ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 86 เจียงหลียอดเยี่ยมมาก
เอาดาบมาให้ข้า!
หลังลู่เจี้ยกล่าวจบ ความโกรธปะทุขึ้นในใจของเจียงหลี นางคำรามในใจ อยากจะคุ้มครองนายน้อยรูปงามเสียจริง!
แน่นอนเมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นเจียงหลีตบเขา ไม่ได้ ข้าเป็นถึงราชินีผู้สง่างาม จะมาโดนผู้ชายหลอกใช้ง่ายๆ ได้เยี่ยงไร
“แค่ก…ข้าอายุยังน้อย อ่อนแอ…”
“นายน้อย องค์หญิงอันผิงเสด็จมาถึงแล้วขอรับ คนติดตามมีอู๋เชียนจากสำนักอู่หลิงเมืองซั่งตู หนานอู๋เฮิ่นจากสถาบันไป๋หยวน” ในขณะที่เจียงหลีคิดหนีจากกับดักของลู่เจี้ย ด้านนอกกลับมีเสียงคนนำข่าวมารายงานดังขึ้น
“…” เจียงหลีมองไปที่ด้านนอกประตูแล้วมองตาลู่เจี้ยอีกครั้ง ลอบด่าในใจ ช่างมาได้ถูกเวลาเสียจริงๆ
ช่างเถอะ!
เจียงหลีถอนหายใจ เดินหันกลับไปด้านหลังลู่เจี้ย ยืนอยู่ข้างหลังที่เขานั่ง
สองมือไพล่ไว้ข้างหลัง ใบหน้าเรียบตึงไร้อารมณ์ ไม่เหมือนนางทาสเลยสักนิดแต่กลับดูเหมือนผู้อารักขาที่ตัวติดกับลู่เจี้ยเสียมากกว่า
อืม ตัวติดกัน!
“พาแขกเข้ามา” ลู่เจี้ยพูด
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าดังมาจากทางนอกประตู เจียงหลีเงยหน้าขึ้นมอง อยากเห็นว่าองค์หญิงอันผิงสรุปแล้วจะเป็นเยี่ยงไร
สำหรับคนอื่นแล้วนางไม่สนใจ
สักพักคนแถวหนึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าสายตาเจียงหลี คนแรกท่วงท่าสง่างาม หน้าตาสดใสสวยงามเหมือนดอกชบาบานสะพรั่ง ระหว่างคิ้วเรียวงามที่คนธรรมดาไม่มี เพียงแต่บุคลิกค่อนข้างเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง นำพาซึ่งความสูงส่งมิอาจเอื้อม
ด้านหลังของนางมีคนตามมาไม่กี่คน
ถ้าแยกสี่คนนี้ก็คงจะเป็นข้ารับใช้ ส่วนอีกสองคนท่าทางไม่ธรรมดาโดยเฉพาะชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีน้ำเงินสง่างามยิ้มตาหยีทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกดี ส่วนอีกคนอายุมากแล้ว คิ้วตาดูเฉียบคมให้ความรู้สึกคบค้าด้วยยาก
ดูเหมือนว่ามองพวกเขาแค่ปราดเดียวเจียงหลีก็มองสถานะพวกเขาได้อย่างชัดเจน
นางกวาดสายตามองหนานอู๋เฮิ่นเบาๆ อืม อย่างไรเสียก็ต้องไปสถาบันไป๋หยวนอยู่แล้ว นางจำเป็นต้องรู้ว่าศิษย์เอกยอดวีรบุรุษทั้งเจ็ดของสถาบันไป๋หยวนมีลักษณะเช่นไร
สายตาเฉียบคมจริงๆ เจียงหลีกระตุกมุมปากรู้สึกสาแก่ใจ หนานอู๋เฮิ่นผู้นี้มองนางปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว ดวงตาฉายแววแน่นอน
หลังจากกวาดสายตามองหนานอู๋เฮิ่นแล้ว เจียงหลีจึงหันไปให้ความสนใจองค์หญิงอันผิง
ไม่อาจยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้สวยมาก!
