ตอนที่ 56 ไป๋หลี่เฟิ่งผู้มีบารมีสูงส่ง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขา หนานอู๋เฮิ่นมองตามด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก ถอนสายตาที่จ้องมองเจียงหลี แล้วก็มองไปในทิศทางเดียวกัน
“ไป๋หลี่เฟิ่งแห่งเมืองจาวซี” เฮ่อเหลียนเฟิงแนะนำด้วยเสียงต่ำ”
แววตาของอู๋เชียนสะท้อนให้เห็นถึงความประหลาดใจเล็กน้อย ลอบมองมู่หว่านโหรวที่จ้องมองไป๋หลี่เฟิ่งอยู่ ถามยืนยันด้วยเสียงต่ำ “เขาคือไป๋หลี่เฟิ่งคนนั้นหรือ”
เฮ่อเหลียนเฟิงพยักหน้า “ใช่ เขาคือไป๋หลี่เฟิ่ง”
เขาสองคนพูดอย่างคลุมเครือ แต่หนานอู๋เฮิ่นกลับไม่กังวลอันใด หลังจากที่ได้ยินชื่อของไป๋หลี่เฟิ่ง ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหน้ามองที่หนุ่มน้อยผู้โดดเดี่ยว พูดด้วยใบหน้ากึ่งยิ้ม “ไป๋หลี่เฟิ่งแห่งเมืองจาวซี อายุสิบเก้าปี เบิกเนตรญาณไปเจ็ดดวง ผู้ที่เก่งกาจที่สุดในยุคนี้ อายุน้อยแต่มีพลังมาก ว่ากันว่าดูแล้วเขาน่าจะเป็นหลิงซื่อระดับเก้า แต่กลับเป็นผู้ที่สามารถข้ามขั้นไปฆ่าคนที่เป็นหลิงเจี้ยงได้ มีชื่อเสียงขึ้นมาจากการต่อสู้ หนึ่งปีก่อน ครอบครัวเขาโดนดูถูก ไป๋หลีเฟิ่งพกแค่อาวุธชิ้นเดียวบุกเข้าไปในจวนของเจ้าเมือง ศึกครั้งนั้นทำให้ผู้คนแตกตื่น เจ้าเมืองแห่งเมืองจาวซีผู้เป็นหลิงเจี้ยงระดับสี่ แต่ทำได้เพียงมองไป๋หลีเฟิ่งเข่นฆ่าผู้คนมากมายในจวนของเขา และฆ่าลูกชายคนเดียวของเขาที่เป็นหลิงเจี้ยงระดับหนึ่ง สุดท้ายแล้วยังปล่อยให้ไป๋หลี่เฟิ่งหนีหายไปได้อย่างลอยนวล”
ไม่ได้มีใครสังเกตเห็นว่าตอนที่หนานอู๋เฮิ่นเล่าเรื่องราวในอดีตของไป๋หลี่เฟิ่ง แววตาของมู่หว่านโหรวเป็นประกายระยิบระยับ
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเฟิงและอู๋เชียนไม่ค่อยสู้ดีนัก ขุนนางในราชสำนักถูกฆ่า ว่ากันตามจริงแล้วไป๋หลี่เฟิ่งควรขอโทษด้วยการตายเสีย แต่เขากลับยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างหน้าตาเฉย ฝ่าบาทก็ไม่ได้เอาความอันใด
มีคนเคยพูดไว้ว่ามีผู้มีอิทธิพลออกหน้าปกป้องไป๋หลี่เฟิ่งต่อหน้าฝ่าบาท
แต่ทว่าผู้มีอิทธิพลท่านนี้คือใครกัน กลับเป็นปริศนามาตลอด
ตอนนี้สีหน้าท่าทางที่เจอกับมู่หว่านโหรว เฮ่อเหลียนเฟิงและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะคาดเดา หรือว่าคนที่ปกป้องไป๋หลี่เฟิ่งในตอนแรกจะเป็นองค์หญิงอันผิงงั้นหรือ หรือว่าจะเป็นอ๋องคัง
ทั้งสองคนสบตากัน และไม่พูดอะไร
สรุปแล้วไม่ว่าเรื่องของไป๋หลี่เฟิ่งจะเกี่ยวข้องกับองค์หญิงอันผิงหรืออ๋องคัง ล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาทั้งสองคนจะคาดเดาได้
หนานอู๋เฮิ่นไม่ได้เป็นกังวลเหมือนกับทั้งสองคนนั้น หลังจากที่มองไป๋หลี่เฟิ่งด้วยความชื่นชมเป็นอย่างมาก เขาก็หันไปมองมู่หว่านโหรวแล้วถามว่า “องค์หญิงรู้จักกับไป๋หลี่เฟิ่งหรือ”
