“พี่ใหญ่ ชิงเกอคือใครหรือขอรับ”
คำถามลู่เสวียนทำให้ลู่เจี้ยหันกลับมามอง ดวงตาดั่งลูกแก้วมองไม่ชัด มีแสงมือมนวูบไหล “ชิงเกอ?”
ลู่เสวียนพยักหน้า “ก็ตอนที่ฉินเทียนอีปรากฏตัวออกมา ข้าเห็นสีหน้าหลียาโถ่วผิดปกติ ปากก็เอ่ยชื่อนี้ออกมา ข้าคิดว่าคนนี้น่าจะเป็นคนสำคัญของนาง”
แววตาลู่เจี้ยมืดหม่นลงกว่าเดิม แต่ว่า ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจคำถามที่ว่า ‘ชิงเกอคือใคร’ กลับทวนคำศัพท์ที่ออกจากปากลู่เสวียน “เจ้าเรียกนางว่าหลียาโถ่ว?”
ลู่เสวียนนิ่งค้างพยักหน้าอย่างงุนงง “ใช่แล้ว!”
มีประกายวาบเข้าแววตาลู่เจี้ย หันหน้าเดินต่อโดยไม่มอง เพียงแค่ว่า ระหว่างที่เขาเดินจากไป เสียงใสดั่งดวงจันทร์ ลอยผ่านเข้าหูลู่เสวียน
“เจ้าใช้พลังสายเลือดโดยไม่ได้รับอนุญาต นับแต่บัดนี้ เจ้ารับโทษไปคุกเข่าต่อหน้าหอบรรพบุรุษเป็นเวลาหนึ่งเดือน” ใบหน้าสวยงามของลู่เสวียนค่อยๆ เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
เขาคิดไม่ออก นี่มันเพราะอะไรกัน!
พลังสายเลือดแห่งตระกูลลู่ห้ามใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อนี่เขาเข้าใจ แต่ คนอื่นจะฆ่าเขาแล้วเชียว ยังจะให้เขารักษากฎไว้รอโดนฆ่าตายอย่างงั้นหรือ
พี่ใหญ่ไม่ใช่คนหัวโบราณนี่นา! ลู่เสวียนตะโกนเรียกร้องในใจ
คุกเข่าที่หอบรรพบุรุษหนึ่งเดือนเนี่ยนะ!?
แค่คิดบทลงโทษนี้ ลู่เสวียนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว
ลู่เสวียนก้มหน้าลงหัวเข่าทั้งสองของตน มองด้วยสายตาเห็นใจ เข่าหนอเข่า ช่างสงสารเจ้าเหลือเกิน เขารู้สึกว่าเข่าจะเสื่อมเสียแล้วสิ!
คร่ำครวญกับชะตากรรมชีวิตตัวเองในหนึ่งเดือนข้างหน้า ทำให้ลู่เสวียนลืมไปเลยว่าพี่ใหญ่ของตนยังไม่ได้ตอบคำถามเขาเลย
ลู่เจี้ยในตอนนี้ได้มาถึงเรือนที่เจียงหลีพักอยู่ เดินเข้าประตูมาก็เห็นฝาแฝดผู้น้องอวี้เฉิน ก็คุกเข่าต่อหน้าเขา “นายน้อย”
ลู่เจี้ยไม่ได้สนใจเขา รูปร่างสูงโปร่งเดินผ่านหน้าเขาไป แขนเสื้อกว้างใหญ่ไหลผ่านหัวอวี้เฉิน เกิดสายลมเบาๆ พัดผ่านกลางอากาศที่แฝงด้วยกลิ่นหอมจางๆ
อวี้เฉินเกิดอาการสติหลุด รอเขาได้สติอีกที ลู่เจี้ยก็เดินหายลับตาไปแล้ว เขาตกใจจนรีบลุกจากพื้นทันที ตามไปอย่างรวดเร็ว
“นายน้อย!” น้ำเสียงอวี้เฉิน เจือด้วยความร้อนใจ รบกวนเจียงหลีที่กำลังรักษาตัวอยู่ข้างในและยังมีอวี้ซูทายาให้นางอยู่ ทว่า พูดจบ ร่างสูงใหญ่ในชุดสีม่วง เดินเข้ามาเหมือนเข้าห้องตัวเอง
“ออกไป!” เจียงหลีขมวดคิ้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ตอนนี้นางเปลือยร่างท่อนบนนอนคว่ำกับเตียง ให้อวี้ซูทำความสะอาดแผลบนผิวหนัง ลู่เจี้ยเดินเข้ามาเช่นนี้ ก็เห็นหมดน่ะสิ ถึงแม้ว่าเรือนร่างนางตอนนี้ไม่มีอะไรน่าดู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะถูกอีตาบ้านี่เอาเปรียบง่ายๆ นะ นอกจากว่า เพื่อความยุติธรรม เขาควรเปิดให้นางดูบ้าง?
