คำพูดของลู่เจี้ย ทำให้ความโกรธพุ่งผ่านดวงตาของลู่จ้าน
เพราะไม่ได้เข้าวังคารวะทักทาย จึงใช้โอกาสนี้เอาคืนโดยสร้างความอับอายให้แก่นายน้อยของเขาหรือ
“นายน้อยขอรับ มีคนมาจากวังหลวงขอรับ” ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีองครักษ์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเพื่อรายงานกับลู่เจี้ย
ลู่เจี้ยคลายปลายนิ้ว ดอกไม้ในมือจึงร่วงหล่นลงสู่พื้น สายตาเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ไม่มีความตกใจแม้แต่น้อย “ไปกันเถอะ ไปรับราชโองการ”
เขาเดินนำ โดยมีลู่จ้านเดินตามหลังไป
ข้าหลวงในวังหลวงประกาศพระราชโองการด้วยปากเปล่า ซึ่งเนื้อหามิได้แตกต่างจากสาส์นลับที่ลู่เจี้ยได้รับมาก่อนหน้านี้
โดยปกติแล้ว พระราชโองการที่ประกาศโดยปากเปล่า จะไม่ใช่ลักษณะที่กล่าวไปอย่างตรงไปตรงมากนัก จะบอกเนื้อหาเพียงว่าลู่เจี้ยได้รับเชิญเป็นตัวแทนของจวนอ๋องลู่ให้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำแห่งราชสำนัก โดยมีเนื้อหาเน้นย้ำประโยคหนึ่งว่า ต้องเข้าร่วมสถานเดียว มิเช่นนั้นจะถือว่าขัดราชโองการ
พอประกาศพระราชโองการเสร็จสรรพ ข้าหลวงก็เดินจากไป
พระชายาลู่รีบเดินเข้ามาหา มองเห็นเงาด้านหลังของบุตรชายกำลังยืนอย่างโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียวอยู่ในห้องโถงใหญ่ จึงอดสงสารไม่ได้ “เจี้ยเอ๋อร์”
เสียงของนางสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
นางรู้สึกสงสารบุตรชายของตน เห็นชัดๆ ว่าเขาขาดวิญญาณจิตไปหนึ่งดวง ไม่สามารถบำเพ็ญปฏิบัติได้ จึงเป็นห่วงเรื่องอายุขัยของเขายิ่งนัก แต่ก็หลีกหนีแผนการชั่วร้ายลับๆ นี้ไปไม่พ้น
เมื่อได้ยินเสียงมารดาของตน ลู่เจี้ยจึงหันกลับมาและมองไปทางมารดาด้วยแววตาที่อบอุ่นว่า “ท่านแม่”
พระชายาลู่เดินเข้าไปหาเขา พยายามยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัส แต่นางก็กังวลว่าอาจทำให้เขาบอบช้ำได้ นางจึงรีบดึงมือที่ยื่นออกไปแล้วครึ่งทางกลับมา
แน่นอนว่าเมื่อนางมือดึงกลับ ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ของลู่เจี้ยคว้ามือของนางไว้ และนำมาวางลงบนแก้มของเขา
“ท่านแม่ ข้าสบายดีนะขอรับ”
คำปลอบประโลมของบุตรชายทำให้พระชายาลู่ถึงกับแสบจมูก โดยน้ำตาเอ่อล้นรอบดวงตา “เจี้ยเอ๋อร์ ลูกชายข้าช่างน่าสงสารนัก”
ลู่เจี้ยยิ้มบางๆ “ในเมื่อข้าตัดสินใจกลับมาเมืองซั่งตู เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้อยู่แล้วขอรับ”
“เจี้ยเอ๋อร์ ข้าต้องการเพียงให้เจ้ามีสุขภาพแข็งแรง ไม่อยากให้เจ้าต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และยิ่งไม่ต้องการให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้” แววตาของพระชายาลู่ดุร้ายขึ้นมาทันที “หากมีใครกล้าทำร้ายเจ้า ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม แม้ว่าข้าจะต้องสู้จนตัวตายก็ไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่”
“โปรดวางใจเถิดท่านแม่ ข้าเป็นบุตรชายของตระกูลลู่ ควรทำเพื่อตระกูลลู่บ้าง หากข้าไม่ยินยอม ก็ไม่มีใครมาทำร้ายข้าได้” ลู่เจี้ยรับประกันกับมารดาของตน
“สำหรับงานเลี้ยงอาหารค่ำแห่งราชสำนักในค่ำคืนนี้ พวกเราจะไม่ไปเข้าร่วม” ระหว่างเดินทางมา พระชายาลู่ก็ได้รับสาส์นลับเช่นเดียวกับลู่เจี้ยและจะปล่อยให้บุตรชายของตนเข้าวัง เพื่อถูกกลั่นแกล้งให้อับอายขายหน้าได้อย่างไร
เมื่อองค์หญิงแห่งรัฐฉู่ต้องการพบหน้าบุตรชายของนาง พวกเขาก็ควรส่งตัวให้เข้าไปพบอย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้เห็นว่าบุตรชายของนางเป็นอะไร! เห็นว่านายน้อยแห่งตระกูลลู่เป็นอะไร!
