…ช่างกล้า อาจหาญเช่นนี้เลยหรือ!
ดวงตาของลู่เจี้ยเบิกกว้างและดวงตาที่ลึกซึ้งนั้นส่องแสงประกาย ทำให้มองไม่ออกว่ากำลังสุข ทุกข์หรือตกใจอยู่กันแน่
หญิงสาวผู้กล้าหาญคนนี้ คาดไม่ถึงว่า…
รสชาติดีนัก! เจียงหลีแอบชื่นชมในใจ
ผิวที่หอมหวานของลู่เจี้ย ทำให้นางอดใจไม่ไหวที่จะเลียติ่งหูที่แดงก่ำขึ้นอีกครั้ง
พอถึงครั้งนี้ ลู่เจี้ยถึงกับระเบิดออกมา
พลังลับที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเขาได้ระเบิดออกมาและก่อตัวเป็นพายุหมุนไร้รูปร่าง ล้อมรอบอยู่ข้างกายเขา
เพียงแต่พลังที่ปรากฏขึ้นนี้ ก็ถูกร่างกายที่โลภของเจียงหลีกำลังดูดซับอยู่
อาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกร่างกายของนางภายใต้คุณประโยชน์ของพลังนี้ ทำให้ได้รับการฟื้นฟูอย่างน่าประหลาดใจ เจียงหลีรู้สึกว่าร่างกายของตนค่อยๆ ร้อนขึ้น ราวกับว่ากำลังแช่น้ำพุร้อนอยู่
เจียงหลีมีความสุขนัก โดยความตื้นตันนี้ได้พุ่งออกมาจากดวงตาของนาง
การเคลื่อนไหวในมือ ยังไม่หยุดนิ่ง!
“เจียงหลี!”
ลู่เจี้ยระงับความโกรธเอาไว้ กัดฟันเรียกชื่อหญิงสาวผู้กล้าหาญนางนี้
แต่ทว่า ไม่รีรอให้เขาตำหนิตนก่อน หญิงสาวใช้มือทั้งสองประคองแก้มของเขาไว้ ไม่ยอมให้ขยับ
ลู่เจี้ยมองไปที่หญิงสาวซึ่งนอนอยู่บนตัวเขา ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ มิใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกถึงพลังภายในร่างกายที่ได้ปล่อยรั่วไหลออกมา
เป็นเพราะรู้สึกได้ ถึงรู้สึกตกใจเช่นนี้
นางสามารถทำให้พลังภายในร่างกายข้าปล่อยรั่วไหลออกมาด้วยวิธีนี้จริงๆ หรือเนี่ย!
ครั้งที่แล้ว ครั้งนี้!
ในที่สุด ลู่เจี้ยก็แน่ใจแล้วว่าเพราะเหตุใดผู้หญิงคนนี้ถึงมักจะยั่วยวน ล่อใจเขาอย่างกล้าหาญเป็นระยะๆ เป็นเพราะนางรู้ความลับนี้มานานแล้ว
เพราะพลังในร่างกายของเขามีประโยชน์ต่อนาง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงเข้ามาสนิทสนม เข้ามายั่วยวนตนเช่นนี้
พอลู่เจี้ยรู้ความจริงแล้ว ก็รู้สึกโกรธเคืองในใจ
ร่างกายที่เคยเงียบสงบ บัดนี้ กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
ลู่เจี้ยผลักเจียงหลี หมุนตัวแล้วกดนางไว้ใต้ตัวเขา
การล้มทับตอบโต้ที่ไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของเจียงหลีเบิกกว้าง เขาจ้องมองสาวงามที่มีใบหน้าหม่นหมองเล็กน้อยอย่างไม่ละสายตา
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาอธิบายไม่ถูก
มือที่มีขนาดใหญ่ของลู่เจี้ยจับข้อมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น แล้วกดไว้กับเตียง
ผ้าห่มที่ยุ่งเหยิงคลุมทั้งสองคนไว้ ทำให้เห็นแสงสว่างบนเนินอกของเจียงหลีไม่ชัดเจนนัก
น่าเสียดายที่ดวงตาของลู่เจี้ยในเวลานี้กลับชัดเจน และความโกรธที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกก็ปรากฏขึ้น เขามิได้หลงใหลกับความงามที่อยู่ตรงหน้าเลยและที่สำคัญคือไม่ได้ตามใจใครบางคนตามที่ผู้นั้นปรารถนาได้อีกแล้ว ใบหน้าที่ตึงแน่นและการเม้มปาก ล้วนถ่ายทอดอารมณ์ที่ไม่ดีนักของเขาในขณะนี้
ผมดำเงาถูกลู่เจี้ยปกคลุมอยู่ แสงที่อยู่ตรงหน้าของเจียงหลีเปลี่ยนเป็นมืดสลัวเล็กน้อย
ทว่า นางยังคงสังเกตเห็นได้ว่าลู่เจี้ยมีบางอย่างที่ผิดปกติไป เขากำลังโกรธอยู่!
