“ขึ้นสังเวียนมาสู้กับมารดาเจ้าเถิด!”
ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่หันมาจับจ้อง โจวเย่าจู่ถูกเด็กสาวที่สูงไม่เท่าตนลากไปข้างหน้า ทำให้เขาอัปยศอดสูยิ่งนัก โดยความรู้สึกนี้กลั่นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
“เจียงหลีปล่อยข้าไปเถอะ!” โจวเย่าจู่ขัดฝืนดิ้นรน
แต่ทว่า เจียงหลีกลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ยังคงลากเขาขึ้นไปบนสังเวียนแล้วโยนเขาไว้บนนั้น
อ้าก!
โจวเย่าจู่ยืนโซเซและล้มลงกับพื้นสังเวียน ทำให้เกิดเสียงหัวเราะหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ เสียงหัวเราะเช่นนี้แทบจะทำให้โจวจู่จมหายไปเลย
เขามองไปที่เจียงหลีด้วยแววตาที่เกลียดชัง แต่แววตาแวววาวของอีกคนกลับปรากฏเพียงรอยยิ้มเย็นชา
“วันนี้ข้าจะชำระแค้นที่เจ้าลักพาตัวข้าไปขังไว้ที่วัดร้างบนเขาอย่างสาสม” มุมปากของเจียงหลีโค้งขึ้น
เพลานี้ ทุกคนต่างทราบดีว่าทั้งสองมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนเป็นแน่
พอได้ยินเจียงหลีพูดเพียงเท่านี้ ใบหูของลู่เสวียนก็ตั้งขึ้นพลางจ้องมองไปที่โจวเย่าจู่ด้วยแววตาอาฆาต
“เจ้า…เจ้าจะทำอะไรข้า” โจวเย่าจู่นั่งลงกับพื้นโดยฝ่ามือทั้งสองข้างวางอยู่บนพื้น พร้อมถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง
เขากลับมิกล้าเผชิญหน้ากับเจียงหลีในวันนี้
แววตาของเจียงหลีเต็มไปด้วยความประชดประชัน “คนไร้ประโยชน์ ขี้ขลาดตาขาวเยี่ยงเจ้า มีค่าพอที่จะเป็นคู่แข่งของพี่ชายข้าอย่างนั้นหรือ” นางเดินเข้าไปหาโจวเย่าจู่ทีละก้าว
สำหรับโจวเย่าจู่แล้ว สีหน้าของนางดำคร่ำเครียดและสายตาเย็นเยือกเช่นนั้น ทำให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก “เจ้า…เจ้าอย่าเข้ามา พ่อข้าเป็นขุนนางชั้นสูงแห่งราชสำนักเชียวนะ!”
“ข้ารู้แล้ว ครั้งที่แล้วเจ้าก็บอกแล้วมิใช่หรือ เจ้ายังพูดอีกว่าบ้านของข้า บัดนี้เป็นของตระกูลโจวไปเสียแล้ว” เจียงหลีพูดหยอกเย้า
ริมฝีปากของโจวเย่าจู่ปิดสนิท เขามิกล้ามองไปที่เจียงหลี
เจียงหลีหัวเราะเยาะ “วางใจเถอะ วันนี้ดวงเจ้ายังไม่ถึงคาด เพราะนี่คือสังเวียนสำหรับเด็กใหม่แห่งสถานบันไป๋หยวน ข้าต้องการเพียงคะแนนเท่านั้น”
พอได้ยินคำพูดของเจียงหลีเพียงเท่านี้ โจวเย่าจู่ผู้เป็นกังวลถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทว่า เมื่อมองเห็นเจียงหลีที่ยังคงเดินเข้ามาหาตนเช่นนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวและเป็นกังวลอีกครั้ง
หากถูกโจมตีจนล้ม ก็ต้องเจ็บหนักอย่างแน่นอน!