เขาไม่เพียงแต่จะสร้างความอัปยศอดสูแก่ลู่เจี้ยเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงตระกูลลู่ด้วย!
เพื่อป้องกันลู่เจี้ย ไม่ให้เขาต้องอับอายจากสภาวะความแข็งแรงของร่างกาย ทั้งตระกูลจึงเห็นพ้องต้องกันโดยให้เขาสืบทอดตำแหน่งนายน้อย ทั้งตระกูลลู่ก็ต่างดูแลเขาอย่างประคบประหงม นางจะยอมให้เขาถูกคนอื่นมองเป็นอาหารตาและแพละโลมได้อย่างไร
“ท่านแม่ ไม่ไปไม่ได้นะขอรับ” ลู่เจี้ยส่ายหัวอย่างช้าๆ
“แต่ว่าเจี้ยเอ๋อร์…”
ลู่เจี้ยขัดจังหวะพูดของพระชายาลู่ “ท่านแม่อย่ากังวลไปเลยนะขอรับ ทั้งหมดไว้พลิกแพลงตามสถานการณ์ขอรับ”
เมื่อเขาพูดถึงเช่นนี้แล้ว พระชายาลู่จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนความกังวลไว้แค่ในใจ แล้วกล่าวกับเขาว่า “เอาเถิด พวกเราสองแม่ลูกเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน ข้าก็อยากเห็นจริงๆ ว่าพวกเขาจะกระทำเช่นไรกับเจ้า”
***
งานเลี้ยงของราชสำนักเริ่มต้นขึ้นในช่วงพลบค่ำ
ขณะนี้ ยังเหลือเวลาอีกสักพักหนึ่ง หลังจากอำลาจากท่านแม่แล้ว ลู่เจี้ยไม่ได้กลับไปที่เรือนของตน แต่กลับมุ่งหน้าไปทางเรือนที่เจียงหลีอาศัยอยู่
เพียงแต่ พอเขาเดินไปถึงนอกประตู เขากลับไม่ได้เดินเข้าไป
“อวี้เฉินขอคารวะนายน้อยขอรับ” เมื่อเด็กหนุ่มที่รับใช้เจียงหลีพบกับลู่เจี้ย จึงรีบคุกเข่าลงแทบเท้าทันที ขณะเดียวกัน อวี้เฉินก็แอบตื่นตระหนกในใจ นายน้อยเพิ่งเดินจากไปเองมิใช่หรือ เหตุใดถึงกลับมาที่นี่อีกครั้ง
ลู่เจี้ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ไปบอกนายหญิงของเจ้าด้วย คืนนี้ให้เข้าวังเพื่อร่วมงานเลี้ยงกับข้า” พอพูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไปทันที
รอให้เขาเดินจากไปก่อน อวี้เฉินถึงจะเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เงาด้านหลังที่สง่างามยิ่งนักด้วยความสงสัย
อวี้เฉินส่งต่อคำพูดนี้ไปยังเจียงหลี นางก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“ตามนิสัยของเขาแล้ว หากไม่มาเลย ก็จะเดินเข้ามาหาโดยตรงเลย เหตุใดมาถึงแล้วก็เดินละจากไปเลยเล่า” เจียงหลีบ่นพึมพำหลังจากได้ฟังข้อความจากอวี้เฉิน
อวี้ซูที่อยู่ข้างๆ กระแอมเบาๆ หนึ่งทีแล้วเตือนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แม่นางจะต้องเข้าวังเพื่อร่วมงานเลี้ยงของค่ำคืนนี้ พวกเราต้องรีบลุกขึ้นจัดเตรียมหรือไม่เจ้าคะ”
เอ้อ!