อื้อหือ เป็นคำถามที่ช่างสอดรู้สอดเห็นอะไรเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเฟิงและอู๋เชียนแอบฟัง รอคำตอบจากมู่หว่านโหรว
เดิมคิดว่ามู่หว่านโหรวจะเลี่ยงตอบคำถาม ด้วยตำแหน่งของนางแล้ว ไม่พูดก็ไม่มีใครกล้าว่าอันใด
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เฮ่อเหลียนเฟิงและอู๋เชียนแปลกใจก็คือหลังจากหนานอู๋เฮิ่นถามจบ องค์หญิงอันผิงพยักหน้าอย่างไม่หลีกเลี่ยง “โชคชะตาทำให้เคยได้เจอกับเขาที่เมืองซั่งตู”
“อ้อ ก็ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะคิดอย่างไรกับชายผู้นี้” หนานอู๋เฮิ่นถามด้วยคามสนใจเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันเฮ่อเหลียนเฟิงและอู๋เชียนยิ้มมุมปาก ถูกสวมเขาแล้วๆ องค์หญิงกับไป๋หลี่เฟิ่งมีสัมพันธ์ส่วนตัวกัน ยิ่งบวกกับการที่องค์หญิงให้ความสนใจเขา ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกต่อกัน นายน้อยตระกูลลู่ถูกสวมเขาเข้าให้แล้ว
“หุนหันพลันแล่น พรสวรรค์ไม่มีใครเทียม” มู่หว่านโหรวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แววตาของนางเป็นประกายแล้วพูดต่อว่า “เคร่งขรึม ยากที่จะเข้าถึง”
เฮ่อเหลียนเฟิงดวงตาเบิกโพลง หยุดหายใจแล้วมองไปที่อู๋เชียน รู้เยอะเสียจริง องค์หญิงอันผิงพูดชมไป๋หลี่เฟิ่งก่อน หลังจากนั้นแล้วจึงพูดถึงนิสัยของเขา นี่หมายความว่าไป๋หลี่เฟิ่งปฏิเสธองค์หญิงอันผิงด้วยความแน่วแน่อย่างนั้นหรือ
ทันใดนั้น เขาทั้งสองคนก็รู้สึกว่าลู่เจี้ยโดนสวมเขาอีกรอบ
เมื่อเทียบกับทั้งสองคนที่สนใจเรื่องขององค์หญิงอันผิง หนานอู๋เฮิ่นกลับให้ความสนใจไป๋หลี่เฟิ่งเป็นอย่างมาก ฟังมู่หว่านโหรวพูดจบ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “มีพรสวรรค์ มีเอกลักษณ์ดี ไม่เลวๆ”
“อ้อ เล่ากันว่าวิญญาณยุทธ์ที่หลอมรวมกับเนตรญาณดวงแรกของไป๋หลี่เฟิ่ง ก็คือชิงเฟิ่ง โดยเฉพาะพรสวรรค์ด้านการจู่โจม เรียกกันว่าผู้มีบารมีสูงส่ง” รู้สึกเหมือนว่าตนเงียบอยู่นานเกินไป เฮ่อเหลียนเฟิ่งกระแอมเบาๆ แล้วเข้าร่วมบทสนทนา
อู๋เชียนก็พูดว่า “ชิงเฟิ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ขั้นสองที่ยากที่จะได้มา แต่ชายผู้นี้กลับได้ครอบครอง”
หนานอู๋เฮิ่นพูดว่า “นี่ก็เป็นโชคชะตาและโอกาสของเขา” ในคำพูดนั้นมีแฝงนัยน์ปกป้อง
มู่หว่านโหรวฟังที่สามคนนี้พูด ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ดีมาก ไป๋หลี่เฟิ่งเข้าตาพวกเขาทั้งสามคนแล้ว เช่นนั้นการประลองในครั้งนี้ คงไม่มีใครทำลายความสง่างามของเขาได้
มู่หว่านโหรวมองไป๋หลี่เฟิ่งที่อยู่ด้านล่างอย่างไม่ละสายตา พูดในใจว่า ไป๋หลี่เฟิ่ง เจ้าไม่ยอมให้ผู้ใดช่วย ข้าก็ไม่ได้บังคับเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ไว้ว่าบนโลกใบนี้ในหลายๆ ครั้ง ถ้าพึ่งแต่ตัวเอง ก็จะก้าวไปข้างหน้าได้ช้า
