที่ห่างไปไกล หวงซือยืนอยู่บนหัวกำแพงแห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมองมาตรงนี้อยู่นานแล้ว
เฉินผิงอันที่ ‘รู้สึกตัวช้า’ จึงยิ้มกว้าง แล้วโบกมือให้อีกฝ่าย
หวงซือก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าวแล้วพลิ้วกายลงบนพื้น
ช่างเป็นแมลงน่าสงสารที่อยากได้เงินจนเสียสติ หาเงินโดยไม่เลือกวิธีการจริงๆ
ไม่มีการลอบสำรวจจากหวงซือ เฉินผิงอันจึงพยายามงอกิ่งไผ่แล้วเด็ดใบไผ่ออกมา ด้วยตบะที่เขาควรมีในเวลานี้ก็น่าจะพอทำได้อย่างถูไถ เขาจึงเด็ดใบไผ่มา กำแล้วกำเล่า ยัดใส่เข้าไปในห่อสัมภาระที่สะพายไว้เอียงๆ อาศัยใบไผ่พวกนั้นมาทำให้ห่อสัมภาระที่ฟีบแบนผิดปกติเปลี่ยนมาเป็นพองโป่งได้
ผู้ฝึกยุทธหวงซือที่เปลี่ยนมุมใหม่มาลอบสังเกตเจ้าคนกอดต้นไผ่ผู้นั้นอยู่ไกลๆ ต่ออีกครั้งมองอีกฝ่ายด้วยความนับถืออย่างถึงที่สุด คนประเภทนี้ หากเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำเช่นในตำนานจริงๆ เขาหวงซือก็จะเอาคอไป ยื่นให้ดาบอาคมของตี๋หยวนเฟิงปาดด้วยตัวเองเลย
รอจนหวงซือจากไปจริงๆ เฉินผิงอันถึงได้เริ่มประกบสองนิ้ว แล้วลงมือตัดปล้องไม้ไผ่ที่สูงต่ำไม่เท่ากัน แล้วเก็บเข้าไปใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อ กระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียวก้อนใหญ่ต่างก็เอามาบรรจุเพิ่มไม่ได้แล้วจริงๆ แต่สามารถใช้กิ่งไผ่เรียวบางเหล่านี้มาเติมเต็มช่องว่าง ได้พอดี
หลังจากงานใหญ่สำเร็จลุล่วงแล้ว คราวนี้ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อก็เต็มแน่นจริงๆ แล้ว
เฉินผิงอันกอดไผ่เขียวอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานก็ยังไม่ได้ไถลตัวลงมาบนพื้น
หวนนึกถึงตอนเป็นเด็กที่ตนเองปีนต้นไม้ไปจับจั๊กจั่นพร้อมกับคนอีกสองคน
คนหนึ่งคือสหายที่ดีที่สุดซึ่งเคยชินที่จะปกป้องเขา อีกคนหนึ่งคือญาติครึ่งตัว ที่เขาเคยชินจะปกป้อง
ช่วงเวลานั้นดูเหมือนว่าชีวิตจะยากลำบาก ทว่าแต่ละเดือนปีที่ผ่านพ้นไปกลับ ไร้ทุกข์ แล้วก็ไร้กังวล
เฉินผิงอันถอนหายใจ
เก็บความคิดทั้งหมดกลับคืน
เพียงไม่นานก็มีเสียงสัพยอกเสียงหนึ่งดังมาจากจุดที่ห่างไปไกล พี่ใหญ่เฉิน? ทำอะไรอยู่น่ะ?
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง แล้วก็พูดกลั้วหัวเราะฮ่าๆ ข้างบนนี้เย็นสบายดี ได้เห็นทัศนียภาพกว้างไกลด้วย
อีกฝ่ายก็คือตี๋หยวนเฟิงที่ใช้นามแฝงว่าฉินจวี้หยวน สีหน้าของเขาซีดขาวเล็กน้อย คงจะได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย
จวี้หยวน วานรยักษ์?
วานรที่มีเรือนกายใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ ไม่ใช่วานรย้ายภูเขาหรอกหรือ?
เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าชื่อนี้ค่อนข้างจะน่าเตะ
ตี๋หยวนเฟิงไม่มองผู้เฒ่าชุดดำที่น้ำเข้าสมองผู้นี้อีก เขามองไปยังสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายพระราชวงศ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วถามว่า นักพรตซุนกับพี่น้องหวงได้ผลเก็บเกี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว พวกเราต่างก็ได้ผลเก็บเกี่ยวที่ไม่เลว
ตี๋หยวนเฟิงอดไม่ไหวชำเลืองตามองผู้เฒ่าที่กอดต้นไผ่นั่นแวบหนึ่ง ห่อสัมภาระสองใบที่อีกฝ่ายพาดสลับกันนั้น มองดูแล้วหากไม่ใช่แผ่นกระเบื้องก็ต้องเป็นอิฐเขียว ทำไม ตาแก่เจ้ารีบจะไปสร้างบ้านเอาไว้แต่งเมียเข้าบ้านหรือ?
น่าเสียดายที่เฉินผิงอันเดาความคิดในใจของคนผู้นี้ไม่ออก
ไม่อย่างนั้นคงต้องยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย ชื่นชมจากใจจริงว่าอีกฝ่ายคือเทพเซียนตัวจริง
……
หวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าได้ผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือ วัตถุฟางชุ่นที่เป็นยันต์แผ่นหนึ่งบรรจุข้าวของไว้จนเต็ม
ผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรของนครเหนือเมฆก็สะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ ในมือยังหิ้วห่อผ้าอีกสองใบไว้ด้วยความพึงพอใจไม่ต่างกัน บนใบหน้าเต็มไปด้วยแวว ปิติยินดีอย่างที่ปกปิดไม่มิด
หลังจากผู้เฒ่าสองคนมาเจอกัน ก็พากันมายืนที่ชั้นบนของหอเรือนหลังหนึ่ง ก้มหน้ามองการต่อสู้ที่หน้าประตูภูเขา
ผู้ถวายงานเฒ่ายิ้มเอ่ย เป็นฉากหมากัดหมาที่น่าสนุกจริงๆ
หวนอวิ๋นคลี่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
บนเส้นทางของการฝึกตน หากช้าไปก้าวหนึ่ง ก็จะต้องช้าไปทุกก้าวเสมอ
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อ หากไม่มีตนเป็นผู้ปกป้องมรรคา พาเข้ามาในที่แห่งนี้ก่อน แต่เข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนบนสะพานที่มาถึงช้ากว่า ท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิง
ก็ได้แต่ต้องเสี่ยงอันตรายเข้าร่วมการต่อสู้อยู่ด้านล่างนั้นเหมือนกัน
เพียงแต่ว่าหวนอวิ๋นมีสายตาเฉียบแหลม เพียงครู่เดียวก็มองเบาะแสจากบนร่างของผู้ฝึกตนใหญ่จวนไช่เฉวี่ยสองคนนั้นออก มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าพวกนาง จะเป็นเทพธิดาซุนชิง กับอู่ชวินผู้ดูแลกฎศาลบรรพจารย์
ส่วนผู้ฝึกตนหญิงที่ทะยานลมอยู่กลางอากาศ ในมือถือฉินโบราณผู้นั้น ดูจากลักษณะของฉินโบราณ และภาพบรรยากาศยามลงมือ ก็เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นฉิน ‘หิมะปลิวปราย’ คันนั้น
เพียงแต่ว่าในอดีตฉินคันนี้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนหญิงก่อกำเนิด คนหนึ่งของสำนักมังกรน้ำ นางเคยผ่านการเข่นฆ่าริมน้ำที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินมาครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้อาศัยฉินโบราณนี้กับชัยภูมิที่ได้เปรียบ ถึงสามารถเล่นงานให้ก่อกำเนิดเฒ่าขอบเขตเดียวกันถึงกับหายใจหายคอไม่ทัน
แล้วก็เพราะตอนนี้ตกมาอยู่ในมือของผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองของสำนักมังกรน้ำผู้นี้ จึงได้แค่สำแดงวิชาอภินิหารอันเป็นวิชาเฉพาะของฉินโบราณออกมาได้แค่ห้าหก ในสิบส่วนเท่านั้น
ผู้ถวายงานเฒ่าถามเสียงเบา ต่อจากนี้พวกเราจะเดินอ้อมไปยังฝ้าเพดานแห่งนั้น แล้วค่อยจากไปเงียบๆ หรือ? หรือว่าจะไปดูที่ด้านหลังภูเขาก่อน?