เข้าวังร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำหรือ
“ข้าไม่ไป” เจียงหลีชักสีหน้าทันที นางกำลังบาดเจ็บอยู่ จะไปร่วมงานเลี้ยงได้อย่างไรและก็ไม่ได้เชิญนางด้วย นางเป็นเพียงผู้ติดตามจะไปหรือไม่ก็ได้
ท่าทีที่แน่วแน่ของนาง ทำให้ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันของทั้งสองคนอย่างอวี้ซูและอวี้เฉินถึงกับแสดงสีหน้าลำบากใจอย่างพร้อมเพรียงกัน
อวี้ซูต้องการเกลี้ยกล่อมนาง แต่เมื่อเห็นเจียงหลีหลับตาอยู่ จึงไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวนางเช่นไรดี สุดท้ายนางทำได้เพียงพูดกับน้องชายว่า “เจ้าไปที่เรือนของนายน้อย บอกว่านายหญิงไม่ค่อยสบาย คงจะไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของราชสำนักด้วยไม่ได้แล้ว”
อวี้เฉินพยักหน้า แล้วหันหลังวิ่งออกไปทันที
เด็กหนุ่มผู้นี้มีอากัปกิริยาคล่องแคล่วและว่องไวนัก เพียงชั่วพริบตาเขาก็หายออกจากเรือนของเจียงหลีไปเสียแล้ว
หลังจากขอเข้าพบลู่เจี้ยแล้ว พออวี้เฉินพูดในสิ่งที่พี่สาวของตนสั่งอีกรอบจนเสร็จสรรพแล้ว ก็รู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบก็เย็นเยือกลงทันที
ช่างน่ากลัวนัก! หัวใจของอวี้เฉินสั่นสะท้านและนำศีรษะของเขามุดเข้าไปที่หน้าอกอย่างรุนแรง
ลมหายใจที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่านายน้อยผู้งดงามดุจเทพบุตรนั้นกลายเป็นบุคคลที่น่ากลัวยิ่งนัก น่ากลัวยิ่งนัก!
“ลู่จ้าน” ลู่เจี้ยซึ่งนั่งอยู่ด้านบนสุดเอ่ยปากเรียกอย่างช้าๆ
“ขอรับ” ลู่จ้านก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว รอรับคำสั่งของลู่เจี้ย
ลู่เจี้ยกล่าวอย่างใจเย็นว่า “หากเจียงหลีไม่ยอมไป ก็ให้มัดนางขึ้นรถ”
โอ้ะ!
เมื่ออวี้เฉินได้ยินเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจและมองไปที่ลู่เจี้ยด้วยความตะลึงงัน
แน่นอนว่าหลังจากมองเขาเสร็จแล้ว เขาก็รีบลดศีรษะลงอีกครั้งด้วยจิตใจที่ลนลาน สีหน้าของนายน้อยดูแย่มากจริงๆ!
ขณะเดียวกัน เขาก็กังวลแทนเจียงหลีเช่นกัน เพราะกลัวว่านางจะถูกลงโทษหากทำให้นายน้อยโมโห
“ขอรับ” แม้ว่าลู่จ้านจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคไม่ให้เขาปฏิบัติตามคำสั่งของลู่เจี้ยอย่างเคร่งครัด
“เจ้ากลับไปเถิด” เสียงของลู่เจี้ยลอยมาจากเหนือศีรษะของอวี้เฉิน
อวี้เฉินที่รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก็รีบลดศีรษะลงและถอยหลังจากไปทันที พอออกจากเรือนของลู่เจี้ยแล้ว เขาก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกตรงบริเวณแผ่นหลัง เพราะเสื้อผ้าเปียกเหงื่อจนชุ่ม
เขาไม่ทันแม้แต่จะจัดระเบียบตัวเองก่อน ก็รีบวิ่งกลับไปที่เรือนของเจียงหลีอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ขมขื่นและรายงานสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินให้แก่เจียงหลี
พอพูดจบแล้ว เขาอดพูดเกลี้ยกล่อมไว้ไม่อยู่ “แม่นาง พวกเราฟังคำของนายน้อยเถิดขอรับ อย่าทำให้เขาหงุดหงิดเลย มิเช่นนั้นท่านจะเดือดร้อนเอาได้นะขอรับ”
เจียงหลีขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำพูดนั่นแล้วกล่าวว่า “เขาบอกให้ลู่จ้านมามัดข้า!?”
“ขอ…ขอรับ…” อวี้เฉินพูดตะกุกตะกัก
ความวิตกกังวลก็ปรากฏขึ้นในแววตาของอวี้ซู “นายหญิง ให้บ่าวเตรียมเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”
เจียงหลีไม่ได้ตอบอวี้ซู เพียงแต่กัดฟันแล้วกล่าวว่า “เขาเป็นบ้าอะไรอีก” ลู่เจี้ยในวันนี้ ช่างกวนบาทานัก!
นางมิใช่เกี้ยวพาราสีเขาเพียงครั้งเดียวเสียหน่อย เหมือนกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ต้องโกรธแค้นกันถึงเพียงนี้เลยหรือ
เจียงหลียิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ
ทว่า เวลานี้ เสียงของลู่จ้านดังมาจากด้านนอก “เจียงหลี คำพูดของนายน้อย เจ้าคงรับรู้แล้ว เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย”