แววตาที่สดใสของเจียงหลีเต็มไปด้วยความยั่วยุ
แววตาเช่นนั้นทำให้ฉู่เฟยชิงต้องขมวดคิ้วขึ้นและปรากฏดวงตาที่ไม่มีความสุขเลย เป็นเพียงนางทาสรับใช้ บังอาจยั่วยุนางเลยหรือ
“เจ้ากำลังมองหาอะไรหรือ” ฉู่เฟยชิงยกคางขึ้นและมองไปที่เจียงหลีโดยจากด้านบนมองลงไปด้านล่าง
สายตาทั้งสองข้างที่เฉียบขาดของมู่เจิ้งเฟิงมืดลงชั่วขณะโดยไม่พูด ดูเหมือนว่าเขาจงใจปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนั้น
เขาซึ่งเป็นฮ่องเต้ยังไม่พูดอะไรเลย คนอื่นยิ่งไม่กล้าพูดหรอก
เพียงแต่เมื่อมู่เจิ้งเฟิงมองไปที่ลู่เจี้ยซึ่งยืนอยู่อย่างนิ่งเงียบภายในท้องพระโรง เขาก็สบตากับดวงตาแวววาวคู่นั้นที่คาดเดาไม่ถูก
ฮึ! มู่เจิ้งเฟิงอุทานในใจอย่างเฉยชา เขาคิดไม่ออกว่าคนไร้ประโยชน์ที่ถูกลิขิตว่าต้องตายก่อนวัยอันควรและไม่สามารถฝึกพลังวิญญาณจิตได้ มีสิทธิ์อะไรมาสบตากับเขาอย่างยืนหยัดแน่วแน่เช่นนี้
เขาคือฮ่องเต่ แต่ลู่เจี้ยเป็นใครหรือ เพียงคนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น!
งดงามนั้นก็งดงามอยู่ แต่น่าเสียดายที่เป็นเพียงผู้ชาย! แววตาแห่งความเสียใจฉายผ่านดวงตาที่ดุดันของมู่เจิ้งเฟิง
“ก็ต้องมองท่านอยู่แล้ว” เจียงหลีโค้งริมฝีปากขึ้นอย่างเล่นหูเล่นตา
พอได้ยินคำตอบของนางแล้ว ฉู่เฟยชิงก็ยิ่งขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ผู้ต้อยต่ำ บังอาจดูหมิ่นข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
คำพูดที่มีเจตนาเหยียดหยามเช่นนี้ มิได้ทำให้เจียงหลีโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย นางยังคงยิ้มกริ่มและมองไปที่คนหยิ่งผยองอย่างฉู่เฟยชิง “ข้าเป็นบ่าวรับใช้แห่งตระกูลลู่ มิใช่นางทาสขององค์หญิง จะไม่กล้าได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ต่อหน้านายน้อยของข้า ข้าก็พูดแบบนี้เช่นกัน นับประสาอะไรกับคนนอกเล่าเพคะ”
เฮือก!
ทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง ต่างแอบกลืนน้ำลายเนื่องด้วยคำพูดของเจียงหลีเช่นนี้
เป็นที่โปรดปรานจึงหยิ่งผยองเช่นนี้หรือ!
คนที่รู้จักนางต่างพากันประหลาดใจ บุตรสาวของเจียงหลินเฟิงกลายเป็นคนจองหองเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด หยิ่งพยองหรือ ในความทรงจำของพวกเขา เจียงหลีเคยเป็นบุตรสาวของตระกูลชั้นสูงที่อ่อนโยนและเงียบขรึม ซึ่งแตกต่างจากเจียงหลีคนปัจจุบันนัก
หรือว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตระกูลนั้นเปลี่ยนนิสัยใจคอของคนๆ หนึ่งได้มากถึงเพียงนี้เลยหรือ
สำหรับคนที่ไม่รู้จักเจียงหลีมาก่อน คงจะตกใจกับความกล้าหาญของหญิงสาวเพียงเท่านั้น ต่อหน้าฮ่องเต้ยังบังอาจหยิ่งผยองต่อองค์หญิงจากรัฐเพื่อนบ้านเช่นนี้ ช่างกล้าหาญยิ่งนัก…
หลังจากตะลึงงัน ทุกคนต่างจ้องมองเจียงหลีด้วยสายตา ‘รนหาที่ตาย’
ทว่า มีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ บริเวณที่นั่งของพระชายาลู่และคนอื่นๆ กลับมีแววตาที่เป็นกังวล
“เป็นสาวใช้ที่ปากจัดนัก!” แววตาของฉู่เฟยชิงวาวโรจน์และตำหนิอย่างเย็นชา
เจียงหลีกลับยิ้มอย่างดูแคลนและกระซิบถามลู่เจี้ยที่อยู่ด้านหลังว่า “ท่านดูออกหรือไม่ว่านางฝึกถึงขั้นใดแล้ว” นางรู้ว่าลู่เจี้ยเป็นเนี่ยนซือที่อยู่ในขั้นที่สูงนัก ดังนั้น คงจะรู้ดีกว่าตนมาก
“สู้หลีเอ๋อร์ไม่ได้” มุมปากของลู่เจี้ยโค้งขึ้นเล็กน้อย
ทั้งตามใจ ทั้งรอยยิ้ม ปะปนออกมาจากน้ำเสียงอย่างไม่รู้ตัว ทำให้คำเหล่านี้ดูอ่อนหวานเล็กน้อย
เจียงหลีราวกับว่ากินน้ำผึ้งก็ไม่ปาน เพราะในดวงตาคู่นั้นเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มดุจพระจันทร์เสี้ยว สู้หลีเอ๋อร์ไม่ได้? หากเป็นเช่นนั้น ก็จัดการง่ายนัก!