หวนอวิ๋นยิ้มกล่าว พวกเราคือผู้ปกป้องมรรคา ให้เด็กสองคนนั่นเป็นผู้ตัดสินใจดีกว่า พวกเราแค่ต้องอำพรางตัวตน ไม่เป็นฝ่ายเข้าไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ การเดินทางครั้งนี้ก็น่าจะไร้เรื่องให้ต้องกังวลแล้ว
หวนอวิ๋นชำเลืองตามองม่านฟ้าเหนือศีรษะแล้วไล่สายตามองไปยังจุดที่ห่างไปไกล ก็คือเส้นอาณาเขตของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้
ความประหลาดที่ป๋ายปี้สัมผัสถึง แน่นอนว่าเจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้ต้องแน่ใจถึงความประหลาดนั้นได้เร็วยิ่งกว่า
เพียงแต่ว่าตรงฝ้าเพดานที่เป็นทางเข้านั้น เขาได้แอบฝังยันต์ที่อำพรางตัวตนเอาไว้ใต้ดิน ขอแค่ไม่เกิดเรื่องผิดพลาดกับยันต์ นี่ก็หมายความว่ายังเหลือทางถอยอยู่
อีกอย่างถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีความลี้ลับอยู่มากมาย แต่กลับไม่มี กลิ่นอายสกปรกชั่วร้ายอยู่แม้แต่น้อย แล้วก็ไม่มีปราณดุร้ายแม้แต่เสี้ยวเดียว จึงทำให้เจินเหรินผู้เฒ่าวางใจได้ไม่น้อย
ภูเขาสายน้ำของพื้นที่หนึ่ง ภาพบรรยากาศที่แสดงออกมานั้นยากที่จะเสแสร้งแกล้งทำได้มากที่สุด
ต่อให้เจ้าจะเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่สามารถสร้างพื้นที่ลับตระกูลเซียน ซึ่งมีเวทอำพรางตาเป็นกลุ่มบุปผาชูช่องดงามขึ้นมาได้ แต่เมื่ออยู่ในสายตาของหวนอวิ๋นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านวิถียันต์ ก็ยังพอจะพบเจอเบาะแส และสัมผัสได้ถึงตั้งแต่เนิ่นๆ
ลัทธิเต๋าของใต้หล้าไพศาล อันที่จริงในอดีตมีสาขาย่อยแยกออกไปมากมาย เป็นทัศนียภาพอันงดงามที่ร้อยบุปผาพากันผลิบาน
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้สาขารองที่เคยมีบารมียิ่งใหญ่กลับมีควันธูปเพียงบางเบา ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร หรืออาจถึงขั้นค่อยๆ สาบสูญไปแล้วด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างเช่นสายของเซียนกระบี่ลัทธิเต๋าแผ่นดินกลางที่เคยรุ่งโรจน์ที่สุด นั่นคือ ภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง อุตรกุรุทวีปในตอนนั้น ต่อให้จะมี ผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ เซียนกระบี่ยืนเรียงรายดุจต้นไม้ในผืนป่า แต่ก็ยัง ไม่กล้าพูดว่าตัวเองได้ยึดครองโชควาสนาแห่งวิถีกระบี่ในใต้หล้าไปถึงแปดส่วน และ ในกลุ่มของสี่ผีตอแยยากบนภูเขาในอดีต เซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าก็ได้ยึดครองพื้นที่ส่วนหนึ่ง มีชื่อเสียงทัดเทียมอยู่กับผู้ฝึกกระบี่และคนเชื่อดาบ ตอนนั้นยังไม่มีเรือน ซือเตาอะไร เพราะฉะนั้นเซียนกระบี่สายลัทธิเต๋าจึงไม่เคยเห็นสถานะผู้ฝึกกระบี่เป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง
หลังจากที่หวนอวิ๋นทอดถอนใจให้กับการเปลี่ยนแปลงของลัทธิเต๋านั้น พอได้เห็นการเข่นฆ่าที่เลือดเนื้อปลิวว่อนตรงตีนเขาก็อดสะท้อนใจอีกไม่ได้
