ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 90 เชื้อไฟมาแล้ว!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามของเจียงหลี ลู่เจี้ยยิ้มเบาๆ “หลีเอ๋อร์ต้องการเรียนรู้พลังจิต ก่อนอื่นต้องเรียนรู้วิธีต้านทานพลังจิตเสียก่อน”
“…” คำอธิบายที่สมเหตุสมผล ทำให้เจียงหลีไม่สามารถมาหักล้างได้
อย่างไรก็ตาม การต่อต้านพลังจิตก็คือการต่อต้านพลังจิต แล้วทำไมต้องการใช้แผนการแห่งความงามของชายหนุ่มกับนางด้วย ไม่รู้หรือว่าสมาธิของนางนั้นแย่มาก
ถ้าหากว่า… หากว่านางไม่สามารถต้านทานมันได้ล่ะ…
เอ่อะ!
ดูเหมือนว่า ตอนนี้นางอยากกินแต่ก็กินไม่ได้! เจ้าร่างเล็กที่สมควรตาย! เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะขบฟันอยู่ในใจ
นั่งอยู่บนเตียงน้ำแข็งที่ตรงข้ามกับลู่เจี้ย ความหนาวเย็นจากเตียงน้ำแข็งนี้ ทำให้เจียงหลีไม่สนใจความงามที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น ลู่เจี้ยพุ่งเข้าหานาง ทำให้นางตกใจ แล้วจึงเอนหลังลงไป
ขณะที่ด้านหลังศีรษะของนางเกือบจะสัมผัสกับก้อนน้ำแข็ง ทันใดนั้น ก็มีมือที่ใหญ่เคลื่อนผ่านเส้นผมของนางเข้ามา และวางไว้ระหว่างนางกับก้อนน้ำแข็งนั้น
เจียงหลีไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นและการปะทะกันจากด้านหลังศีรษะ แต่สัมผัสได้เพียงอุณหภูมิร่างกายที่อบอุ่นและแผ่วเบาจากฝ่ามือของเขา
ตุบๆๆ!
หัวใจของเจียงหลีเต้นผิดจังหวะ
ใกล้แค่เอื้อม นางเม้มริมฝีปากที่โปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความหนาวเย็น อยากจะเข้าไปกัดสักคำจริงๆ อยากลองลิ้มรส จะหวานเหมือนอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า
“หลีเอ๋อร์ ใจเย็นๆ เจ้าลองสัมผัสถึงการมีอยู่ของจิต” เสียงของลู่เจี้ยดู เหมือนจะทะลุเมฆหมอกมาปลุกเจียงหลี
นางนอนอยู่ในอ้อมแขนของลู่เจี้ย ผมที่ห้อยลงมาบนเตียงน้ำแข็งและบนร่างของนาง นางจ้องมองเขาพยายามที่จะรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าจิต
“เนี่ยน คือความว่างเปล่า มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ มันกลั่นตัวจากจิตสำนึกของสติสัมปชัญญะ และเปลี่ยนเป็นพลังที่แตกต่างจากวิญญาณอย่างสิ้นเชิง เนี่ยนซือมีระดับขั้นที่น้อย เพราะเนี่ยนบำเพ็ญยากมาก เมื่อเทียบกับวิธีการอันงดงามของหลิงซือแล้ว เนี่ยนซือค่อนข้างจะธรรมดาทั่วไป ดังนั้นระหว่างหลิงซือและเนี่ยนซือ ผู้คนจำนวนมากเลือกเป็นหลิงซือ และแม้ว่าคิดอยากจะฝึกฝนเป็นเนี่ยนซือ ก็ต้องดูว่าสติสัมปชัญญะของเจ้าแข็งแกร่งเพียงพอหรือไม่ และมีพรสวรรค์ในการตระหนักถึงพลังจิตหรือไม่”
เสียงของลู่เจี้ย ยังคงเข้าไปในหูของเจียงหลีอย่างไม่หยุด
ภายใต้สภาวะที่รุนแรง และรับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังจิต!
