“ฆ่ามานนน!”
เสียงเข่นฆ่าเสียงดังก้องสนั่นหู เลือดสาดกระเด็นทั่วทิศ ความโหดร้ายของสงครามมันเกินจากที่เหล่าเทียนเจียวทั้งหลายจินตนาการไว้
แหวะ!
เมื่อคนแรกที่ทนเห็นภาพนี่ไม่ได้ ถึงกับเมื่อคนแรกที่ทนเห็นภาพนี่ถึงกับคลื่นไส้วิ่งออกไปข้างๆ ความมั่นใจของเหล่าเทียนเจียวถึงกับพังทลายลง
เสียงอาเจียงดังขึ้นจากกำแพงอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดสายที่เหยียดหยามจากทหารเป่ยฝางทั้งหลาย
“นี่แค่เป็นการทดสอบเล็กๆ น้อยๆ ถึงขั้นอาเจียนขนาดนี้เชียว”
“ก็เป็นพวกผู้ดีมีเงิน ใครจะเหมือนพวกข้าที่ผิวหนาหยาบกร้านกันล่ะ”
“ถ้าเป็นร่างกายมีค่าอ่อนแอก็ไม่ควรมา ที่นี่มันใช่ที่พวกคุณชายคุณหนูควรมาไหมเล่า”
“บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่ามาเล่นก็เป็นไปได้”
“เล่นอย่างนั้นหรือ! พวกเราพี่น้องสู้มาแทบตายเพื่อปกป้องคนพวกนั้นหรือ ถุย!”
“…”
บทสนทนาที่ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย ทำให้เหล่าเทียนเจียวโกรธจนเลือดขึ้นหน้าพวกเขาอยากจะตอบโต้แต่ก็ความคลื่นไส้ที่ทนไม่ได้กลับทุบทำลายความเพ้อเจ้อนี่
ช่างน่ากลัว!
น่าขยะแขยง!
ช่างโหดร้ายนัก!
ลมที่พัดโชยมาจากสนามรบมีกลิ่นคาวเลือดปะปนมาด้วย ทำให้เหล่าเทียนเจียวที่ได้กลิ่นอดไม่ไหวคลื่นไส้อาเจียนอีกครั้ง
ทันใดนั้นบนรั้วกำแพงเละเทะไปหมด เสียงอาเจียนที่ดังขึ้นยิ่งทำให้สายตาเหยียดหยามของเหล่าทหารเป่ยฝางชัดเจนขึ้น
“ท่านแม่ทัพ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่” ผู้นำกลุ่มใบหน้าซีดขาว ในมือเขายังจับผ้าเช็ดหน้าที่มีคราบสกปรกติดอยู่
เสียงซักถามนี้ทำให้นัยน์ตาของลู่ซิ่งเฉาที่อยู่ภายใต้หมวกฉายแววเรียบนิ่ง “พวกเจ้าไม่ได้มาสังเกตการณ์หรอกหรือ”
“…” คำตอบนี่ทำให้ผู้นำกลุ่มพูดไม่ออก
ทว่าเสียงอาเจียนที่ดังไม่หยุดจากด้านหลังเขา ทำให้ผะอืดผะอมในลำคอตามไปด้วย เขาพยายามกลั้นเอาไว้ พูดกับลู่ซิ่งเฉาด้วยน้ำเสียงแหบ “แต่ว่าเหล่าเทียนเจียวเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ท่านแม่ทัพ ให้พวกเขากลับไปที่ค่ายพัก…”
“ศัตรูไม่รอให้พวกเจ้าพักผ่อนเสร็จจึงจะรุกมา” คำพูดลู่ซิ่งเฉาขัดจังหวะของผู้นำกลุ่ม
เขาหันไปมองเหล่าเทียนเจียวที่หน้าซีดหมดแรง ความเย็นชาในสายตาเผยให้เห็นชัดเจนพลางพูดเสียงราบเรียบ “เมื่อมาเพื่อมาสังเกตการณ์ อย่างนั้นก็จงดูไว้ให้ดีๆ”
พูดจบ เขาก็ย่างเท้าเดินไปอีกทางหนึ่ง เหมือนกับว่าจะทิ้งพวกเขาไว้ตรงนี่แล้วไปบังคับบัญชาต่อที่สนามสู้รบ
การจากไปของเขามีอีกคนที่ยังอาลัยอาวรณ์อยู่นั้นก็คือลู่เสวียน เขาหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางผู้คน สายตากลับจับจ้องไปที่ผู้เป็นบิดา
