ลู่เจี้ยไม่ให้นางยุ่งเรื่องนี้ทั้งยังสั่งเป็นพิเศษอีกว่าให้นางฝึกฝนอยู่ที่สถาบันไป๋หยวนกับลู่เสวียนซึ่งเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เกรงว่าจะมีอะไรอื่นแอบแฝง
นางไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งระหว่างฮ่องเต้และตระกูลลู่ แม้ว่าฮ่องเต้จะถือว่าเป็นศัตรูของตระกูลเจียงและเป็นเป้าหมายการแก้แค้นของเจียงเฮ่า เจียงหลีคิดการใหญ่กว่านี้คือหาโอกาสที่จะฆ่าเขาโดยตรง
แต่ตอนนี้ลู่เสวียนวิ่งเข้าไปสมัครเข้าร่วมกลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียวแล้ว นี่ไม่ใช่จังหวะไปเป่ยฝางหรอกหรือ
จะบอกลู่เจี้ยอย่างไรดี เจียงหลีสาปส่งในใจ เมื่อเบียดมาถึงข้างหน้าลู่เสวียนกำลังเตรียมจะหยุดห้ามแต่ก็ดันเห็นว่าชื่อของเขาถูกเขียนลงไปในใบสมัครเรียบร้อยแล้ว
“คนที่ถูกจดชื่อแล้วฟังให้ดีๆ นี่ไม่ใช่ของเล่นจะมาโอดโอยทีหลังไม่ได้” นายทะเบียนตะโกนต่อหน้ากลุ่มคน
เมื่อเห็นกับตาว่าชื่อของตัวเองถูกจดบันทึกไปแล้วลู่เสวียนก็เผยรอยยิ้มพอใจ
จู่ๆ ก็รู้สึกตึงแน่นบริเวณลำคอร่างทั้งร่างถูกลากออกมาข้างนอกกลุ่มคน
ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เสวียนรีบตั้งสติจึงรู้ว่าเป็นเจียงหลี เขาถูลู่ถูกังอีกทั้งยังตะโกนโวยวายด้วยความโกรธ “นี่ ที่นี่มีคนเยอะแยะเจ้าน่าจะไว้หน้าข้าบ้างสิ
ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกเด็กสาวที่เตี้ยกว่าตนลากเดินไป คุณชายน้อยลู่เสวียนอย่างเขาขายขี้หน้าแล้วเห็นไหม
สีหน้าของลู่เสวียนอับอายมากขึ้นแต่ก็ไม่ลงไม้ลงมือกับเจียงหลี
ในท้ายที่สุดเขาทำได้เพียงแค่หลับตาลงเพื่อดูชะตากรรมของเขาและถูกเจียงหลีลากไปไกลจากฝูงชน
หลังจากที่เจียงหลีปล่อยมือเขารีบจัดแจงเสื้อผ้ายับยู่ยี่ของตนแล้วเอ่ยคำพูดร้ายกาจ “ข้าจะบอกเจ้าให้ ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นซ้อเล็กของข้า ข้าจะเดี่ยวกับเจ้า จะเดี่ยวกับเจ้า!” พูดจบแล้วเขายังชูหมัดต่อหน้าเจียงหลีอีก
เจียงหลีหัวเราะเยาะ “เจ้าเป็นคู่แข่งข้าหรือ”
“…”คำพูดเหล่านี้กระแทกความเจ็บปวดของคุณชายน้อยลู่อย่างหนัก
เนื่องจากเจียงหลีได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหลิงเจี้ยงเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอีกต่อไป ลู่เสวียนกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจเอ่ยวาจาร้ายกาจ “ถ้าไม่ใช่เพราะการฝึกฝนของข้าถดถอยตอนนี้ก็เป็นหลิงเจี้ยงไปแล้ว เจ้าคอยดู รอข้าถึงขั้นหลิงเจี้ยงได้เมื่อไหร่ข้าจะไม่แพ้ให้เจ้าเด็ดขาด!”
