ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 21 ไม่ใช่พวกพ้อง แต่เป็นศัตรู
ถ้ำเก้าปีศาจ!
ดวงตาหนักแน่นของเจียงหลีกวาดสายตาไปโดยรอบ
ที่นี่คือหุบเขาปู้กุย ป่าลี้ลับในหุบเขาที่ไม่มีวันหวนกลับ มีเมฆหมอกล้อมรอบ เปิดเผยความเยือกเย็นน่ากลัว
ด้านหน้าของนาง นอกจากพวกลู่จ้านทั้งสามคนแล้ว ยังมีรั้วที่พันต้นไม้ด้วยโซ่ที่นับไม่ถ้วน ทางเข้าทางเดียวคือด้านหลังของลู่จ้าน
แม้ว่าการปลุกเนตรญาณของเจียงหลีจะสูญสิ้นไป แต่ว่าการรับรู้ที่ไวต่อสัมผัสยังคงอยู่
นางรับรู้ได้อย่างชัดเจน ในที่ๆ นางมองไม่เห็น มีสิ่งลี้ลับมากมายซ่อนอยู่ หมอกอันหนานี้ปกคลุมได้เป็นอย่างดี เกรงว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็จะโดนคนฆ่าเสียก่อน
“ถ้ำเก้าปีศาจคืออะไร” เจียงหลีถามหม่าหยวนจย่าด้วยน้ำเสียงที่ทุ้ม
หม่าหยวนจย่ามองไปที่ลู่จ้าน ค่อยๆ ปกปิดความกลัวในสายตา กล่าวด้วยเสียงทุ้ม “ถ้ำเก้าปีศาจเป็นชื่อที่เราเรียกที่แห่งนี้ เนื่องจากเมื่อเข้ามาแล้วไม่ตายก็ต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นบางคนก็เป็นบ้าไปแล้ว ดังนั้น…”
เจียงหลีเข้าใจแล้ว
ที่เรียกว่าถ้ำเก้าปีศาจ เนื่องจากนี่เป็นค่ายฝึกที่ฝึกอย่างโหดร้าย ที่ลู่เจี้ยส่งนางมาที่นี่ อาจกล่าวได้ว่ามีเจตนาดี
เหอะๆ
เจียงหลีก้าวเท้าเดินไปหาลู่จ้าน
นางรู้ว่าชายคนนี้กำลังสอดส่องนาง แต่นางก็ไม่ได้สนใจ
“พวกเราต้องทำอะไรต่อ” เจียงหลีกล่าว เมื่อเดินไปอยู่ตรงหน้าของลู่จ้าน
หม่าหยวนจย่าตกใจจนหน้าซีดกระซิบในใจ เจียงหลียังเป็นลูกโคแรกเกิดไม่กลัวเสือ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร
หลังจากนางกล่าวจบ ลู่จ้านกลับหัวเราะออกมา “ดีมาก สมกับเป็นผู้ที่นายน้อยให้ความสนใจ ขอเพียงเวลาสามเดือนที่เจ้าอยู่ที่นี่ คอยเชื่อฟังตั้งใจฝึกฝนตามที่ข้ามอบหมาย ข้ารับประกันได้สามเดือนต่อจากนี้ เจ้าจะสามารถทำให้เย่ว์หนานซีมาสยบใต้เท้าของเจ้าให้ได้”
ฮ่าๆ
เจียงหลีเกือบจะหัวเราะออกมา
อยากรู้เสียจริงว่าหากพวกเย่ว์ชิงหลิวได้ยินที่ลู่จ้านพูดถึงลูกเทวดาของตระกูลเย่ว์ว่าไม่มีน้ำยา พวกเขาจะมีสีหน้าเช่นไร
“ข้าจะคอยดู” กลั้นหัวเราะ ความประทับใจแรกที่เจียงหลีมีต่อลู่จ้านนับว่าไม่เลว
เช่นเดียวกันการตอบกลับของนางก็ให้ความประทับใจที่ไม่แย่แก่ลู่จ้าน
อย่างน้อยก็ไม่ได้มีความหยิ่งผยองในพรสวรรค์ ไม่มีความเกรงกลัวต่อสิ่งอันใด ไม่เอาแต่ใจ เป็นคนที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะ
นี่คือความประทับใจแรกที่ลู่จ้านประเมินแก่เจียงหลี
“ตามข้ามา” ลู่จ้านหันหลัง ก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้า
เจียงหลีเดินตามไปอย่างไม่ต้องคิด สำหรับการฝึกฝนในถ้ำปีศาจทั้งเก้า นางค่อนข้างตั้งตารอคอย หม่าหยวนจย่าก็เดินตามไป แต่ว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกสองคนที่อยู่หลังลู่จ้านดึงตัวไว้