ทุกคำพูดของท่านพ่อ ทำให้เลือดร้อนในกายเขาพลุ่งพล่าน
แต่ทว่าสายตาเจียงหลีตอนนี้กลับจับจ้องไปยังสนามรบนอกกำแพงโดยไม่กระพริบตาเลย รูปร่างลักษณะของนางช่างโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางเหล่าเทียนเจียวยิ่งนัก ดึงดูดความสนใจของทหารเป่ยฝาง
หญิงสาวในชุดดำยืนหลังตรงไม่เหมือนพวกคนที่อาเจียนไม่หยุด กลับยืนอยู่แถวหน้าสุดจ้องมองสนามรบที่นองไปด้วยเลือด ใบหน้าตึงเครียดเผยให้เห็นความสุขุมที่ไม่เหมาะสมกับอายุนาง
หญิงสาวคนนี้คือใคร
ณ เวลานี้เหล่าทหารแดนบูรพาจำนวนไม่น้อยถามตนเองในใจอย่างสงสัย
เจียงหลีเองก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย นางรู้สึกตกตะลึงกับภาพสนามรบตรงหน้า รู้สึกถึงเรื่องราวที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชาติที่แล้ว
นางไม่เข้าใจสิ่งใดที่ทำให้พวกเขาทุ่มเทต่อสู้จนไม่คำนึงถึงชีวิต
ใช่ฮ่องเต้ที่โง่เขลาในวังหลวงนั่นหรือไม่
หรือว่าจะเป็นลู่ซิ่งเฉาที่รักษาการณ์ที่เป่ยฝางกับพวกเขามาหลายปี
เจียงหลีไม่ใช่ว่าไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ เพียงแต่ว่า…ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งบังไว้ตรงหน้า ปิดกั้นสายตาระหว่างนางกับสนามรบ
สายตาเจียงหลีโฟกัสกลับมาใหม่ ขมวดคิ้งเล็กน้อย
“อาหลี เลิกมองได้แล้ว” เสียงจิ่งเยี่ยดังมาจากด้านหลังแฝงด้วยความเจ็บปวดและวิงวอน
แววตาเจียงหลีมีแสงวูบวาบ นางรู้จิ่งเยี่ยเจ็บปวดเรื่องอะไร น้องสาวเขาเดิมทีเป็นหญิงสาวอ่อนแอที่อยู่แต่ในห้องและชีวิตที่ไร้กังวล แต่ตอนนี้กลับต้องมาเอาตัวรอดอย่างทรหดอีกทั้งยังต้องมาเห็นความโหดร้ายของชีวิตอีก
หากเป็นเจียงหลีคนเดิมคงจะตกใจกลัวกับฉากนองเลือดนี้ แต่ว่าเจียงหลีที่ไม่ใช่เจียงหลีสถานการณ์เช่นนี่ทำได้เพียงให้นางตกตะลึงแต่ยังไม่สามารถทำให้นางกลัวได้
แม้กระทั่งความตะลึงของนาง มาจากกองทัพทหารทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันบนสนามรบอย่างสุดชีวิต
ค่อยๆ ยกมือขึ้นดึงฝ่ามือใหญ่ของจิ่งเยี่ยลงมา เจียงหลีหันสายตากวาดมองรอบกาย เหล่าเทียนเจียวที่อาเจียนไม่หยุดไม่มีใครสังเกตเห็นถึงท่าทางของพวกเขาสองพี่น้อง แม้ลู่เสวียนเองยังจ้องมองทางที่ลู่ซิ่งเฉาจากไปอย่างเหม่อลอย
เกรงว่าที่สังเกตเห็นสิ่งนี่ได้ ก็คือเหล่าทหารเป่ยฝางที่ให้ความสนใจนางย่างยิ่ง
แต่ว่าเมื่อไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเหล่าทหารเป่ยฝางจึงไม่คิดมากกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจิ่งเยี่ย