“หลีเอ๋อร์ ผ่อนคลาย รู้สึกด้วยใจของเจ้า” ลู่เจี้ยกระซิบข้างหูของนาง
“รู้สึกก็รู้สึก ทำไมต้องจับข้า” จู่ๆเจียงหลีก็พูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่ลู่เจี้ยอย่างงงงวย
ดวงตาของลู่เจี้ยแปดเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และเขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ยกระดับการทดสอบของเจ้า และเพื่อจะทำให้เจ้าตระหนักถึงการมีอยู่ของจิตมากขึ้นด้วย”
“เมื่อครั้งเริ่มต้น ท่านก็บำเพ็ญเช่นนี้มาก่อนหรือ” เจียงหลีถามอย่างกะทันหัน
“…” จุดสนใจของนาง ลู่เจี้ยดึงมุมปากเบาๆ และแอบพูดในใจ ช่างแตกต่างกับผู้อื่นเสียจริง
“ตอนนั้นข้าไม่ได้โชคดีเหมือนหลีเอ๋อร์ ที่มีเนี่ยนซือค่อยช่วยอยู่ข้างๆ” ลู่เจี้ยตอบกลับ
ใช่แล้ว!
เจียงหลีเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา
เขาต้องการปกปิดผู้คนในโลก แล้วเขาจะเชิญเนี่ยนซือมาที่บ้านเพื่อขอคำแนะนำได้อย่างไรเล่า นางรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างแปลกๆ มือเล็กๆ ยกขึ้น ลูบไปที่แก้มของชายผู้นี้
!
ลู่เจี้ยสะดุ้ง และมองไปที่หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาอย่างเงียบๆ
“ไม่มีวิธีแล้วหรือ” เจียงหลีแตะแก้มของเขาช้าๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเสียใจและเสียดาย ‘คน’ ที่งดงามเพียงนี้ แต่ชะตาชีวิตบางยิ่งกว่ากระดาษ น่าเสียดายเสียจริง
ไม่มีวิธีแล้วหรือ?
จากร่างเล็กๆนี้ ประโยคที่พูดออกมา ทำให้หัวใจของลู่เจี้ยที่ถูกแผดเผาอยู่ในหินหนืด รู้สึกว่าได้รับการใส่ใจดูแลจากผู้อื่น และได้รับการเอ็นดูจากผู้อื่น
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเอ็นดูเขา สมาชิกในครอบครัว ต่างรักเขาอย่างสุดซึ้ง และห่วงใยความรู้สึกของเขาทุกอย่าง
แต่ว่า ความรู้สึกที่เจียงหลีให้กับเขานั้น แตกต่างไม่เหมือนกัน
เขากำลังจดจ่ออยู่กับใบหน้าเล็กๆ ของเจียงหลี นิ้วที่เรียวยาวก็ลูบใบหน้าของนางเบาๆ พรรณนาลักษณะใบหน้าของนาง สัมผัสที่อ่อนโยนนี้ ทำให้ร่างกายของเจียงหลีสั่นสะท้านและชาไปทั้งตัว
“หลีเอ๋อร์ หน้าตาที่แท้จริงของเจ้านั้นเป็นอย่างไรกัน” ลู่เจี้ยพึมพำ ดวงตาของนางพร่ามัวเล็กน้อย
ในความพร่ามัว ดูเหมือนว่าเขาจะได้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเล็กเรียวนี้อีกครั้ง คือความงดงามที่นำภัยพิบัติและเสน่ห์อันไร้ที่ติ!
“ท่านกำลังยั่วยวนข้า ท่านรู้ไหม” น้ำเสียงของเจียงหลี กลายเป็นเสียงแหบเล็กน้อย ชายคนนี้ที่สมควรตาย! กล้ามายั่วยวนนาง
สำหรับคำถามของเขา…
เจียงหลีได้ยินมันไม่ชัดเลย!
นางรู้สึกเพียงว่า ริมฝีปากที่มีเสน่ห์นั้นขยับไม่หยุดอยู่ตรงหน้านาง พร้อมกับกลิ่นที่หอมโชยเข้าสู่จมูกของนางอย่างต่อเนื่อง มันทำให้นางหลงเสน่ห์ และยั่วยวนนางให้ติดกับ!
