ลู่เจี้ยกล่าวมาขนาดนี้แล้ว หากเจียงหลียังไม่เข้าใจอีกก็นับว่านางช่างเป็นคนโง่เขลายิ่งนัก!
กว่าหลายชั่วยาม นางพยายามคาดเดาความนึกคิดของลู่เจี้ย นางเข้าใจว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าการประจันหน้ากันจะถูกชายผู้นี้มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรก
เขาเพียงแค่เห็นระดับฝีมือของนางท่ามกลางสนามประลอง ฉะนั้นจึงพานางกลับมาด้วย หรือแม้กระทั่งการรับรู้ถึงตัวตนของนาง คงเป็นเพราะพานางกลับมาแล้วสั่งให้คนไปตรวจสอบภายหลัง หลังการลับฝีปากหรือหยั่งเชิงเพื่อลวงสังหารก็เพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น คือให้นางเผยความสามารถและคุณค่าในตัวนางออกมาให้เป็นที่ประจักษ์
ผู้อารักขาของตระกูลลู่หากมีเพียงแค่ความกล้าหาญคงใช้การมิได้ นางกลับทำตามข้อตกลงของลู่เจี้ย ยอมเดินเข้ามาในหลุมพรางของเขาทีละก้าวเอง เพื่อปกป้องชีวิตจึงต้องใช้สติปัญญาอย่างหนักเพื่อรับมือกับเขา จึงถูกเขามองนางผู้นี้อย่างทะลุทะลวงอย่างเสียมิได้ หากอยากแอบซ่อนไว้ก็คงไม่มีแม้แต่โอกาส
ฉะนั้นนี่จึงเป็นเพียงสนามทดลองเท่านั้น! ดูสิว่านางจะมีคุณสมบัติพอผ่านบททดสอบการเป็นผู้อารักขาของตระกูลลู่หรือไม่
เจ้าเล่ห์นัก! ฉลาดอย่างกับปีศาจ! เจียงหลีสบถในใจ นางพอจะเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมไก่อ่อนอย่างลู่เจี้ยถึงสามารถเอาชนะใจผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองได้ เขาอาจจะไม่เก่งในด้านบู๊ แต่ทว่าทั้งหน้าตาดีและสติปัญญาเป็นเลิศ! แน่นอนว่านางไม่ได้มองข้ามพลังบางอย่างที่ปะทุออกมาจากตัวของลู่เจี้ย ขณะเดียวกันนางก็นึกแค้นใจ ใครกันช่างลือไปได้ว่าลู่เจี้ยนอกจากหน้าตาดีก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก ถอนหายใจเงียบๆ ยาวๆ หนึ่งครั้ง เจียงหลีคงต้องยอมรับชะตากรรมครั้งนี้เสียแล้ว
ช่างเถอะ ดีเสียอีกที่ไม่ต้องมอดม้วยไปเสียก่อน ให้ทุกอย่างมันค่อยเป็นค่อยไป ถึงแม้ตระกูลลู่ใกล้จะพังพินาศย่อยยับเต็มทีแล้ว แต่ในเมื่อก้าวเข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก การพึ่งพิงบารมีตระกูลลู่ก็นับว่าสามารถทำให้อยู่อย่างปลอดภัยชั่วคราวได้ ทั้งหมดทั้งมวลคงต้องรอจนกว่าข้าจะเข้าใจโลกแห่งนี้แล้วค่อยว่ากัน เจียงหลีนึกปลอบตัวเองในใจ
…
“เรียกคนเข้ามา”
เสียงของลู่เจี้ยทำให้เจียงหลีพลันตื่นจากภวังค์ ชายผู้นี้คิดจะเล่นอะไรอีก
ข้างหลังร่างนางมีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
ไม่นานนักเจียงหลีก็ได้กลิ่นเครื่องประทินโฉมหอมจางๆ จากนั้นร่างของหญิงงามสองนางในชุดพลิ้วไสวปรากฏอยู่ในสายตาและยืนประกบซ้ายขวาของนาง
“นายน้อยเจ้าคะ”
“นายน้อยเจ้าคะ”
แม่นางทั้งสองย่อคำนับ
ลู่เจี้ยยกมือขึ้นชี้สั่งเบาๆ “พานางออกไปแล้วจัดการให้เรียบร้อย”
“เจ้าค่ะนายน้อย”
บ่าวรับใช้สองคนรับบัญชาพร้อมเพรียงกัน ขณะที่หันมาเผชิญหน้ากับเจียงหลีสีหน้าของพวกนางก็แปรเปลี่ยนไร้ซึ่งความยำเกรงโดยสิ้นเชิง กระจ่างชัดว่าเย็นชาถึงเพียงไหน