สัมผัสได้ว่าข้างหลังเกิดเรื่องแล้ว เจียงหลีจึงหยุดลง หันหลังกลับไปมองและกล่าวแก่หม่าหยวนจย่าที่ถูกดึงตัวไว้ว่า “ข้าฝึกฝนที่นี่ เจ้าไม่ต้องตามข้าแล้ว”
หม่าหยวนจย่าพยักหน้า มองดูเจียงหลีและลู่จ้านจากไป
หลังจากพวกเขาสองคนไปแล้ว คนหนึ่งในนั้นกล่าว “หม่าหยวนจย่า นายน้อยบอกแล้วในระหว่างที่เจียงหลีฝึกฝนอยู่ เจ้าก็ต้องมาฝึกฝนที่นี่ด้วยเช่นกัน”
หม่าหยวนจย่าตกตะลึง
ทันใดนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป ใบหน้ายุบลง ตกใจเป็นอย่างมาก ตามทั้งสองไปด้วยอาการใจสั่นตับสั่น พวกเขาเดินไปยังอีกทางหนึ่ง
…
สวบ สวบ
ใต้รองเท้าที่เหยียบอยู่บนหญ้าส่งเสียงเบาๆ ออกมา
สี่ทิศเงียบสงัด หมอกยิ่งอยู่ยิ่งหนา เจียงหลียังคงเดินตามหลังลู่จ้าน ในใจสงสัยบางอย่าง ไม่ใช่ว่าจะไปฝึกฝนงั้นหรือ ทำไมถึงเดินนานเช่นนี้ ไม่มีเสียงอะไรเลยหรือ
ค่ายฝึกฝนของตระกูลลู่นี้ ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีนางฝึกฝนแค่คนเดียว แล้วคนอื่นอยู่ไหนกันล่ะ
แล้วนางสังเกตขณะที่ผ่านสายหมอกที่หนาจัด ลู่จ้านสามารถแยกแยะเส้นทางได้อย่างง่ายดาย กลับกัน พอนางเดินมาได้ครึ่งทาง นางหันหลังกลับไปมอง ก็ไม่เห็นทางที่เคยเดินมาก่อนหน้าแล้ว
ที่แห่งนี้ ว่าตามตรงก็คือเขาวงกตแห่งธรรมชาติ เจียงหลีกระซิบในใจ
นางมีข้อสงสัยภายในใจ แต่นางกลับไม่ได้เอ่ยปากถามลู่จ้านไป อย่างไรก็ตามไม่ว่าที่นี่จะซ่อนความลับอะไรก็ตามก็ต้องมีช่วงที่นางรับรู้ แล้วเหตุใดจึงจะไม่ใจเย็นล่ะ
“ถึงแล้ว”
ไม่อาจรู้ได้ว่าเดินทางมานานเท่าใด ลู่จ้านกล่าวขึ้นมาทันใด เจียงหลีก็หยุดตาม หมอกหนาที่อยู่ตรงหน้า ค่อยๆ จางลง ขณะนั้นนางเพิ่งมองเห็น ไม่ไกลนักจากสายตา มีเด็กหนุ่มสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับนางเข้าแถวอย่างเงียบสงบล้วนเป็นเด็กที่อายุสิบสองสิบสาม
แต่ว่าสายตาของพวกเขากลับเหมือนสัตว์ป่าที่ดุร้าย
“ไปยืนตรงนั้น พวกเขากำลังรอเจ้า” ลู่จ้านกล่าวโดยไร้ความรู้สึก
เจียงหลีกะพริบตาไม่พูดอะไร เดินตรงข้างหน้าไปยืนท้ายแถว นางยืนอยู่กับที่ของตน แต่คนรอบข้างนางกลับมองนางด้วยสายตาเยือกเย็น
สายตาเช่นนี้ ออกมาจากตัวของกลุ่มเด็กๆ ทำให้นางตกตะลึง
นางไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป เป็นเพราะว่าวิญญาณของนางเป็นวิญญาณที่เป็นผู้ใหญ่และนางก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเด็ก
แต่ว่าเด็กพวกนี้ล่ะ
เป็นไปไม่ได้ที่ล้วนแต่เป็นคนที่ข้ามเวลามาเหมือนกับนาง
เด็กพวกนี้ ล้วนเป็นคนที่จะมาฝึกฝนด้วยกันงั้นหรือ อย่างนั้นต่อจากนี้ทุกคนก็ล้วนแต่เป็นสหายแล้ว เจียงหลีคิดในใจ
ใครจะรู้นางเพิ่งคิดสิ่งนี้ออกมาก็ได้ยินลู่จ้านใช้น้ำเสียงที่โหดร้ายกล่าวว่า “นับแต่นี้ไป พวกเจ้าไม่ใช่พวกพ้อง แต่เป็นศัตรู”
ศัตรู!