เจียงหลีสะบัดแขนออกอย่างไม่แยแสจึงทำให้สายตาของลู่เสวียนทวีความโมโห “รอถึงวันนั้นก่อนค่อยพูดก็แล้วกัน อีกอย่าง อย่าเรียกข้าว่าซ้อเล็กอีก”
เหอะ แม้นางจะได้เปรียบลู่เจี้ยไม่น้อย แต่…ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังคงบริสุทธิ์อยู่ใช่ไหม
นางไม่อยากเป็นแพะรับบาป หากจะให้นางเป็นก็คงรอนางถูกกลืนกินเสียก่อนค่อยเป็น
“ทำไมถึงไม่ได้ ซ้อเล็ก พี่ชายข้าดีมากเชียวนะ ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอไปหน่อยแต่ว่ารูปงามยิ่งนักอีกทั้งยังฉลาดมากด้วย” เมื่อลู่เสวียนได้ยินเจียงหลีปฏิเสธจึงรีบเอ่ยขึ้น
มุมปากของเจียงหลีกระตุกอย่างรุนแรงอดไม่ได้ที่จะพึมพำถาม “พี่ชายของเจ้าดีซะที่ไหน” ในน้ำเสียงนี้มีความคับแค้นที่ลู่เสวียนไม่เข้าใจ
ดูเหมือนนางมีบางความเสียใจราวกับเนื้อจะเข้าปากอยู่แล้วแต่กลับเสียใจที่กินไม่ได้
ท่าทางเดี๋ยวเข้าใกล้เดี๋ยวถอยของลู่เจี้ยทำให้นางไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
ลู่เจี้ยชอบข้าหรือไม่ จู่ๆ เจียงหลีก็ถามตนเองในใจ เขาจะทำแบบนี้กับสตรีนางอื่นหรือไม่ หรือเพราะข้าสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ หรือพรสวรรค์ของข้า ข้าถึงได้อยู่ในสายตาเขาใช่ไหม
เจียงหลีจับความรู้สึกของตนเองที่มีต่อลู่เจี้ยไม่ชัดเจน สรุปว่าชอบหรือไม่ชอบ
อีกทั้งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าความรู้สึกของลู่เจี้ยที่มีต่อนางเป็นความรู้สึกแบบไหนกันแน่ นางยินยอมปกป้องลู่เจี้ยไม่ให้ผู้ใดมารังแกเขาง่ายๆ นางไม่ชอบให้เขาอ่อนโยนกับสตรีนางอื่น แม้กระทั่งคิดว่านางอยากเก็บเขาไว้ดูคนเดียว
แต่นางเสียสละชีวิตเพื่อเขาได้หรือไม่หรือหยุดอยู่ที่โลกนี้เพื่อเขาได้หรือไม่
ลู่เสวียนยังคงเกลี้ยกล่อมนางไม่พัก แต่เจียงหลีกลับไม่ได้ฟังเข้าหูสักคำ ในขณะนี้นางคิดไปต่างๆ นาๆ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่างๆ ระหว่างนางกับลู่เจี้ย ตลอดจนไม่สามารถละทิ้งชีวิตก่อนหน้านี้ได้และสุดท้ายคือช่วงเวลาจำกัดสามร้อยปี…
“…ไม่รู้แหละ ข้าบอกกับท่านแม่แล้วว่าจะให้เจ้าแต่งงานกับพี่ชายข้า!”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
คำพูดนั้นของลู่เสวียนทำเอาสติที่หลุดลอยของเจียงหลีคืนกลับมา
แต่งงาน?
กับลู่เจี้ย?