“ตามพวกข้ามาซิ” หนึ่งในบ่าวรับใช้เอ่ยขึ้นในน้ำเสียงนั้นมิได้ให้เกียรตินางเลยสักนิด
เจียงหลีไม่คุ้นเคยกับน้ำเสียงเยี่ยงนี้นัก ทว่ากลับไม่พูดอะไร นางเข้าใจสถานการณ์ของตนเองในตอนนี้ดี นางในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ฐานะของนางจะไปเทียบอะไรกับอนุสาวงามข้างกายของลู่เจี้ยได้ล่ะ
เจียงหลีลุกขึ้นยืน นางยิ้มให้กับลู่เจี้ยอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึงหันร่างออกไปพร้อมกับบ่าวรับใช้สองคน ลู่เจี้ยเผยนัยน์ตาวาวโรจน์ เพราะรอยยิ้มนั้นของนางตอนเดินออกไป และก็เพราะภายใต้เงาหลังอันบอบบางของนางเผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่งทระนง
นางเย่อหยิ่งอะไรอยู่ ลู่เจี้ยไม่เข้าใจนัก
“เจ้าอยู่ที่นี่ชั่วคราวไปก่อน ในนี้เตรียมน้ำอาบไว้ให้และยังมีผ้าที่ซักไว้แล้วด้วย ประเดี๋ยวจะมีคนเอาข้าวและยามาให้ จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าก็รออยู่ที่นี่อย่าไปเพ่นพ่านที่ไหน รอจนกว่านายน้อยจะเรียกหล่ะ”
บ่าวรับใช้สองนางพาเจียงหลีมาที่ห้องๆ หนึ่ง เมื่อสั่งเสร็จก็ระเห็จออกไป
เจียงหลีที่เหลืออยู่เพียงลำพัง ประเมิณดูห้องครู่หนึ่ง ไม่นับว่าโกโรโกโสแต่ก็เรียกว่าประณีตงดงามไม่ได้ ยิ่งความหรูหราคงไม่ต้องพูดถึง นี่เป็นเพียงห้องหับธรรมดาห้องหนึ่ง เทียบกับมาตรฐานชีวิตที่ผ่านมาของเจียงหลีก็เป็นเพียงแค่ที่ซุกหัวนอนของขอทานเท่านั้น
“เฮ้อ อยู่บ้านท่านก็เป็นเช่นนี้” เงยหน้าถอนหายใจ เจียงหลีเดินไปที่ห้องอาบน้ำ
นางทนกับคราบสกปรกบนร่างกายมานานแล้ว! อาบน้ำจนทั่วทุกซอกทุกมุมแล้วเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สะอาดสะอ้าน เจียงหลีจึงรู้สึกว่าตนเองสดชื่นกระปี้กระเป่าขึ้นมาบ้าง ไม่พูดถึงก็คงมิได้ แม้ลู่เจี้ยจะเล่ห์เหลี่ยมจัดปานใดแต่การปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ในจวนนับว่าไม่เลวนัก เสื้อผ้าที่นางสวมใส่คนทั่วไปใช่ว่าจะมีเงินซื้อใส่ได้ ผ้าคาดอกสีฟ้าอ่อนแบบเดียวกับที่บ่าวรับใช้สองคนสวมใส่เพียงแต่ลวดลายต่างกันเท่านั้น
โต๊ะกลมภายในห้องมีกับข้าวเป็นเนื้อหนึ่งอย่าง ผักสองอย่าง ทั้งยังมียา และสุราอีกหนึ่งไห ตอนอาบน้ำเจียงหลีพบว่าบนร่างกายมีรอยฟกช้ำ สงสัยจะเกิดขึ้นตอนนางทะลุมิติมาแน่ๆ เจียงหลีกินข้าวอย่างไม่เกรงใจ ทายาเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนอนเอนหลังลงบนเตียง ขณะที่ในมือถือคันฉ่องพินิจมองใบหน้าที่แปลกหน้านั้น ใบหน้ารูปไข่งดงามได้รูป โหงวเฮ้งนับว่าไม่เลว ดวงตาคู่งามเป็นประกาย ทว่าเทียบกับความงามในร่างเดิมของนางแล้วกลับมีความแตกต่างมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้านี้แม้ยังไม่ได้แย้มยิ้มก็เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์และอ่อนโยน
“ยังไงนี่ก็ไม่ใช่ข้าเด็ดขาด” เจียงหลีทนมองอีกต่อไปไม่ได้ โยนกระจกไปอีกทาง ไม่สนใจจะมองต่อให้วุ่นวายใจ
จู่ๆ นางยันกายลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเคยลองฝึกปราณพลังจิตขับโลหิตแต่ไม่สำเร็จ ทว่านางอยากเรียกพลังกลับเข้าร่างอีกครั้งก็ทำไม่ได้