ในสายตาของเจินเหรินผู้เฒ่า พวกคนที่ทุ่มสุดชีวิตเพื่อช่วงชิงโชควาสนาเหล่านั้น น่าจะเป็นเด็กรุ่นหลัง อายุอยู่ในวัยเด็กน้อยทั้งสิ้น
อยู่ดีๆ เจินเหรินผู้เฒ่าก็นึกถึงบทกวีของอริยะปราชญ์ท่อนหนึ่งที่บอกว่า หนุ่มสาวนับหมื่นในสายตา จุดมุ่งหมายขรุขระไม่ราบรื่น
นักกวีในรุ่นหลังอ่านเจอบทกลอนนี้จึงได้เขียนคำอธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า ขรุขระคือคำความหมายตรงข้ามของคำว่าราบรื่น ดังนั้นคำกล่าวนี้จึงเป็นการชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของผู้คนยากจะคาดเดา เส้นทางในหัวใจคนก็คดเคี้ยวขรุขระยิ่งกว่าเส้นทางอันตรายในป่าเขาที่ยาวไกลเป็นพันลี้เสียอีก
หวนอวิ๋นนึกถึงความละโมบและปราณสังหารเสี้ยวหนึ่งของตัวเองก่อนหน้านี้ขึ้นมา ก็ยิ่งรู้สึกจนใจ
ในสายตาของอริยะสามลัทธิ ใครบ้างที่ไม่ใช่เด็กน้อยในสายตาของพวกเขา?
หวนอวิ๋นพลันเอ่ยว่า เจ้าไปปกป้องพวกเขาตอนที่ไปค้นหาโชควาสนาอยู่หลังภูเขา ส่วนข้าผู้อาวุโสจะไปห้ามทัพดูสักหน่อย ตายได้น้อยลงกี่คนก็น้อยลงเท่านั้น
ผู้ถวายงานเฒ่าทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
ความคิดของเขาแล่นเร็วจี๋ หลังจากชั่งน้ำหนักดีแล้วก็เข้าใจในความหวังดีของ เจินเหรินผู้เฒ่า จึงพยักหน้ารับ
เว้นเสียจากว่ากลุ่มของนครเหนือเมฆอย่างพวกเขารีบออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลานั้นเรื่องเละเทะตรงตีนเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ทันระวังลูกศิษย์ ผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำผู้นั้นตายไป ในอนาคตแรงพิโรธดุจสายฟ้าฟาดจาก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของสำนักมังกรน้ำก็จะต้องเยื้องกรายลงมาจากฟากฟ้า
ปกคลุมไปทั่วแคว้นเป่ยถิงและแคว้นฝูฉวี จวนไช่เฉวี่ยและนครเหนือเมฆย่อม ไม่มีใครที่หนีได้รอด บางทีวันนี้ใครที่ได้ผลประโยชน์ไปมาก ก็จะยิ่งต้องแบกรับ โทษทัณฑ์มหาศาล นอกจากนี้หากเจินเหรินผู้เฒ่าสามารถช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่กำลังเข้าสู่ภาวะชะงักงันให้แก่ทั้งสองฝ่าย ให้ทั้งสองฝ่ายนั่งลงพูดคุยกันจนได้ วิธีแก้ปัญหาที่ดีได้จริงๆ นี่ก็จะเป็นความสัมพันธ์ควันธูปที่หวนอวิ๋นช่วงชิงมาคนเดียว สำนักมังกรน้ำ จวนไช่เฉวี่ยและจวนโหวแคว้นเป่ยถิงต่างก็ต้องยอมรับ
หวนอวิ๋นยื่นยันต์แผ่นหนึ่งให้กับผู้ถวายงานเฒ่าของนครเหนือเมฆ แล้วยิ้มกล่าวว่า หากเจอปัญหาก็ให้ใช้ยันต์แผ่นนี้ ข้าจะไปถึงทันที
ผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรเก็บยันต์มาแล้ว ร่างก็พุ่งวูบหายไป
อันที่จริงอารมณ์ของหวนอวิ๋นไม่นับว่าผ่อนคลายนัก นี่คือการไปเป็น กาวประสานใจ ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ดี อย่าให้กลายเป็นว่ายิ่งทำยิ่งเสียเรื่อง กลายเป็นไม้กวนอาจมที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รังเกียจเสียล่ะ