“หลีเอ๋อร์ อาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ใครจะไปรู้ ลู่เจี้ยไม่ได้ใส่ใจคำพูดเย็นชาของนาง ยังคงก้าวอาดๆ เดินเข้ามา สายตาเนือยแฝงด้วยความยากจะคาดเดา ตกอยู่บนเรืองร่างขาวราวหิมะ แต่มีบาดแผลเต็มไปทั่วของนาง
“นายน้อย นายหญิงกำลังทายาอยู่เจ้าค่ะ” อวี้ซูรีบเอ่ยขึ้นมาเมื่อทนดูไม่ไหว ยังไงเจียงหลีก็เป็นนายของเขาทั้งในตอนนี้ อวี้เฉินวิ่งตามมา แต่เพราะชายหญิงแตกต่างกันเลยไม่กล้าเข้าไป ได้แต่ยืนรออยู่หน้าประตูอย่างร้อนใจ
“ดีไม่ดีก็ไปถามน้องชายท่านดูสิ อย่ามาขวางการรักษาแผลของข้า” น้ำเสียงเจียงหลีไม่ดีเมื่อใครบางคนยังเดินเข้าใกล้อย่างหน้าไม่อาย
ลู่เจี้ยกลับยื่นมือมารับยาจากอวี้ซูแล้วนั่งลงข้างเตียง อวี้ซูอยากจะต่อต้านแต่ภายใต้ความกดดันของเขา มองไม่เห็นทางที่จะต่อต้านได้ ได้แต่มองเจียงหลีด้วยแววตาละห้อย แต่เจียงหลีก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
แรงกดดันที่ลู่เจี้ยปล่อยออกมา อย่าว่าแต่เสี่ยวยาโถ่วเลย แม้แต่นางเองยังรับมือไม่ไหวเช่นกัน “เจ้าออกไปก่อนก็แล้วกัน”
“แต่ว่า แม่นาง…” อวี้ซูลังแล
ลู่เจี้ยกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “นายน้อยของพวกเจ้าก็เป็นสาวน้อยอุ่นเตียงของข้า พวกเจ้ายังจะกลัวข้ากินนางอยู่หรือ” อวี้ซูอึ้งหน้าแดงระรื่น ก้มหน้าเดินถอยออกไป
ส่วนเจียงหลีมองคนงามที่นั่งข้างเตียงด้วยสายตาสงสัย ทำไมนางฟังจากน้ำเสียงเขาเมื่อกี้ เหมือนมีกลิ่นพิกลๆ
อือ! ตัวลู่เจี้ยเนี่ยน่ะจะมีความรู้สึกพิกลๆ
เจียงหลีปฏิเสธในใจ
ไม่แน่จิ้งจอกที่งดงามนี้คิดแผนไม่ดีอีก คิดเล่นงานนางอีกเป็นแน่!
อวี้ซูเดินออกไปถึงประตูยังไม่ลืมเอาน้องชายไปด้วยแล้วปิดประตูห้องอย่างเบามือ ในห้องเหลือเพียงเจียงหลีกับลู่เจี้ยสองคน
บรรยากาศในห้องเริ่มคลุมเครือ เจียงหลีรู้แปลกพิกลกับท่าทีของเขา แต่ลู่เจี้ยกลับเผยรอยยิ้มที่มีความลึกซึ้ง พูดเอ่ยเสียงเบาว่า “หลีเอ๋อร์ครั้งนี้ที่ปกป้องเสี่ยวเสวียนลำบากเจ้าแล้ว ทำให้ตัวเองบาดเจ็บเช่นนี้ เดียวข้าทายาให้เจ้าเอง”
พูดเสร็จ เขาก็ใช้ช้อนหยกคว้ายาข้นขาว ทาลงแผ่นหลังเจียงหลีอย่างเบามือ บาดแผลเจียงหลีนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการฝืนใช้ ‘จักรพรรดิพิโรธ’ ต้องใช้เวลารักษาภายในสักระยะ ส่วนแผลภายนอก…. ยาที่พระชายาลู่รับสั่งให้คนส่งมา เล่ากันว่าจะไม่ทำให้เกิดแผลเป็น ยาข้นขาวที่ทาลงบาดแผลเกิดความรู้สึกเย็นสบาย
แต่ว่าเจียงหลีขนลุกในใจ ลู่เจี้ยเพิ่งทาไปครั้งหนึ่ง นางก็คว้าผ้าห่มปกปิดเรือนร่างของตน มองด้วยความระแวง “ท่านจะทำบ้าอะไรกัน”
“ทายาให้หลีเอ๋อร์อย่างไรเล่า” ลู่เจี้ยตอบอย่างจริงจัง แต่เจียงหลีกลับระแวงมากกว่าเดิม ทันใดนั้นนางถามขึ้นมาว่า “สายเลือดของตระกูลลู่มีความลับ”
มือลู่เจี้ยที่กำลังทายาหยุดชะงักพร้อมยิ้มขึ้นมา
แม่หนูเจ้าเล่ห์นี่ อยากเปลี่ยนหัวข้อ ให้สิทธิ์อยู่ในกำมือของตนอย่างนั้นสินะ?
“อืม” ลู่เจี้ยตอบเสียงเบา แต่ว่า ยังไม่รอเจียงหลีถามต่อ ก็เงยหน้าสบกับแววตาประกายของนาง
“หลีเอ๋อร์ ชิงเกอคือใคร”
เอ่อ! คำถามไม่ทันตั้งตัวทำให้เจียงหลีนิ่งไป
ชื่อนี้วนเวียนอยู่ในก้นบึ้งหัวใจนาง เมื่อถูกชายหนุ่มเรียกออกมาก็ทำให้นางสติหลุดลอย แววตาห่วงหาหนีไม่พ้นสายตาลู่เจี้ย
ทันใดนั้น ความรู้สึกไม่สบายใจก็แผ่ซ่านออกมาจากใต้ก้นบึ้งหัวใจ เขาอยากจะพบ ’ชิงเกอ’ ผู้นี้เหลือเกิน…