ความงามของผู้หญิงไม่เพียงงดงามแค่ภายนอกเท่านั้นยังต้องดูอุปนิสัยด้วย พอดีกับที่สองอย่างนี้องค์หญิงอันผิงต่างก็มีทั้งหมด แล้วตัวเองในตอนนี้…
เจียงหลีแอบเม้มริมฝีปากในใจ ร่างกายผอมแห้งช่างไม่มีจุดน่าสนใจเสียจริงๆ หน้าตาหรือ เหอะ! สวยไม่ได้หนึ่งในสิบของนางในภพก่อนเลย
แน่นอนล่ะ นางรู้ดี เพราะว่าอายุยังน้อยยังเติบโตไม่เต็มที่
ใบหน้าของร่างเจ้าของเดิมในอนาคตต้องเป็นสาวงามหายากคนหนึ่งแน่นอน
เจียงหลีกำลังเฝ้าดูผู้คนที่เข้ามาอย่างเงียบๆ และคนเหล่านี้หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้วก็รู้สึกได้ถึงแสงที่ส่องประกายตรงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นมู่หว่านโหรว หนานอู๋เฮิ่นหรืออู๋เชียนพวกเขาล้วนถูกดึงดูดด้วยแสงนั้น
คนที่นั่งเอื่อยเฉื่อยบนตั่งตามแต่ใจมีใบหน้างดงามสะท้านดินสะท้านฟ้าอมตะนิรันดร์กาล สำนวนใดๆ บนโลกเมื่ออยู่ต่อหน้าใบหน้านี้ต่างต้องโศกศัลย์อาดูร
เมื่อความงามถึงขีดสุดจะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงระยะห่าง
ระยะห่างระหว่างเซียนกับคนธรรมดา!
เขาเป็นเซียนก็ไม่ใช่เป็นปีศาจก็ไม่เชิง ราวกับว่าเกิดมาเพื่อให้คนทั้งโลกหลงเสน่ห์หัวปักหัวปำ ดูดซับเอาความสุดยอดระหว่างฟ้าดินไปหมดแล้ว งดงามที่สุดแห่งสรวงสวรรค์และปฐพี
ชั่วขณะหนึ่งมู่หว่านโหรวรู้สึกว่าการหายใจของนางหยุดนิ่ง จิตวิญญาณของนางถูกดูดซับเข้าไปในความงามนั้น
ความงดงามของคนๆ หนึ่ง มันสามารถสร้างปฏิกิริยาต่อเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งนางไม่เคยเชื่อมาก่อน
อีกทั้งวันนี้ได้เจอลู่เจี้ย นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดลู่เจี้ยถึงเจ็บป่วยอ่อนแอเช่นนี้แต่กลับสามารถเลื่องชื่อด้วยความงามได้
มู่หว่านโหรวรู้ว่าตัวเองสวย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เจี้ยแล้ว นางกลับรู้สึกความงามของตัวเองมิสมควรเอ่ยเทียบ
แล้วในขณะเดียวกัน หนานอู๋เฮิ่นที่ยืนตกตะลึงอยู่ข้างหลังนางก็กล่าวขึ้น “ว่ากันว่าราชวงศ์โฮ่วจิ้นมีทัศนียภาพงดงามอยู่สองแห่ง แห่งแรกคือเขาฝูถูที่ซั่งตู อย่างที่สองคือความงามล่มเมืองของนายน้อยตระกูลลู่ เมื่อได้เห็นในวันนี้ สมคำล่ำลือจริงๆ”
ขณะที่พูดเขาก็ยกมือคารวะลู่เจี้ยไปด้วยแล้วถอนหายใจ “ได้เห็นใบหน้าตัวจริงของนายน้อยในวันนี้ การเดินทางมาซูหนานของอู๋เฮิ่นนับเป็นที่พอใจแล้ว”
เพราะคำพูดของหนานอู๋เฮิ่น มู่หว่านโหรวจึงได้สติขึ้นมาจากความงามของลู่เจี้ย
หลังจากได้สติแล้ว ความตกตะลังในแววตาจางหายไปกลับมาชัดเจนดังเดิม แล้วหันกลับไปมองอู๋เชียนที่อยู่ด้านหลังของนาง จากนั้นมองลู่เจี้ยด้วยสายตาว่างเปล่า
“ท่านอาจารย์หนานชมเกินไปแล้ว” ลู่เจี้ยเปิดปากพูดเสียงเรียบนิ่งมิอาจแยกว่าดีใจหรือโกรธ