หลังจากที่หวนอวิ๋นปรากฎตัว อีกทั้งยังลงมือ
เขาไม่ช่วยทั้งสองฝ่าย แต่ก็ถือว่าช่วยทั้งสองฝ่าย ยันต์มีเท่าไรก็เรียกออกมาใช้ครบถ้วน สรุปก็คือพยายามขัดขวางไม่ให้คนของทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันต่อไป
ขณะเดียวกันนั้นก็ใช้เหตุผลมาทำให้คนเข้าใจ ใช้ความรู้สึกมาทำให้คนซาบซึ้ง บอกว่าโชควาสนาบนภูเขามีมากมาย หากยังพอจะเชื่อใจเขาหวนอวิ๋น ก็สามารถ ขึ้นเขาไปหาสมบัติด้วยกัน เหตุใดต้องมาเข่นฆ่ากันอยู่ที่นี่ให้บาดเจ็บเสียหายกันไป ทั้งสองฝ่ายด้วย
สถานการณ์ศึกวุ่นวายที่เดิมทีประหนึ่งกระแสน้ำไหลเชี่ยวกรากพลันเปลี่ยนมาเป็นสายน้ำที่ไหลเข้าสู่ทะเลสาบใหญ่ ดังนั้นคลื่นลมจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเมื่อหวนอวิ๋นเรียกคนห้าคนให้ไปปรึกษากันอย่างลับๆ
คนเหล่านั้นได้แก่จานชิงท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิง ซุนชิงจวนไช่เฉวี่ย ป๋ายปี้แห่งสำนักมังกรน้ำ และยังมีผู้นำอีกสองคนของกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลาง ผู้ฝึกตนอิสระมากมาย
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงปรึกษากันได้แผนการที่ทั้งสองฝ่ายซึ่งอยู่กันคนละฝั่งของสะพานต่างก็ถอยกันคนละหนึ่งก้าว แน่นอนว่าทางฝั่งจานชิงกับป๋ายปี้ยอมถอยให้มากกว่า เหตุผลนั้นง่ายดายมาก นั่นคือหากเข่นฆ่ากันไปตลอดทางเช่นนี้ ทางฝั่งของพวกเขา คนที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้จนถึงท้ายที่สุด บางทีอาจมีเพียงป๋ายปี้โอสถทองที่ถูกบีบให้ต้องเลือกเผ่นหนีไปให้ไกลเท่านั้น แน่นอนว่าฝั่งตรงข้ามก็ถูกกำหนดมาแล้วว่า จะมีคนรอดชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่คน อย่างมากสุดก็สิบคน แต่หากโชคไม่ดี อาจมีจำนวนเหลือแค่หนึ่งมือนับเท่านั้น
ดังนั้นการปรากฏตัวของหวนอวิ๋นจึงถือว่าเป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้าสำหรับทั้งสองฝ่าย
ไม่อย่างนั้นไม่ว่าใครก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ขี่หลังเสือแล้ว ลงยาก ได้แต่ทุบหัวอีกฝ่ายให้เละถึงจะยอมเลิกราเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน ภายใต้การชักนำของหวนอวิ๋น เกี่ยวกับการชดเชยให้กับคนที่ รบตายไปของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่ามีการร่างสัญญาไว้คร่าวๆ แล้ว
หลังจากที่หวนอวิ๋นใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจสื่อสารกับป๋ายปี้อย่างลับๆ ป๋ายปี้ถึงขั้นเอาเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งออกมามอบให้กับสามคนของฝ่ายตรงข้ามทันที ให้พวกเขาเอาเงินชดเชยก้อนนี้ไปจัดสรรอย่างเหมาะสมกันเอาเอง
ทางฝั่งของจานชิงและป๋ายปี้ห้าคนนี้ ผู้ถวายงานตระกูลโหวตายไปคนหนึ่ง เกาหลิงเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ชุดเกราะน้ำค้างหวานบนร่างใกล้คำว่าพังภินท์เต็มที ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นฝูฉวีผู้นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร
ตัวจานชิงเองก็ยิ่งหาพัดพับอาวุธลับที่ยังไม่ทันได้นำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นไม่เจอแล้ว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามันร่วงลงไปในลำคลอง หรือว่าถูกเจ้าตะพาบจิตใจชั่วร้ายคนใดแอบเก็บเอาไป
ท่านโหวน้อยชุดขาวผู้นี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ชุดคลุมอาคมก็ยิ่งขาดวิ่นรุ่งริ่ง ไม่เหลือมาด ของคุณชายเจ้าสำราญอยู่แม้แต่น้อย
ทว่าทางตระกูลต้องสูญเสียผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่ภายนอกถือเป็นเสาหลักของตระกูลไปคนหนึ่ง
จานชิงไม่เพียงแต่ไม่ร้องทุกข์กับป๋ายปี้สักคำ กลับกันยังมีสีหน้าเป็นปกติ ไม่พูด ไม่จาอะไร ยกอำนาจใหญ่ในการตัดสินใจเรื่องทุกอย่างให้แก่ป๋ายปี้
นี่ทำให้ป๋ายปี้รู้สึกปลาบปลื้มอย่างมาก
ระหว่างนี้ซุนชิงเป็นฝ่ายใช้เสียงในใจพูดคุยกับป๋ายปี้ที่ตกเป็นรองนางท่ามกลางการเข่นฆ่า สถานที่แห่งนี้จะตกเป็นของใคร จวนไช่เฉวี่ยของข้ายินดีช่วยถ่วงเวลาให้จนกว่าผู้อาวุโสของสำนักมังกรน้ำจะมาถึง พยายามไม่ให้นครเหนือเมฆแจ้งข่าวไปยังสำนักอื่น แต่หากเสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆพาผู้ฝึกตนใหญ่ของสำนักอื่น มาถึงก่อน ก็อย่าโทษหากผู้ฝึกตนจวนไช่เฉวี่ยจะถอนตัวออกไป
เพียงแค่ประโยคนี้ก็ทำให้ป๋ายปี้ต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเจ้าจวนไช่เฉวี่ยผู้นี้เสียใหม่
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากัน เดิมทีต่างฝ่ายต่างก็ออมมือไว้ เกรงว่านอกจากหวนอวิ๋นที่เป็นเจินเหรินผู้เฒ่าแล้ว คนนอกคงยากที่จะมองออก นี่จึงเป็น เหตุให้หลังจากที่พวกนางสัญญาว่าจะเป็นพันธมิตรกันผ่านปากเปล่า ป๋ายปี้ จึงมีความคิดที่ว่าในอนาคตตนจะต้องสร้างมิตรภาพส่วนตัวกับจวนไช่เฉวี่ย
หวนอวิ๋นเห็นว่าทั้งสองฝ่ายคุยกันไปได้พอสมควรแล้วก็รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
คนไกล่เกลี่ยนั้นเป็นได้ง่าย แต่หากคิดจะเป็นคนไกล่เกลี่ยที่ดีกลับยากมาก ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่ต้องมีขอบเขตสูงพอเท่านั้น เกี่ยวกับการกะน้ำหนักไฟด้านใจคนต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
สถานที่ตั้งเก่าของอารามเต๋าบนยอดเขา ร่างของผู้เฒ่าสูงใหญ่คนหนึ่งลอยขึ้นมาท่ามกลางความว่างเปล่า ชำเลืองตามองซากปรักของอารามเต๋าที่กองกันเป็นภูเขาแล้วจุ๊ปากส่ายหน้า เขาเดินไปยังบันไดขั้นบนสุดช้าๆ พูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน พวกเด็กๆ คิดว่าแค่นี้ก็จบเรื่องแล้ว? ใต้หล้านี้มีทรัพย์สินที่เอาไปครองได้ง่ายขนาดนี้เลยหรือ? คนฆ่าแกงกันเองมากที่สุด นี่เป็นเพราะจิตใจคนชักนำทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นเห็นเด็กๆ อย่างพวกเจ้าต่อยตีกัน ความบันเทิงจะอยู่ที่ไหน?
เขากระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งที
ตอนที่เดินมาถึงขั้นบันไดก็หลุบตาลงต่ำมองสองฝ่ายตรงตีนเขาที่หยุดรบกันแล้ว กวาดตามองผ่านไปได้แวบเดียวก็ถูกปราณกระบี่เสี้ยวนั้นพุ่งเข้ามาปั่นคว้านเรือนกายที่เป็นภาพมายาล่องลอยให้แหลกสลาย
เพียงแต่ว่าน้ำในลำคลองที่เป็นสีเขียวมรกตเส้นนั้นกลับมีภาพเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นแล้ว อันดับแรกก็เกิดริ้วคลื่นเป็นระลอก จากนั้นน้ำก็เริ่มเดือดพล่าน
หวนอวิ๋นเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ชายแขนเสื้อสองข้างของเขาพลิ้วไสว ยันต์หลายแผ่นบินพรวดๆ ออกมาราวกับสายน้ำไหล
เพียงแต่ว่าพริบตาเดียวน้ำในลำคลองใต้สะพานก็กลับมาสงบนิ่ง จากนั้นสองฝั่งของสะพานโค้งหยกขาวก็มีองค์เทพชุดเขียวสูงห้าจั้งเดินออกมาฝั่งละหนึ่งองค์ องค์หนึ่งถือทวนยาวสีเงิน อีกองค์หนึ่งถือตรวนเหล็ก ต่างคนต่างมาหยุดยืนนิ่งอยู่ คนละฝากฝั่ง
ขณะเดียวกันนั้น บนสะพานโค้งหยกขาวก็มีไอเมฆหมอกลอยอวลขึ้นมา สุดท้ายมารวมตัวกันเป็นเทพหญิงชุดขาวองค์หนึ่ง ดวงตาของนางเป็นสีทอง สีหน้าไร้อารมณ์ ในมือถือแกนม้วนลักษณะคล้ายม้วนพระราชโองการของลัทธิเต๋า
นางพลิ้วกายขึ้นกลางอากาศสูง คลี่แกนม้วนนั้นออก แล้วเปิดปากพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเสียงจากสวรรค์
ต่อให้เป็นหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าที่มีความรู้กว้างขวาง พอได้ยินคำพูดประโยคนั้นของเทพหญิงชุดขาวแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันเหลวไหลอย่างถึงที่สุด แต่ก็จำต้องเชื่อว่า เป็นความจริงอยู่หลายส่วน
ความหมายคร่าวๆ ก็คือ สถานที่แห่งนี้คือสถานที่บินทะยานพิสูจน์มรรคาของเจินเหรินยุคบรรพกาล เคยอยู่ในลำดับของถ้ำสวรรค์ลำดับที่สามสิบหก ควบพื้นที่มงคลระดับเจ็ดสิบเอ็ด คือสถานที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง พวกเขาบุ่มบ่ามบุกเข้ามาในจวนส่วนตัวของผู้อื่น ทั้งเป็นวาสนา แล้วก็เป็นความผิด ก่อนที่เจินเหรินผู้นั้น จะบินทะยาน ได้มอบโองการให้แก่พวกเขาสามคน โดยยินยอมให้ผู้ฝึกตนรุ่นหลังอาศัยสมบัติที่ได้ไปครองว่ามากหรือน้อยมาตัดสินโชควาสนาน้อยใหญ่ สุดท้ายสามารถอยู่ต่อได้ห้าคน ไม่เพียงแต่สามารถเก็บวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน วิชาลับ ตระกูลเซียนทั้งหมดที่ได้ไปในครองในมือไว้ได้ คนที่เป็นผู้นำยังจะได้รับสถานะ ผู้สืบทอดของเจินเหรินบินทะยาน คนอื่นๆ จะได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราว และจะมีการถ่ายทอดมรรคกถาที่ชี้ตรงไปยังเซียนดินให้อีกวิชาหนึ่ง