เจียงหลีถอนสายตากลับมามองไปที่นัยน์ตาของพี่ชาย พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าไม่กลัวหรอก”
จิ่งเยี่ยผงะเงียบกริบสักครู่ ถึงจะเผยรอยยิ้มที่สับสน พูดอย่างตามใจว่า “อาหลี ช่างกล้าหาญจริงๆ”
ความสับสนนั้น เป็นเพราะการเติบโตของเจียงหลีและการเปลี่ยนแปลง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ทำให้น้องสาวที่ไร้เดียงสาของเขารู้เรื่องรู้ราวและเข้มแข็งขึ้น ตัวต้นเหตุทั้งหมดมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในวังหลวงผู้นั้น
ความแค้นที่รุนแรงสะท้อนในดวงตาจิ่งเยี่ย ทำให้เจียงหลีรู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่อยากแก้แค้นว่ามีมากกแค่ไหน
“เจ้าเกลียดแค้นตระกูลลู่ไหม” จู่ๆ เจียงหลีก็ถามขึ้นมา
ถึงอย่างไรก็ตามเป็นเพราะเจียงหลินเฟิงช่วยพูดให้กับตระกูลลู่ ถึงได้ถูกใส่ร้ายป้ายสี
จิ่งเยี่ยยิ้มบางพลางส่ายหัวช้าๆ “อาหลี พี่ไม่ใช่คนที่ไม่แยกถูกผิด เรื่องของท่านพ่อไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลลู่ ท่านอ๋องลู่เองก็ทำเพื่อประเทศชาติประชาชนโดยรักษาการณ์ที่ชายแดนมาตลอด”
ทันใดนั้น เขาขมวดคิ้วสีหน้าเย็นลง “เพียงแต่ว่า พี่ไม่ชอบลู่เจี้ยเท่านั้นเอง”
เอ่อะ
เจียงหลีมองจิ่งเยี่ยด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าลู่เจี้ยไปขัดใจเขาตอนไหน
สีหน้าจิ่งเยี่ยเย็นชาลงแววตาเปี่ยมไปด้วยความสับสนพลางพูดว่า “เจ้าขี้โรคนั่นบังอาจทำให้น้องสาวพี่ต้องมาสู้ชีวิตเพื่อมัน จนได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว”
“…” เจียงหลีอ่านเข้าใจความรู้สึกในแววตาของคนหวงน้องสาวพลันยิ้มเจื่อนๆ อธิบาย “เอ่อะ คือว่า…เรื่องนั้นมันเป็นความต้องการของข้าเอง ไม่เกี่ยวกับเขา”
“มันแย่กว่าเดิมอีก!” จิ่งเยี่ยปากแข็ง
“ไม่ใช่…คือว่า…”
วู วู!
เสียงแตรสัญญาณโจมตีดังขึ้นกะทันหันขัดจังหวะอธิบายของเจียงหลี สองพี่น้องหันสายตาพร้อมกัน เห็นสนามเดิมทีเป็นการต่อสู้แบบทดสอบกลับดุเดือดขึ้นทันที
“มือธนูเตรียม!”
“มือปาหินเตรียม!”
“ทหารโล่ตั้งขบวน ออกสู้รบ!”
“ทหารหอกตั้งขบวน ออกสู้รบ!”
“แนวหน้าตั้งขบวนงูยาว ด้วนซ้ายขวาทหารม้าเตรียม รอสัญญาณโจมตี!”
เสียงออกคำสั่งดังมาเรื่อยๆ ทำให้บรรยายกาศตึงเครียดทันที เหล่าเทียนเจียวที่คลื่นไส้ก็หยุดอาเจียน แต่ละคนต่างเข้าใกล้กำแพงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้นทุกคนต่างรู้สึกถึงกระสั่นสะเทือนของพื้นธรณี หินใต้กำแพงเมืองยังกระเด็นกระดอนขึ้นมาจากบนพื้น
“เกิดอะไรขึ้น” เมื่อทุกคนก้มหน้ามองลงไป เห็น…จำนวนมาหาศาล