ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 48 มาพูดคุยกันหน่อย
ในลานต่อสู้ ท้องฟ้าเทาหม่นปรากฏอักขระสีทองลอยมาหนึ่งบรรทัด
‘ทดสอบสำเร็จ จะได้รางวัล’
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมองอักษรตัวใหญ่ที่ลอยกลางอากาศจนมันค่อยๆ จางหายไปไร้ร่องรอยโดยไม่ได้บอกว่าต้องทดสอบสิ่งใดหรือรางวัลอะไร
มีบทเรียนจากครั้งก่อนแล้ว เจียงหลีกลัวเล็กน้อยว่าเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อจะขี้โกงนาง
ทันใดนั้นแสงไร้รูปร่างทั้งสองพุ่งผ่านร่างของนางอย่างรวดเร็วทำให้นางสะเทือนไปทั้งร่าง
มาอีกแล้ว!
ความรู้สึกนี้ไม่ได้แปลกใหม่ ครั้งแรกที่เข้าสู่เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อก็เคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เจียงหลีหัวใจบีบแน่นหรี่สายตาลง
ทันใดนั้นข้างหน้าซ้ายขวาของนางแปลงร่างเงาสองคนอย่างมหัศจรรย์ขึ้นพร้อมกัน
เมื่อนางเห็นร่างทั้งสองอย่างชัดเจน มุมปากของนางอดกระตุกไม่ได้ เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อมาคุยกันหน่อย!
สองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางเป็นตัวนางเองอย่างแน่นอน
ครั้งก่อน เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อกลายเป็นร่างจริงของตัวเองที่หาความแตกต่างไม่ได้สักนิด มาครั้งนี้กลายออกมาสองร่าง เจียงหลีอดสงสัยไม่ได้ ผู้ออกบททดสอบเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อช่างขี้เกียจเสียนี่กระไร หากเป็นเช่นนี้ต่อไป รอนางมาตอนครั้งที่สิบยี่สิบคงไม่ต้องสู้กับตัวเองหนึ่งฝูงหรอกกระมัง
ช่างเถอะ เห็นแก่รางวัลข้าจะไม่เอาความกับมัน หวังว่ารางวัลครั้งนี้จะไม่ทำให้ผิดหวัง เจียงหลีตั้งท่าโจมตี
และในขณะนั้นเอง จู่ๆ เจียงหลีก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณของตนเองกำลังถูกกักขังด้วยพลังวิเศษบางอย่าง
“รวมพลังวิญญาณไม่ได้!” เจียงหลีตื่นตระหนกมองมือทั้งสองข้างของตน
นางเงยหน้ามองตัวเองอีกสองคนตรงหน้า
สีหน้าพวกนางไร้อารมณ์ ท่าทางแข็งกระด้าง
ขณะนั้นเองแถบอักขระสีทองก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือลานต่อสู้ ‘บททดสอบครั้งนี้ ไม่อนุญาตให้ใช้พลังวิญญาณ ใช้ได้เพียงทักษะการต่อสู้เท่านั้น’
เจียงหลีถอนสายตาจากท้องฟ้า นางเข้าใจแล้ว
นางไม่สามารถใช้พลังวิญญาณ สองคนที่อยู่ตรงหน้าก็คงเหมือนกันแน่ ทักษะการต่อสู้! นอกจากพรสวรรค์ด้านทักษะการต่อสู้กับเลี่ยเทียนซื่อแล้ว ช่วงนี้นางยังฝึกหมัดพิฆาตขั้นหก ฝ่ามือพันคลื่น และวิชาตัวเบาหนึ่งย่องพันก้าวอีกด้วย
กระบวนท่าหมัด ฝ่ามือและการทรงตัว!
ก็ดี ถือเสียว่าได้ฝึกทักษะต่อสู้กับข้าไปในตัว เจียงหลียกยิ้มมุมปากที่ไม่ค่อยเหมาะกับรูปลักษณ์เท่าไหร่ แววตาลุ่มลึกปราดมองแสงสีทอง ก้าวขาย่องเบาไปยังเงาภาพลวงตาพุ่งเข้าหาสองร่างที่เหมือนตัวเองอยู่ฝั่งตรงข้าม
ปัง!
เกิดประกายแสงในดวงตาของเจียงหลี หากข้าทำได้ พวกนางก็ทำได้! นางปล่อยหกหมัดกับหนึ่งในสองคนที่เหมือนนาง ฝ่ายตรงข้ามก็ใช้วิชาหกหมัดสวนกลับมาหานางเช่นกัน
ไม่มีพลังวิญญาณแล้วต้องพึ่งการระเบิดของพลังบริสุทธิ์ในร่างกาย ทำให้สองหมัดที่ปะทะกัน พลังทำลายล้างรุนแรงระเบิดกระจายออกมาจากร่องตรงกลาง
การโจมตีนี้หากเพิ่มพลังวิญญาณเข้าไป พลังก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า!
เจียงหลีคนที่สามเริ่มขยับบ้างแล้ว นางใช้ฝ่ามือพันคลื่น มือเล็กๆ กลายเป็นรอยฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับคลื่นจากทุกทิศกระหน่ำเข้ามา ปิดกั้นทุกทิศทางการล่าถอยของเจียงหลี
เจียงหลีตกตะลึงชักหมัดกลับมา ก้าวเดินตามรอยฝ่ามือไปเรื่อยๆ อย่างต้องการจะทำลายร่างหนึ่งในนั้น…
เปิดฉากต่อสู้กับตนเองในลานประลอง
เจียงหลีทั้งสามมีความเข้าใจในทักษะต่อสู้เหมือนกันและพวกนางก็ฝึกต่อสู้กับตนเองอยู่ตลอดเวลา
ปัง!
ปังๆ!
การต่อสู้ที่ดุเดือดทำให้เจียงหลีลืมเวลา ลืมความผิดปกติของลู่เจี้ย ลืมแม้กระทั่งเรื่องนัดหมายต่อสู้ในงานประลองชิงเจียว!
นางหมกมุ่นอยู่กับการทำความเข้าใจในทักษะต่อสู้ นางต้องชนะตัวเองอีกสองคนเพื่อคว้ารางวัลจากเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อให้ได้
ปังงง!
เสียงดังตู้มต้าม มีเงาลอยออกจากวงล้อมการต่อสู้และกระแทกลงไปที่พื้นลานต่อสู้
“แค่กๆ” ฝุ่นฟุ้งตลบตกกระทบเจียงหลีที่นอนบนพื้นจนไออย่างรุนแรงสองครั้ง ให้ตายสิ นางพยุงตัวลุกขึ้นเอื้อมมือกุมท้องที่ตนที่โดนต่อยจนปวด อดที่จะตำหนิในใจไม่ได้ เป็นตัวเองทั้งนั้นถึงกับต้องมือหนักขนาดนี้เชียวหรือ
‘ไม่สำเร็จ’
บนท้องฟ้าเหนือลานประลองต่อสู้มีอักขระสีทองปรากฏขึ้นอย่างไร้ความปรานี
เจียงหลีมองอย่างเย็นชาและรู้สึกรำคาญในใจเล็กน้อย ตัวเองทั้งสองดูเหมือนจะเชื่อมโยงกันเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย พลังการต่อสู้จึงทบเท่าทวีคูณ
อีกทั้งตัวนางทำสิ่งใดได้พวกนางก็ทำได้ ไม่เห็นโอกาสชนะตั้งแต่ต้น
แพ้แล้วก็เริ่มต้นใหม่ แววตาเจียงหลีส่องประกายวูบไหว กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
แต่ทว่าในขณะที่นางเตรียมพุ่งไปข้างหน้า ตัวเองอีกสองคนกลับวิ่งเข้ามาหานางพร้อมกัน ตอนที่นางยังไม่ทันได้โต้กลับพุ่งเข้าร่างของตนเองจากนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เจียงหลีสะเทือนทั้งร่างอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าพลังทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและรวมเข้ากับร่างกายของนาง ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากนางจึงปรับท่าทางนั่งขัดสมาธิบนลานประลองแล้วหลับตาลง