“ลุกขึ้น!” ทันใดนั้น เจียงหลีก็ตะโกนด้วยเสียงดุดัน
ผู้คนทั้งด้านบนและด้านล่างสังเวียนต่างพากันตกตะลึงไปตามๆ กัน
ซึ่งแม้แต่ลู่เสวียนเองก็มองไปที่หญิงสาวตัวเล็กๆ คนนั้นด้วยความตกใจราวกับว่านางคิดไม่ตกเหตุใดนางถึงระเบิดอารมณ์ที่ทรงพลังเช่นนั้นออกมา
โจวเย่าจู่มองไปที่หญิงสาวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความตะลึงงันเช่นกันแล้วลุกขึ้นยืนอย่างมิสามารถควบคุมตัวเองได้
“ปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเจ้าออกมา” เจียงหลีตะโกนอีกครั้ง
บรรยากาศรอบๆ สังเวียนตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบสงบทันที พวกเขาทั้งหมดต่างเฝ้าดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นบนสังเวียนอย่างเงียบๆ และไม่มีใครรู้ว่าสาวชุดดำผู้สง่างามคนนี้จะทำอะไรต่อไป
“ข้า…”
“อืม”
เสียงอุทานที่เย็นเยือกของเจียงหลี ขัดจังหวะคำพูดที่สั่นเทาของโจวเย่าจู่
แสงสีทองที่อยู่ด้านหลังเขาแทบจะมาพร้อมกับปลายเสียงของเจียงหลี ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์ก็ปรากฏขึ้นทันที
แน่นอนว่าแม้จะปล่อยวิญญาณยุทธ์แล้ว สถานการณ์ของโจวเย่าจู่ก็มิได้ดีขึ้นเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเพราะความขี้ขลาดของเขาเองเป็นเหตุทำให้จิตวิญญาณยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวังและห่อเ**่ยวในหัวใจ
แพ้แล้ว!
แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงแข่งด้วยซ้ำ!
พอทุกคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ
พลังอำนาจของหญิงสาวผู้นั้นจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ต่อให้โจวเย่าจู่จะปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกไป แต่ในพลังกลับพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
เจียงหลีวางมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แววตาแวววาวกลับเปลี่ยนเป็นดุดัน แล้วมองไปที่โจวเย่าจู่พร้อมกับก้าวไปข้างหน้า
อ้า!
โจวเย่าจู่กรีดร้อง ขาของเขาอ่อนระทวยพร้อมกับก้าวถอยหลังสามก้าว วิญญาณยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังเขาที่ประสานกับพลังของเจียงหลี ได้พังทลายและมลายหายไปอย่างไม่ทันคาดคิด
ตู้มมม!
โจวเย่าจู่งอเข่าพร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเจียงหลี โดยเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่เปียกชุ่ม
ทุกคนที่อยู่บริเวณสังเวียนต่างนิ่งเงียบและแววตาที่ตกตะลึงนั้นแฝงไปด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าโจวเย่าจู่จะไร้ความสามารถสักเพียงใด แต่เขาก็เป็นถึงหลิงซื่อขั้นที่หก
ขณะเดียวกัน เจียงหลีใช้เพียงพลังอำนาจของตนในการปราบปรามเขาอย่างสมบูรณ์ โดยเขามิได้มีโอกาสตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ความคิดนี้ได้ผุดขึ้นในใจของผู้คนนับไม่ถ้วนแล้ว
ลู่เสวียนจ้องไปที่สังเวียนอย่างตื่นตะลึง แววตาปรากฏความชื่นชมอยู่เล็กน้อยแล้วพูดในใจว่า พี่ใหญ่ไปขุดหลียาโถ่วมาจากที่ใดกัน ช่างเป็นคนอันเป็นที่รักยิ่งเสียจริงๆ
เจียงหลีอายุเพียงสิบสามปี ถึงกระนั้นก็ตาม ใครจะสามารถคาดเดาได้ว่านางจะยืนทะยานขึ้นระดับสูงถึงจุดใดและจะระกอบอาชีพลักษณะใดอีกไม่กี่ปีหรือสิบกว่าปีต่อจากนี้
เงื่อนไขคือนางต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพก่อน ดวงตาของลู่เสวียนเฉยชาและมือทั้งสองก็กำหมัดแน่น หลียาโถ่วพรสววรค์สูงยิ่งนัก ต้องปกป้องดูแลให้ดี!
“เจ้าแพ้แล้ว” เจียงหลีกล่าวอย่างเย็นชา พลังอำนาจบนร่างกายของนางมิได้ลดน้อยถอยลงเลย แต่มีเพียงโจวเย่าจู่เท่านั้นที่สัมผัสถึงแรงกดดันที่มิอาจต้านทานได้
เจียงหลีขาดความสนใจเล็กน้อย ปฏิกิริยาของโจวเย่าจู่ ทำให้นางผิดหวังอย่างมาก นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โจวเย่าจู่เปรียบเสมือนมดในสายตาของนางก็ไม่ปาน
แต่ถ้าหากเรื่องของเจียงหลินเฟิงเกี่ยวข้องกับพ่อของโจวเย่าจู่จริงๆ นางคงรู้สึกเสียดายแทนตระกูลโจวที่พ่ายแพ้ให้กับคนเยี่ยงนี้!