“ยั่วยวน?” ลู่เจี้ยทวนคำนี้แล้วยิ้ม
แน่นอนว่า การเอ่ยคำสองคำนี้ออกมาจากปากของเขา ก็เหมือนกับการเมาดอกท้อ ซึ่งทำให้คนหลงใหลได้เพียงแค่ฟังเขาเท่านั้น แล้วยิ่งฟังคนก็ยิ่งเมา
แววตาของเจียงหลี เริ่มพร่ามัวแล้ว
นางรู้ว่าชายผู้นี้กำลังใช้พลังจิตอย่างเงียบๆ แต่นางก็ไม่ต้องการจะหลุดพ้น มือสองข้างของนางโอบรอบคอของเขาอย่างไม่รู้ตัว ด้วยความเต็มใจที่จะจมอยู่กับความฝันอันไร้ขอบเขตของฤดูใบไม้ผลินี้
“หากข้ายั่วยวนเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร” ลู่เจี้ยหรี่ตา เพื่อปกปิดความคาดหวังในดวงตา
ในตอนนี้ เขาเหมือนสัตว์ร้ายที่เป็นอันตราย ในแต่ละขั้นตอน ได้ทำการล่อเหยื่อให้เข้ากับดักของเขา หลังจากนั้น ก็หาเวลาที่เหมาะสม เพื่อจะกินนางในคำเดียว
ดวงตาของเจียงหลีพร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าเขาติดอยู่ในพลังจิตของลู่เจี้ยแล้ว และเป็นการยากที่จะปลดเปลื้องตัวเอง
แน่นอนความคาดหวังในดวงตาของลู่เจี้ย ได้กลับกลายเป็นความว่างเปล่า ในแววตาที่ประหม่าและเบาบางนี้ มีความต่อต้านซ่อนอยู่เล็กน้อย
เขาไม่ลืม ว่าเขามาที่นี่เพื่อสอนเจียงหลีให้ฝึกฝนพลังจิต!
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของเจียงหลีในขณะนี้ ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาทนไม่ได้ที่จะปลุกเจียงหลีให้ตื่น
เขาชื่นชอบท่าทางที่นางหลงใหลในตัวเขา!
“หากท่านยั่วยวนข้า…” เจียงหลีพึมพำราวกับคิดถึงคำถามของลู่เจี้ย
และลู่เจี้ยเอง ก็รอคอยอยู่เช่นกัน เขากำลังรอให้เจียงหลีต่อต้าน รอให้นางหลุดพ้นจากการควบคุมตัวเอง และตื่นขึ้นมา
แม้กระทั่ง กระแทกเขาออกไปด้วยหมัด!
ทันใดนั้น ลู่เจี้ยรู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกคนดึงลงอย่างรวดเร็ว
เขาเบิกตากว้าง และหลบไม่ทันจึงถูกเจียงหลีดึงเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน
ในทันใดนั้นเอง เจียงหลีก็พลิกตัว และกดเขาไว้ข้างใต้ของร่างกาย ในดวงตาที่พร่ามัวนั้น ก็กลับคืนสู่ความสว่างที่ปกติ “หากท่านยั่วยวนข้า ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ!”
นางโค้งงอริมฝีปากและยิ้ม ร่างเล็กๆ ของนางก็เบ่งบานด้วยความสง่างามที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในความตกใจของลู่เจี้ย เจียงหลีลดศีรษะลง และกัดริมฝีปากโปร่งใสของเขาอย่างไม่ลังเล
!
การหายใจของลู่เจี้ยหยุดนิ่งและร่างกายแข็งทื่อ
อืม หวานมาก! ในที่สุดเจียงหลีก็ได้ลิ้มรสริมฝีปากของเขา แต่ก็ไม่พอใจจะให้เป็นแค่นั้น เพราะต้องการที่จะแง้มริมฝีปากที่ปิดสนิทของเขาให้เปิดออกด้วย…