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีรู้สึกได้ถึงความโกรธอย่างรุนแรงจากลู่เจี้ย เขาเก็บซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเองไว้อย่างดีเยี่ยมจนผู้คนไม่สามารถรับรู้ได้โดยง่าย นับประสาอะไรกับการคาดเดาว่าอารมณ์ทุกข์สุขของเขาว่าจริงหรือปลอม
“ท่านโกรธหรือ” เจียงหลีไม่ได้ขัดขืน เพียงแต่เอ่ยถาม
คำพูดของผู้หญิงคนนี้ ทำให้ลู่เจี้ยถึงกับแอบยิ้มที่มุมปาก
ในรอยยิ้มมีอารมณ์ของการเสียดสีเล็กน้อยปนอยู่ด้วย เขากำลังหัวเราะตัวเอง เพราะคาดไม่ถึงว่าจะถูกเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งเล่นงานเช่นนี้
“เหตุใดจึงโกรธหรือ” เจียงหลีขมวดคิ้วด้วยความสับสน
ชั่วครู่ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดถึงโมโหได้เล่า ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดถึงเป็นเขาที่แสดงอาการโกรธออกมา แต่นางกลับรู้สึกอึดอัดเช่นนี้
ราวกับว่าไม่ชอบเห็นเขาโกรธ และยิ่งไม่ชอบที่เขาโกรธนั้นมีสาเหตุมาจากตน
เป็นเพราะว่ายั่วเขามากจนเกินไปหรือ เจียงหลีคาดเดาในใจ
นางพูดต่ออย่างแน่วแน่ในใจว่า หากมีอะไรที่ไม่พอใจ ขอให้พูดออกมา ครั้งหน้าข้าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
คำถามที่ไร้เดียงสาของหญิงสาวนั้น เหมือนกับการเทน้ำราดลงบนความโกรธของลู่เจี้ย
“เจียงหลี แม่ตัวดี!” เสียงที่ดุดันหม่นหมองดังออกมาจากปากของลู่เจี้ย
พอเจียงหลีคิดว่าเขาจะพูดต่อหรือตำหนิอย่างรุนแรงว่านางทำอะไรที่ไม่สมควร เขาก็ปล่อยนางทันทีแล้วลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป โดยไม่หันกลับมามองหน้านางอีกเลย
“โกรธเคืองอะไรนักหนา” เจียงหลีลุกขึ้นจากเตียงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของตน แล้วบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ
หลังจากที่ลู่เจี้ยเดินจากไปด้วยความโกรธ อวี้ซูที่รออยู่ข้างนอกอย่างอกสั่นขวัญแขวนเป็นเวลานานก็เดินเข้ามาด้วยความตกใจ “นายหญิงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ นายน้อยนี่ก็จริงๆ เลย ท่านยังบาดเจ็บอยู่ เหตุใดถึงไม่คำนึงถึงร่างกายของท่านเลย ยังจะให้ท่านปรนนิบัติ…”
เอ่อะ!