ทันทีที่ความคิดเปลี่ยนแปลงไป เจียงหลีมองไปที่ฉู่เฟยชิงแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงต้องการให้นายน้อยของข้ากลับไปกับท่าน ไม่รู้ว่าท่านจะมีความสามารถพอหรือไม่นะเพคะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” สีหน้าของฉู่เฟยชิงเริ่มแย่ลง
เมื่อถูกสาวใช้ยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากที่แห่งนี้คือรัฐฉู่ของนาง เจียงหลีคงถูกประหารไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
พอเจียงหลีเห็นเหยื่ออย่างฉู่เฟยชิงติดกับดักแล้ว จึงยกคางอันเล็กน้อยชี้ขึ้น แววตาอันยั่วยุก็ทวีคูณเช่นกัน “ความหมายนั้นง่ายนัก นั่นคือหากพระองค์หญิงต้องการที่จะนำนายน้อยของข้ากลับไปด้วย อย่างน้อยก็ต้องให้พวกเราดูว่าท่านมีศักยภาพเช่นนั้นหรือไม่ พระองค์หญิงกล้ากระบวนท่าของข้าสักสามกระบวนท่าหรือไม่เพคะ”
หือ?
ฉู่เฟยชิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ สายตาของมู่เจิ้งเฟิงก็มองไปที่เจียงหลีเช่นกัน
ทุกคนต่างมองไปที่ร่างน้อยๆ ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลู่เจี้ยด้วยความสับสน
มีเพียงลู่เจี้ยเท่านั้นที่ยังคงยิ้มบางๆ ที่มุมปากอยู่ ราวกับว่าไม่ว่าเจียงหลีจะทำอะไรก็ตาม ล้วนต้องได้รับอนุญาตจากเขาก่อน
“รับสามกระบวนท่า? เจ้าคู่ควรเช่นนั้นหรือ” ฉู่เฟยชิงถูกปลุกให้ลุกเป็นไฟจริงๆ เสียแล้ว ขณะนี้ การแต่งหน้าที่ละเอียดละออของนาง ก็เสียรูปไปบ้างแล้ว
“องค์หญิงไม่กล้าหรือเพคะ” แววตาของเจียงหลีเป็นประกายทะเล้นเชิงสัพยอก
“เหอะๆ” ฉู่เฟยชิงหัวเราะเยาะ “หากข้ารับสามกระบวนท่าของเจ้าแล้วอย่างไรต่อเล่า เจ้าตัดสินใจแทนนายน้อยของเจ้าได้หรือ” พอพูดจบเพียงเท่านั้น นางก็แอบมองลู่เจี้ย ความงดงามเช่นนี้หายากในโลกแห่งนี้นัก ยังคงทำให้ใจเต้นแรงโดยมิได้ลดน้อยถอยลงเลย
“หากท่านชนะหลีเอ๋อร์ ข้าจะกลับรัฐฉู่พร้อมกับท่าน” ใครจะไปคาดเดาได้ว่าพอฉู่เฟยชิงพูดจบ ลู่เจี้ยที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดกลับเอ่ยขึ้นทันที ทำให้ทุกคนตะลึงงันกับคำพูดที่เสียงดังสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
อะไรนะ! เขาพูดเช่นนั้นได้อย่างไร
“เจี้ยเอ๋อร์…” พระชายาลู่กระซิบอย่างเป็นห่วง
ซึ่งแม้แต่เจียงหลีก็หันกลับมามองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน แน่นอนว่าการมองครานี้กลับถูกดูดเข้าไปในที่ส่วนลึกในดวงตาของนางแล้ว
“เจ้าพูดจริงหรือ!” เสียงของฉู่เฟยชิงซ่อนความตื่นเต้นไว้ โดยขัดจังหวะความรู้สึกที่จมดิ่งลงของเจียงหลี
นางหันกลับมอง โดยมองไปที่เจียงหลีเหมือนเช่นเคย
เพียงแต่ความสนใจของฉู่เฟยชิงในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่นางแล้ว แต่อยู่ที่ลู่เจี้ยแทน
เมื่อมองไปที่ความตื่นเต้นของนางแล้ว ก็เก็บซ่อนแววตาแห่งการครอบครองไว้ไม่อยู่ ความไม่พอใจภายในจิตใจของเจียงหลี ทำให้นางต้องการเอาชนะคนตรงหน้าให้ได้
“จริงอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของหลู่เจี้ยยังคงสงบนิ่งตามเดิม