ผ่านไปเนิ่นนานเจียงหลีลืมตาขึ้นมา แววตาประกายความตื่นเต้น
นางสบถ “เชอะ” แล้วลุกขึ้นยืนมองรอบลานต่อสู้ไปทั่วทุกสารทิศ จากนั้นกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ “เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อๆ สรุปเจ้ามีเวทย์มนต์ใดซ่อนอยู่กันแน่”
เมื่อครู่ตอนที่ตัวเองทั้งสองเข้ามาในร่างของนาง นางรู้มีบางอย่างแปลกประหลาด
ราวกับว่าความรู้สึกและความเข้าใจในทักษะการต่อสู้ของตัวเองทั้งสามคนถูกนางดูดกลืนไปทั้งหมด ทำให้นางเข้าใจทักษะการต่อสู้ของทั้งสามลึกซึ้งยิ่งขึ้นในทันที เมื่อก่อนฝึกฝนคนเดียวเพียงลำพัง ปัญหาที่คิดไม่ตกกลับถูกคลี่คลายเช่นกัน
เจียงหลียิ้มอย่างมีเลศนัย
ถึงแม้คราวนี้จะไม่ได้รับรางวัลเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ แต่สิ่งที่ได้รับนี้กลับทำให้นางพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจียงหลี”
ทันใดนั้นเสียงของลู่เจี้ยก็ดังขึ้น
เจียงหลีเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจรู้สึกเหมือนตัวเองถูกพลังบางอย่างดึงออกมาจากเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ และสติกลับคืนเข้าร่างตนเอง
“เจียงหลีๆ”
เรียกติดกันหลายครั้งแต่คนในอ้อมกอดไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาแต่อย่างใด
ลู่เจี้ยขมวดคิ้วเบาๆ สงสัยเพราะนางดูดซับพลังที่รั่วไหลออกมาจากตนเองหรือเปล่าถึงทำให้นางหมดสติ
ร่างกายของเขาแปลกประหลาดมาก ไม่เพียงแค่วิญญาณไม่สมัครสมานกันอีกทั้งยังป่วยบ่อยอีกด้วย ทุกครั้งที่เจ็บป่วย ร่างกายมักจะปรากฏพลังบ้าคลั่งรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้และเกือบจะทำลายเลือดเนื้อในร่างกายของเขา
บังเอิญที่เจียงหลีสามารถดูดซับพลังเช่นนี้และบรรเทาอาการเจ็บปวดของเขาได้ ซึ่งทำให้ลู่เจี้ยแปลกใจระคนสงสัย
ขณะนี้เขากำลังพิจารณาอยู่ว่าพลังนี้สุดท้ายแล้วดีหรือร้ายต่อเจียงหลี
หรือนางจะเป็นผู้มีเก้าเนตรญาณในตำนานที่ไม่มีทางตายง่ายๆ เด็ดขาด ลู่เจี้ยนึกในใจ ถ้าหากพลังนี้ทำร้ายเจียงหลี เขาก็จะไปตามเจียงหลีมาบรรเทาอาการเจ็บปวดอีก
ในขณะที่ลู่เจี้ยกำลังครุ่นคิด เจียงหลีก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ดึงดูดสายตาคือใบหน้างดงามที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
“หล่อจัง” เจียงหลีชมอย่างจริงใจ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอลู่เจี้ย แต่ทุกครั้งที่เจอเขานางมีความรู้สึกบางอย่าง นางอยากเก็บชายหนุ่มผู้นี้เข้ามาอยู่วังของตัวเองไม่ให้ผู้ใดพบเห็น
โดยเฉพาะตอนนี้ที่พวกเขาทั้งสองกำลังนอนเตียงเดียวกัน ลู่เจี้ยโน้มตัวลงจ้องมอง บรรยากาศอ่อนโยนที่คลุมเครือยิ่งทำให้จินตนาการเตลิดไปถึงไหนต่อไหน
—–