เสียงของอวี้ซูหยุดลงทันที
นางตะลึงงันอยู่กับที่และมองไปที่ผิวซึ่งถูกเปิดออกของเจียงหลี เดิมทีบาดแผลยังคงมีเลือดไหลพรากอยู่ ทว่า บัดนี้กลับเหลือเพียงสะเก็ดแล้ว
สะเก็ดนั่นไม่ใช่สะเก็ดใหม่ แต่เป็นสะเก็ดที่กำลังจะหาย
นี่…เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
อวี้ซูรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
แต่นางกลับไม่รู้ว่าหากเทียบกับความประหลาดใจของนางแล้ว เจียงหลีกลับรู้สึกเสียใจ ช่างเสียดายนัก เหลือเพียงนิดเดียวเท่านั้น พลังที่ลู่เจี้ยปล่อยรั่วไหลออกมาก่อนหน้านี้ ได้รักษาอาการบอบช้ำของข้าไปพอประมาณแล้ว หากขอเพียงอีกสักนิด อาการบาดเจ็บของข้าก็จะหายเป็นปกติแล้ว ข้าก็คงไม่ต้องมานั่งพักฟื้นอยู่ที่จวนอ๋องลู่ต่อไปและสามารถไปที่สถาบันไป๋หยวนได้เร็วขึ้นด้วย
“ไปเตรียมน้ำมาที ข้าอยากอาบน้ำแล้ว” เจียงหลีสั่งอวี้ซู
อวี้ซูกะพริบตาและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยถอยออกไป
อีกด้านหนึ่ง ลู่เจี้ยเดินออกจากเรือนของเจียงหลีและกลับไปที่เรือนของตน อารมณ์ค้างที่ติดอยู่ภายในใจ กลับไม่มีทีท่าจะลบเลือนให้จางหายไปได้
เขาไล่ทุกคนออกไปและยืนอยู่เพียงคนเดียวในลานกว้างของตนและปล่อยให้เกสรดอกไม้ร่วงหล่นใส่ตัวเขา
นี่ข้าโกรธอะไรหรือ ครุ่นคิดเรื่องพลังของตนอยู่ชั่วครู่ หากมีคุณต่อนาง ข้าไม่ควรช่วยเหลือให้บรรลุผลสมความปรารถนาหรอกหรือ แล้วข้าจะโมโหไปทำไมกัน ลู่เจี้ยถามใจตัวเอง
เจียงหลีเป็นคนที่เขาเลือกเอง และเกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลลู่ด้วย
สิ่งที่เขาต้องทำคือพยายามฝึกฝนนางอย่างเต็มที่ และปล่อยให้นางเติบโตโดยเร็วที่สุด หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดเขาถึงต้องโกรธด้วยเล่า
ไม่ว่าลู่เจี้ยจะเฉลียวฉลาดสักเพียงใด ก็คิดไม่ตกว่าความโกรธของตนนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร
ข้าที่กำลังจะตาย หากมีประโยชน์ต่อนาง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ลู่เจี้ยได้แต่พูดกับตัวเองในใจ
ดูเหมือนว่าการพูดปลอบประโลมตัวเองเช่นนี้ค่อยๆ ได้ผลแล้ว
อารมณ์ที่ขมุกขมัวระหว่างคิ้วของเขาค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ และใบหน้าที่ตึงแน่นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายกลับคืนสู่ความสุขสบายแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้ ถูกเจียงหลียั่วให้เกิดโทสะจนหัวใจเต้นแรง แต่ตอนนี้ก็กลับสงบลงและคงที่แล้ว
“นายน้อยขอรับ” เสียงของลู่จ้านดังมาจากด้านนอกซึ่งอยู่ไกลออกไป
ไม่มีคำสั่งจากลู่เจี้ย เขาเลยไม่กล้าเข้าไปใกล้ จึงพูดจากระยะไกลเพียงเท่านั้น
พอได้ยินเสียงของเขา ดวงตาของลู่เจี้ยก็สว่างไสวขึ้นเล็กน้อย สงบสติอารมณ์และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “เข้ามาได้”
เมื่อเสียงพูดจบลง ลู่จ้านก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาพร้อมกับกำหมัดแสดงความเคารพ “นายน้อย ข้าเพิ่งได้รับสาส์นมาว่าองค์หญิงน้อยแห่งรัฐฉู่จะมาเยี่ยมเยียน โดยนางได้กล่าวถึงความงดงามของนายน้อยด้วยขอรับ ฮ่องเต้จึงทรงโปรดให้คำมั่นสัญญาว่าจะปล่อยให้นางอิ่มเอิบกับอาหารตา ดังนั้น ใช้เวลาอีกไม่นาน ราชโองการคงจะส่งมาถึงจวนอ๋องลู่เพื่อเชิญร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำแห่งราชสำนักในค่ำคืนนี้ขอรับ”
พูดถึงเพียงเท่านี้ สีหน้าของลู่จ้านก็เย็นเยือกแล้ว
เขาแอบมองไปที่ลู่เจี้ย กลับพบว่าเขายังคงอมยิ้มอยู่เล็กน้อย
ลู่เจี้ยยื่นมือไปเด็ดดอกไม้และพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบว่า “เขาคงอยากตำหนิข้าที่เข้าเมืองซั่งตู แล้วยังไม่ได้เข้าไปน้อมคารวะเขาก่อน”