เจียงหลีค่อยๆ ปิดตาลง เข้าใจแล้วว่าทำไมคนอื่นถึงมองนางเช่นนี้ นางเป็นผู้ที่มาคนสุดท้ายไม่รู้กฎระเบียบ คำพูดของลู่จ้านชัดเจนว่าเอ่ยถึงนาง อย่าแกว่งน้ำให้ขุ่นสิ
“หยิบขึ้นมา” ลู่จ้านตะโกนเสียงดัง
จากด้านหลังของเขามีคนถือถาดเดินมาในทันที ข้างบน คลุมด้วยผ้าสีแดง ลู่จ้านฉีกผ้าสีแดงออก เผยให้เห็นถึงก้อนหินที่วางไว้สามแถวเต็มบนถาด
หินวิญญาณ เจียงหลีกระซิบในใจ
เด็กหนุ่มสาวที่อยู่รอบตัวนาง สายตาที่ดุร้ายดุจสัตว์ป่าคู่นั้น ขณะที่มองเห็นหินวิญญาณก็ได้เปล่งแสงที่เร่าร้อนออกมา
“นี่เป็นรางวัลของการฝึกฝนในวันนี้ ใครได้ที่หนึ่งก็จะได้รับมัน” ลู่จ้านประกาศ
ในสายตาของเจียงหลีก็ได้เปล่งแสงอันเร่าร้อนออกมา จ้องมองไปที่หินวิญญาณอย่างใกล้ชิด
จากคำบอกเล่าของหม่าหยวนจย่า นางเข้าใจถึงการฝึกฝนของโลกใบนี้ การดูดซับพลังจิตเป็นสิ่งที่ควร และพลังเนตรญาณสามารถดูดซับจากพลังวิญญาณที่บางเบาระหว่างสวรรค์และโลก และยังสามารถดูดซับพลังจากหินวิญญาณ ที่เป็นพลังบริสุทธิ์และเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาในการดูดซับ หรือคุณภาพต่างๆ แน่นอนว่าอย่างหลังย่อมเหนือกว่า
สะสมพลังเนตรญาณเต็มแล้วก็สามารถทะลุผ่านขั้นถัดไปได้
นางในตอนนี้เพิ่งจะปลุกเนตรญาณเสร็จ ต้องสะสมวิญญาณยุทธ์ตัวที่หนึ่งให้ได้ถึงจะสามารถมีเนตรญาณอันแรกของตนเอง จากนั้นเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ที่สอดคล้องกัน เริ่มต้นอย่างเป็นทางการบนเส้นทางแห่งการฝึกฝน
นางมีเวลาแค่สามเดือน ดังนั้นรางวัลนี้นางจะต้องได้มา
แน่นอนว่าคนที่สมควรจะได้รับหินวิญญาณไม่ได้มีแค่นางคนเดียว เจียงหลีค่อยๆ สังเกตคนอื่นอย่างเย้ยหยัน
นางเข้าใจถึงบทบาทของหินวิญญาณแล้ว บทบาทเหมือนกับหมั่นโถวในสนามประลองในตอนที่นางเพิ่งข้ามมาในโลกนี้
“เริ่มเถอะ ในวงสีแดงนี้ล้วนเป็นสนามรบของพวกเจ้า ใครสามารถเดินมาถึงหน้าข้าคนแรกก็จะได้ที่หนึ่งไปครอง” ลู่จ้านออกคำสั่ง