ในช่วงเวลาสิบวันต่อจากนี้ สุดท้ายจะมีคนรอดชีวิตอยู่ได้แค่ห้าคน ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างจะถือเป็นโมฆะ ไม่เพียงแต่ไม่เหลือโชควาสนาใดๆ ยังต้องถูกทัณฑ์สวรรค์ ผ่าตายคาที่ ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ หากไม่สามารถช่วยขจัดมลทินสกปรกให้กับอาจารย์ได้ ก็ไม่คู่ควรจะได้รับโชควาสนาครั้งนี้
หลังจากที่ม้วนภาพนั้นถูกคลี่ออกก็พลันเปลี่ยนมาเป็นม่านน้ำใหญ่เหมือนน้ำตกที่ร่วงจากชั้นฟ้ามาสู่พื้นดิน
บนม้วนภาพวาดภาพเหมือนของคนห้าคนเอาไว้
ก็คือห้าคนในตอนนี้ที่ได้รับสมบัติไปมากที่สุด โชควาสนาลึกล้ำที่สุด
นอกจากม่านน้ำตรงจุดนี้แล้ว มุมหนึ่งบนภูเขา มุมหนึ่งด้านหลังภูเขา ขอแค่เป็นตำแหน่งที่มีคนอยู่ก็จะมีม่านน้ำเล็กๆ แขวนตัวอยู่กลางอากาศ
และถึงแม้ว่าเทพหญิงชุดขาวจะเปล่งเสียงพูดไม่ดัง แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับก้องกังวานไปทั้งฟ้าดิน ทุกคนในพื้นที่ลับแห่งนี้ต่างก็ได้ยินกันหมด
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่บนร่างพกพากระบอกเก็บพู่กันหยกขาวที่เป็นวัตถุฟางชุ่นของ เสิ่นเจิ้นเจ๋อแห่งนครเหนือเมฆปากอ้าตาค้าง เขาก็อยู่ในลำดับนั้นด้วย อีกทั้งลำดับขั้นยังไม่ต่ำ เพราะอยู่เป็นอันดับที่สอง
ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ด้านข้างทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล
คนที่อยู่อันดับล่างสุดคือคุณชายหนุ่มพกดาบคนหนึ่ง
ตี๋หยวนเฟิง
คุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อยผู้นี้ก็ปากอ้าตาค้างไปเหมือนกัน
คนที่อยู่ลำดับสี่คือชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมที่ยืนกอดอกหรี่ตาอยู่ด้านหน้า ป้ายศิลาของตำหนักแห่งหนึ่ง
อันดับที่สามคือผู้เฒ่าร่างผอมสูงที่สะพายห่อสัมภาระซึ่งดูเหมือนว่าจะทำมาจากชุดคลุมเต๋า
ก็คือนักพรตซุนที่บอกว่าตัวเองคือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากเรือนเทพสายฟ้า
เวลานี้นักพรตร่างผอมสูงเหงื่อแตกท่วมตัวราวกับตากฝน
อันดับหนึ่ง
ก็คือผู้เฒ่าหยุดดำที่กำลังกอดต้นไผ่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือพื้น
เฉินผิงอัน
บนม้วนภาพที่ทุกคนมองเห็น ไอ้หมอนั่นยังคงไม่ยอมลงจากพื้น ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเกาหัวแรงๆ จากนั้นก็พูดกับม้วนภาพภูเขาสายน้ำที่ลอยอยู่ข้างกายตัวเอง ด้วยสีหน้าจริงจังว่า อะไรกันนี่ เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้วจริงๆ