เขายกมุมปากถาม “องค์หญิงเชิญทุกท่านมาหรือ” ประโยคนี้ช่างโดนใจคนนัก
อย่างไรเสียจุดประสงค์การมาที่นี่ของมู่หว่านโหรว อู๋เชียนและหนานอู๋เฮิ่นไม่ใช่ไม่รู้
หนานอู๋เฮิ่นจึงรีบอธิบาย “ไม่ใช่ขอรับ อู๋เฮิ่นเพียงคอยอยู่ข้างนอกแล้วพบองค์หญิงโดยบังเอิญ”
“ท่านอาจารย์หนานมาเองหรือ” อู๋เชียนเองก็เอ่ยออกมา
ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่หว่านโหรวไม่ได้เปิดปากพูดเลย จนกระทั่งถึงเวลานั้นริมฝีปากสีแดงของนางก็เผยอขึ้นเอ่ยเบาๆ “ลู่เจี้ย การมาของข้าเจ้าก็รู้แน่ชัดแล้ว เจ้ากับข้าไม่ใช่เพื่อนร่วมเดินทางกัน หากเป็นเช่นนี้บางสิ่งควรได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด”
ในคำพูดของนาง ราวกับมันเป็นเรื่องที่แน่นอนและนางไม่ได้รู้สึกเขินอายหรือผิดปกติ
แน่นอนว่าเจียงหลีได้ยินแล้วรู้สึกว่าระคายหูยิ่งนัก
นางเคลื่อนสายตามองไปยังลู่เจี้ย
ในตอนนี้เขายังคงยิ้ม รอยยิ้มนั้นจืดจางราวกับหิมะขาวโพลน มองไม่ออกว่าดีหรือร้าย ความเจ็บปวดใจแปลกอย่างไม่ทราบสาเหตุทำให้เจียงหลีรู้สึกโมโหขึ้นมา
“องค์หญิง ท่านมาหาผิดคนหรือเปล่า เรื่องแต่งงานนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ตระกูลลู่ไม่เคยแถลงแม้แต่ตัวอักษรเดียว หากองค์หญิงอยากยกเลิกเรื่องนี้ล่ะก็ ควรไปหาฮ่องเต้ถึงจะถูก” ลู่เจี้ยพูดเชื่องช้าแต่น้ำเสียงใสชัดเจน
มู่หว่านโหรวขมวดคิ้ว เรื่องนี้นางเพียงแค่คิดว่าอยากให้ลู่เจี้ยรับรู้แล้วถอยออกไป ฝ่ายที่จะต้องทิ้งเรื่องงานแต่งงานก่อนต้องไปกระตุ้นเสด็จลุงของนาง
“ลู่เจี้ย เจ้าต้องรู้ว่าเจ้ากับข้าไม่เหมาะสมกัน เจ้าไม่สามารถฝึกฝนได้ตั้งแต่กำเนิด แต่ทักษะการต่อสู้ของข้าโดยกำเนิดกลับดีมาก พวกเราไม่ใช่คนบนโลกเดียวกันแน่นอน” มู่หว่านโหรวคิดว่าเขาไม่ยอมสละกิ่งทองอย่างตัวเองไป
ก่อนจะมาที่นี่ เพราะเรื่องสัญญาแต่งงาน นางรังเกียจลู่เจี้ยมาก หลังจากได้เจอตัวจริงนางก็เชื่อในรูปลักษณ์ของเขาและรู้สึกในใจว่าถ้าเรื่องนี้สามารถแก้ไข ทั้งสองไม่ใช่ว่าไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้
แต่ท่าทีของลู่เจี้ยกลับทำให้นางไม่ชอบขึ้นมา
“ลู่เจี้ย ข้าเตือนเจ้าดีๆ…”
“องค์หญิง ท่านรีบร้อนเสด็จมาถอนหมั้น เพราะกลัวว่าตระกูลลู่จะนำหน้าก้าวหนึ่ง ทิ้งท่านก่อนหรือ” จู่ๆ เจียงหลีก็เปิดปากพูดขัดมู่หว่านโหรว
ผู้คนกลางห้องโถงได้ยินคำพูดของนางถึงกับตกตะลึง มีเพียงลู่เจี้ยเท่านั้นที่ยิ้มจางๆ เหมือนกำลังดูการแสดงละครอยู่
มู่หว่านโหรวขมวดคิ้ว เผยแววตาเย็นชา
เจียงหลีกลับไม่สนใจสิ่งนี้ จากนั้นประชดประชันกลับไป “นายน้อยตระกูลลู่สง่างามราวเซียนจากสวรรค์ จะมาคู่ควรเหมาะสมกับผู้หญิงสวยแต่รูปจูบไม่หอมอย่างท่านได้เยี่ยงไร”