คำเหล่านี้ยังคงดังก้องในใจของเจียงหลี
สุดท้ายก็ถูกนางตบจนแหลกเป็นชิ้นๆ
“คุณชายประสาทกินอย่างเจ้าน่ะ” เจียงหลีอดพ่นคำด่าไม่ได้ “อายุแค่นี้ยังประสาทกินขนาดนี้ เรื่องของข้าเจ้าสอดรู้ให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องของพี่ชายเจ้าก็ไม่ต้องมาสอดเหมือนกัน”
ลู่เสวียนเบะปากน้อยใจ “ข้าคิดเพราะหวังดีกับเจ้า พี่ชายข้ากับสถานะของเจ้าไม่เหมือนกัน”
“ไม่จำเป็น” เจียงหลีปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
ลู่เสวียนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่เจียงหลีเกือบจะตบปากเพื่อให้เขาหยุดพูด “หุบปาก ข้าถามเจ้า พี่ชายเจ้าไม่ได้บอกหรือว่าไม่ให้เจ้าไปเป่ยฝาง” ลู่เจี้ยสั่งนางอย่างไม่มีเหตุผลแต่ไม่ได้สั่งลู่เสวียนสักหน่อยนี่
“บอกแล้ว” ลู่เสวียนเองก็ไม่ได้ปิดบัง
เพียงแต่คำตอบที่ตรงไปตรงมาของเขาทำให้เจียงหลีกระตุกมุมปากกัดฟันถาม “เช่นนั้นแล้วเจ้ายังไปสมัครอีก”
“ข้าอยากตามไปดูท่านพ่อ” ลู่เสวียนตอบจุดประสงค์ของตัวเองอย่างไม่ลังเล
เจียงหลีขมวดคิ้ว
ดวงตาของลู่เสวียนมีความวิตกกังวลและสีหน้าของเขาก็ดูจริงจัง “เกิดศึกสงครามระหว่างเป่ยฝางกับต้าฉิน ทั้งสองกองทัพกำลังสู้รบกัน ในฐานะที่ท่านพ่อเป็นแม่ทัพก็ยุ่งมากพอแล้ว ฮ่องเต้กลับใช้โอกาสนี้สร้างกลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียวเข้าไปอีก ข้าไม่รู้ว่าพระองค์มีแผนอะไรอยู่ ข้าแค่อยากไปช่วยแบ่งเบาภาระท่านพ่อบ้าง อย่างน้อยให้ท่านพ่อสามารถมีสมาธิสู้กับศัตรูและจะเป็นการดีที่สุดถ้าข้าสามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้”
“…” เมื่อลู่เจี้ยเอ่ยมาเช่นนี้นางรู้สึกไม่สามารถโต้แย้งใดๆ
ด้วยความสัตย์จริงหากนางเป็นลู่เสวียนเกรงว่านางก็ไม่อยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังเหมือนกัน
“เจ้าต่างก็รู้ว่าอาจมีการสมรู้ร่วมคิดในกลุ่มสังเกตการณ์นี้ เจ้ายังจะไปอีกหรือ” หลังจากนั้นครู่หนึ่งเจียงหลีจึงเอ่ยถาม
“เช่นนั้นข้าก็ต้องเผชิญหน้าด้วยกันกับท่านพ่อ พี่ชายร่างกายไม่แข็งแรงยังสามารถคิดแผนการเพื่อครอบครัวได้และเสียสละตนเองได้ แล้วข้าล่ะ ถูกขนานนามว่าเป็นเทียนเจียวตระกูลลู่แต่กลับไร้ประโยชน์” ลู่เสวียนขมวดคิ้วน้อยเนื้อต่ำใจ
เสมือนดั่งทุกคนเรียกเขาว่าเทียนเจียวตระกุลลู่อย่างชื่นชม แต่กลับไม่มีประโยชน์ไร้ตัวตนในครอบครัว
“เจ้าก็ต้องฝึกฝนให้เก่งๆ สิ…” เจียงหลีอยากปลอบใจเขาแต่กลับถูกเขาเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ซ้อเล็ก เจ้าไม่ต้องเตือนข้า ข้าสมัครไปแล้วหากไม่ไปชาวบ้านจะได้หัวเราะเยาะข้าน่ะสิ ข้าต้องไป
เป่ยฝางให้จงได้”
เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น
นางมองแววตามุ่งมั่นของลู่เสวียน รู้ดีแก่ใจว่าถ้าเขาไม่ยอมแพ้ถึงแม้จะไม่ได้ไปพร้อมกับกลุ่มสังเกตการณ์ก็ต้องหาทางไปเองอยู่ดี
“เจ้าวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ” เจียงหลีเอ่ยถาม
ลู่เสวียนฉีกยิ้ม “ข้าเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่ใหญ่ไม่มีทางให้ข้าไปเป่ยฝางแน่นอน ฉะนั้นข้าจึงทำได้เพียงยอมสมัครเข้าร่วมกลุ่มสังเกตการณ์”
“ถ้าหากโดนพี่ใหญ่เจ้าจับได้ล่ะ เจ้าจะ…”
“มากสุดก็คงนั่งคุกเข่าที่ห้องบรรพบุรุษโดนไม้เฆี่ยนหรือไม่ก็โดนกักบริเวณ” ลู่เสวียนตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
เจียงหลีมองท่าทาง ‘ไม่สะทกสะท้าน’ ของเขาแล้วยิ้มเจื่อน ตอนที่กำลังหันกายออกไปนางจึงเอ่ยทิ้งท้ายกับเขา “รอข้าอยู่ที่นี่”