ในขณะเดียวกัน นางก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ จุดประสงค์แรกในการมาที่เมืองซูหนานก็สำเร็จไป อย่างนั้นก็เหลือเรื่องสุดท้ายอีกเรื่องหนึ่ง
…
เจียงหลีเดินไปที่ที่รับสมัคร พูดกับคนรับสมัครว่า “ลงชื่อสมัคร”
“ชื่อ อายุ ระดับขั้น” คนรับสมัครไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
“เจียงหลี อายุสิบสองปี หลิงซื่อระดับห้า” เจียงหลีพูดตอบ
“อายุสิบสองปี หลิงซื่อระดับห้า? เจียงหลี!” ตอนแรกคนรับสมัครประหลาดใจความต่างระหว่างอายุและพลัง ในตอนที่เขานึกออกว่าเคยได้ยินชื่อเจียงหลีที่ไหน ก็ตกใจและเงยหน้าขึ้นมามองไปที่สาวน้อยชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เจ้าก็คือสาวใช้ของตระกูลลู่คนนั้น คนที่ถอนหมั้นกับคนตระกูลเย่ว์” คนรับสมัครถามนางด้วยความสงสัย
เจียงหลีเลิกคิ้วขึ้น
คิดไม่ถึงว่าเรื่องของตัวเองจะรู้ไปถึงคนภายนอก อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริง ไม่เห็นมีอะไรน่าอายเลยที่จะยอมรับ ดังนั้นนางจึงพยักหน้า “ใช่ คือข้าเอง”
ประจวบกับคนที่อยู่รอบๆ เริ่มพูดคุยกันเรื่องนางด้วยเสียงเบาๆ
“เพิ่งจะอายุสิบสองปี หลิงซื่อระดับห้าแล้วหรือ น่าประหลาดใจจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ ข้าอายุตั้งสิบหกปีแล้ว เพิ่งจะหลิงซื่อสี่เอง ข้าก็คิดว่าข้าเก่งกาจมากแล้ว ใครจะไปคิด แม้แต่สาวใช้จวนตระกูลลู่ ข้าก็สู้ไม่ได้”
“สมแล้วกับการเป็นตระกูลลู่ที่ยิ่งใหญ่ของซูหนาน เพียงแค่สาวใช้คนเดียวก็สามารถจัดการกับผู้เข้าประลองที่เก่งกาจได้มากมาย”
“เจ้าก็อย่าพูดเกินไปหน่อยเลย การประลองชิงเจียวครั้งนี้รวมนักสู้ที่มีฝีมือเอาไว้มากมาย สาวใช้ของจวนตระกูลลู่เก่งกาจมากก็จริง แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจที่สุด”
“เจ้าดูตรงนั้น เห็นชายผู้โดดเดี่ยวคนนั้นไหม เขาคือไป๋หลี่เฟิ่งแห่งเมืองจาวซี”
“ไป๋หลี่เฟิ่ง! คนที่ฆ่าลูกชายของเจ้าเมือง ไป๋หลี่เฟิ่งคนที่สามารถข้ามขั้นของตนไปฆ่าคนระดับหลิงเจี้ยงน่ะรึ” เขาพูดด้วยความตกใจ
“ใช่แล้ว เขานั่นเอง ได้ยินมาว่าเขาเป็นหลิงซื่อระดับเก้าแล้ว รอเพียงแค่หลอมรวมกับวิญญาณยุทธ์ตัวที่สอง ก็จะสามารถขึ้นอยู่ในระดับหลิงเจี้ยง เขามาเข้าร่วมงานประลองชิงเจียวครั้งนี้ ข้าว่าคงไม่มีใครเก่งไปกว่าเขาแล้ว”
ไป๋หลี่เฟิ่ง?
เจียงหลีได้ยินคนพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของนางและตระกูลลู่ แต่นางไม่คิดจะอธิบายอันใด หลังจากที่นางได้ฟังเรื่องราวของไป๋หลี่เฟิ่ง นางก็เกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย หันไปมองคนที่สวมผ้าคลุมสีกรมท่าเดินมายังที่ที่รับสมัคร…
—–