ฉู่เฟยชิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและไม่ลังเลอีกต่อไป “ได้! เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าให้โอกาสนาง”
สายตาของนางเปลี่ยนไปจ้องที่เจียงหลีแทนและกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าจะรับสามกระบวนท่าจากเจ้า หากข้ารับได้ ถือว่าข้าชนะ”
“หากท่านแพ้ล่ะเพคะ” เจียงหลีกลอกตาซ่อนความเจ้าเล่ห์เอาไว้
“ข้าจะแพ้ได้อย่างไร ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยประลองยุทธ์แล้วแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว” ฉู่เฟยชิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ท่าทางภาคภูมิใจนั้นทำให้เจียงหลีหัวเราะอย่างเงียบๆ
ฉุนกุ้ยเฟยวิตกกังวลอยู่ในใจ ทว่า ฉู่เฟยชิงกลับไม่รู้ เพราะนางรู้ดีว่าสิ่งที่เรียกว่าไม่เคยแพ้ เพียงเพราะสถานะของฉู่เฟยชิง จึงทำให้คู่ฝึกของนางไม่กล้าต่อสู้กับนางได้อย่างเต็มที่
นางตั้งใจจะขัดขวาง แต่กลับได้ยินมามาคนสนิทกระซิบข้างหูว่า “พระสนมเพคะ ก่อนที่เจียงหลินเฟิงจะเกิดเรื่อง ได้ยินมาว่าหญิงสาวคนนี้ไม่เคยเบิกเนตรญาณสำเร็จมาก่อนเลยเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น นางกล้าลงมือรุนแรงกับองค์หญิงน้อยหรือเพคะ”
ประโยคแรกนั้นบ่งบอกว่าเจียงหลีเบิกเนตรญาณมาเพียงระยะสั้นเท่านั้น ประโยคหลังบ่งชี้ถึงสถานะของฉู่เฟยชิงซึ่งวางให้เห็นอยู่ทนโท่แล้ว เจียงหลีคงมิกล้าลงมือจริงๆ หรอก
ดวงตาของฉุนกุ้ยเฟยกระตุกเล็กน้อยแล้วแอบชำเลืองมองลู่เจี้ย หากพูดจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว นางไม่เต็มใจให้หนุ่มรูปงามต้องย้ายจากโฮ่วจิ้นไปไกล
“เจี้ยเอ๋อร์” แววตาของพระชายาลู่เต็มไปด้วยความกังวล รู้สึกว่าการตัดสินใจของลู่เจี้ยนั้นประมาทเกินไปนัก
แต่ทว่า ลู่จ้านกลับกระซิบว่า “พระชายาอย่าได้กังวลใจไปเลย นายน้อยมีแผนการไว้อยู่แล้วขอรับ”
พระชายาลู่ลอถอนหายใจและทำได้เพียงพยักหน้า
“ในเมื่อเป็นการเดิมพัน ก็จงพูดให้กระจ่าง หากชนะ นายน้อยของข้ากลับไปกับท่าน หากแพ้ ก็ล้างเท้าให้ข้าด้วยตัวของท่านเอง ตกลงหรือไม่เพคะ” ในรอยยิ้มของเจียงหลีนั้นเก็บซ่อนความชั่วร้ายไว้
“อะไรนะ ให้ข้าล้างเท้าให้เจ้าหรือ” ใบหน้าของฉู่เฟยชิงดูเคร่งขรึมนัก
“จะจองหองเกินไปแล้ว” มู่เจิ้งเฟิงพูดด้วยเสียงเรียบ
ทุกคนในท้องพระโรงต่างมองไปที่งเจียงหลีด้วยความตะลึงงัน รู้สึกว่านางช่างกล้าพูดอะไรเช่นนี้
ให้องค์หญิงล้างเท้าให้นางหรือ
จุ๊ๆๆ!
แววตาดุดันที่แอบซ่อนปลายมีดไว้ ลอยมาทางเจียงหลีตลอดเวลา นางกลับจ้องมองไปที่ฉู่เฟยชิงเพียงเท่านั้น “กล้าหรือไม่ หรือว่าท่านแพ้ไม่เป็น”
“ข้าจะไม่มีทางแพ้!” ฉู่เฟยชิงพูดอย่างแน่วแน่ “ได้ ข้าตกลงตามนั้น แต่ข้าจะเพิ่มอีกข้อหนึ่ง หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องมาเป็นบ่าวผู้ต่อยต่ำข้างกายข้า”
“ตกลงเพคะ” เจียงหลีตอบรับอย่างมุ่งมั่น
“ดี!” ฉู่เฟยชิงพยักหน้าตกลง คนอื่นๆ จึงมิได้พูดต่อ
นางก้าวลงบันไดทีละขั้นอย่างหยิ่งผยองและหยุดอยู่ตรงหน้าเจียงหลี
“กระบวนท่าแรก ท่านเตรียมตัวรับให้ดี…” เจียงหลียิ้มเยาะ พร้อมกับกำมัดแน่นและมุ่งตรงไปที่ฉู่เฟยชิง…