“ไสหัวไป” เจียงหลีตะโกนด้วยเสียงเย็นชา
ใบหน้าของโจวเย่าจู่ซีดขาวดุจกระดาษ พอได้ยินคำนี้ เขาก็คลานลงสังเวียนราวกับได้รับนิรโทษกรรมและหายตัวเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
เขาเดินจากไปและมิกล้าแม้แต่จะล้างแค้น
เพราะไม่มีใครรับรู้ถึงความน่ากลัวของเจียงหลีได้เท่ากับเขาอีกแล้ว
เจียงหลีที่โด่งดังอย่างกะทันหันเป็นที่รู้จักของเหล่าบรรดาเด็กใหม่มากขึ้นอย่างรวดเร็ว และผลการท้าประลองที่นางกำราบโจวเย่าจู่ก็แพร่กระจายอย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน จนดึงดูดผู้ที่อยู่ในสิบอันดับแรกเข้ามา
โดยทั่วไปแล้วคนที่อยู่ในสิบอันดับแรก ก็มักไม่อยากเห็นม้ามืดปรากฏตัวขึ้น
“เจ้าคือเจียงหลีหรือ”
เจียงหลีมาถึงสถาบันไป๋หยวนเพียงวันที่สอง ผู้อยู่ในอันดับที่สิบก็อดไม่ไหวที่จะก้าวออกมา
เพราะหากเจียงหลีเก็บคะแนนได้มากยิ่งขึ้น ก็อาจจะเป็นเขาที่ถูกเตะออกเป็นคนแรก
สำหรับลู่เสวียนที่ทำผลงานดีไม่แพ้กัน กลับถูกละเลย ไม่ว่าสาเหตุมาจากสถานะของเขาเองหรือไม่ก็ตาม บัดนี้ พลังวังชาทั้งหมดกลับพุ่งไปที่เจียงหลีเพียงคนเดียว
“เจ้าเป็นใครกัน” เจียงหลีที่เพิ่งจบจากการต่อสู้บนสังเวียนหันหน้ากลับมามองชายหนุ่มที่ขึ้นมาบนสังเวียนจึงยักคิ้วเอ่ยถาม
ชายหนุ่มยิ้มอย่างมั่นใจ “ข้าเป็นใครน่ะหรือ เจ้ายังมิคู่ควรที่จะถามเช่นนั้น วันนี้ข้าจะลองดูว่าเจ้าเก่งกาจสมคำร่ำลือหรือไม่”
พอพูดถึงเพียงเท่านี้ เขาก็ปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมาทันทีและพุ่งตรงไปที่เจียงหลี
เจียงหลีขมวดคิ้วและมองไปที่ชายหนุ่มผู้นั้น
พลังวิญญาณที่คมราวกับมีดดาบกระหน่ำเข้าหานางจนเสื้อผ้าของนางเกิดเสียงสายลมดัง
แน่นอนว่านางเพียงยกมือข้างเดียวและออกหมัดอย่างจริงใจไม่เสแสร้งด้วยความเร็วที่ช้ามาก แต่เมื่อนางสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณจากคู่ต่อสู้ นางก็กลายเป็นสัตว์ร้ายคำรามทะลุผ่านการป้องกันของคู่ต่อสู้อย่างมิอาจต้านทานได้และหมัดก็ได้พุ่งตรงไปที่เอวของเขา
เอื้อก!
ผู้ท้าประลองถึงกับกระอักเลือดและร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วกระเด็นออกจากสังเวียน
มีอีกกระบวนท่าแล้ว!
ทุกคนต่างตกตะลึง สองวันที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าเจียงหลีจะต่อสู้กับผู้ใดก็ตาม ล้วนออกอาวุธเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ก็ต่างพ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียวเช่นกัน
นางแข็งแกร่งได้ถึงขนาดไหนเชียว!
ในที่สุด เด็กใหม่คนอื่นๆ ต่างเริ่มครุ่นคิดประเด็นนี้ในใจ
“ไร้มารยาทสิ้นดี” เจียงหลีที่อยู่บนสังเวียนยืนมองร่างที่บินเหินออกไปแล้วกล่าวอย่างเย็นชา
แน่นอนว่าขณะนี้มีเสียงดังมาจากระยะไกล เจียงหลีเงยหน้าขึ้น มองเห็นเพียงฝูงชนแออัดกลุ่มเดิมแยกออกเป็นทางซ้ายขวาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับมีเงาคนค่อยๆ ปรากฎออกมา…