“หรือบนโลกใบนี้จะไม่สามารถฝึกพลังปราณได้ หรือว่าจะมีกระบวนฝึกวิชาสายอื่นที่แตกต่างกันนะ” เจียงหลีคิดและกระซิบเสียงเบา
กำลังภายในต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด
ทว่าตอนนี้นางกลับอับจนหนทาง ความทรงจำในร่างของเด็กสาวคนนี้ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับตระกูลเจียงหรือไม่ก็เกี่ยวกับโฮ่วจิ้น ส่วนเรื่องฝึกปราณกำลังภายในต้องทำอย่างไรนั้นไม่มีเลยแม้แต่น้อย
“ดูแล้ว คงต้องพึ่งตัวเองเพื่อหาคำตอบแล้วหล่ะ” เจียงหลีถอนหายใจอีกหนึ่งครั้ง
เรื่องฝึกปราณพักไว้ก่อน เจียงหลีเริ่มทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่าง คราวนี้ทบทวนอย่างละเอียดก็ไม่มีสิ่งผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น ตะกอนภายในใจเกี่ยวกับความลับเรื่องมารดาของนางยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสัย ตอนท่านแม่กำลังจะตายให้นางตามหาเจียงเฮ่าพี่ชายให้พบ แต่ว่าเจียงเฮ่าอยู่ที่ไหนกันล่ะ
“ซั่งตู” เจียงหลีเอ่ยชื่อเมืองนี้ออกมา
ฮูหยินเจียงพูดถึงชื่อเมืองนี้ตอนกำลังบอกกับนาง พี่เจียงเฮ่าอยู่เมืองซั่งตูอย่างนั้นหรือ
ส่ายศีรษะไปมา เจียงหลีไม่มีความทรงจำที่แข็งแกร่งสมบูรณ์เกี่ยวกับการตายของท่านแม่ผู้นี้ ต้องรอจนกว่านางจะมีพลังแข็งแกร่งพอ หลังจากที่ปกป้องตัวเองได้แล้วค่อยว่ากัน
อย่าลืมสิ ตอนนี้เจียงเฮ่าเป็นนักโทษหนีคดี ส่วนนางเองก็กลับกลายมาเป็นทาสรับใช้…
สาเหตุของการตกไปเป็นทาสนั้นทำให้แววตาของเจียงหลีพลันแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นทันที และขณะนี้นางก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่ถูกนายน้อยตระกูลลู่จับตัวมา มีหญิงสาวสองนางกำลังเร่งตามหาตัวนางอยู่ ข้างหลังพวกนางยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุราวสิบหกสิบเจ็ดตามมา เด็กหนุ่มผู้นั้นสง่างามราวกับหยกทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกดี ก็มีเพียงความเย่อหยิ่งที่ฉายชัดระหว่างคิ้วบางๆ นั้นทำให้เสียภาพลักษณ์ไปบ้าง
ร่างของเขาสวมอาภรณ์สีขาวล้วนที่จี้หยกแขวนถุงหอมและป้านหยก รัดเกล้าด้วยมงกุฎขนนกจึงเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น
“ท่านนี้ใช่คุณชายเฉิงซีตระกูลเย่ว์หรือไม่”
“ท่านนี้คือเย่ว์หนานซี คุณชายเย่ว์เป็นหน้าเป็นตาของตระกูลเย่ว์ ได้ยินมาว่าพรสวรรค์ด้านการฝึกวิชาบู๊ไม่เป็นรองผู้ใด”
“แม่นางสองคนนั้นล่ะคือผู้ใดกัน ดูอายุอานามพวกนางแล้วน่าจะเป็นแม่ลูกกัน แล้วพวกนางมีความสัมพันธ์อันใดเกี่ยวข้องกับคุณชายเย่ว์หรือ”
“แล้วพวกเขาจะไปที่ใดกัน”
“ดูเหมือนว่าจะเป็น…จวนตระกูลลู่”
เสียงโต้แย้งดังบริเวณสองข้างทางล้วนเข้ามาถึงโสตประสาทการได้ยินของเย่ว์หนานซี เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่จริงแล้วเขาไม่อยากเดินมาทางนี้เสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่อยากเจอเจ้าเด็กคนนั้นที่ใครๆ ต่างชังน้ำหน้า