เข้ามาใกล้โดยไม่คาดคิด แรงจับที่ไหล่อย่างหนักทำให้ดวงตาของเจียงหลีเปล่งประกาย มือก็ตอบโต้ไปด้านหลังทันที
“แม่นางระวัง!” อวี้ซูก็อุทานออกมา
นางไม่รู้เลยว่าชายร่างสูงในชุดดำคนนี้ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่
“เจียงหลี”
ผู้มาเยือนจับข้อมือของเจียงหลีไว้แน่นและเสียงที่คุ้นเคยก็ได้ทำให้นางหยุดลงมือ
“ลู่จ้าน!” เจียงหลีมองไปเห็นคนที่เข้ามา
ภายใต้ปีกหมวกที่ยกขึ้นเบาๆ ใบหน้าที่เหลี่ยมคม ไม่ใช่ลู่จ้านแล้วจะเป็นใครไปได้
ลู่จ้านยกนิ้วขึ้นเทียบกับริมฝีปากบ่งบอกว่าให้พวกเขาเงียบ จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ แล้วกระซิบ “มากับข้า”
การปรากฏตัวของลู่จ้าน ทำให้เจียงหลีโล่งใจ
เพียงแค่ติดตามเขาไป ก็จะรู้เบาะแสของลู่เจี้ย นางก็ไม่ต้องมองหาคนของตระกูลลู่อย่างไร้เบาะแสอีกต่อไป
เจียงหลีและอวี้ซูติดตามลู่จ้านไปอย่างใกล้ชิด ออกจากซากปรักหักพังของตระกูลลู่อย่างเงียบๆ
เพื่อหลีกเลี่ยงทหารลาดตระเวนในเมือง พวกเขาออกจากเมืองซูหนาน มุ่งสู่หุบเขาที่ปู้กุย
เมื่ออยู่ห่างจากตัวเมืองแล้ว เจียงหลีเริ่มถาม “ใครเป็นคนเผาจวนตระกูลลู่ แล้วลู่เจี้ยเป็นอย่างไรบ้าง”
“นายน้อยเป็นผู้สั่งให้เผา นายน้อยไม่เป็นอะไร” ลู่จ้านตอบคำถามของเจียงหลีสั้นๆ เขาเดินไปข้างหน้าและนำทางโดยไม่หันกลับไปมอง แต่ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้ว
ไม่รู้ว่าเรื่องที่ซั่งตู ลู่เจี้ยรู้ไหม เกรงว่าเขาจะรู้เรื่องลู่อ๋องและพระชายาผ่านทางผู้ส่งสารของตระกูลลู่แล้ว เจียงหลีคาดเดาในใจ
“เจ้ากลับมาเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้สิบวัน” ทันใดนั้นลู่จ้านก็พูด
เจียงหลีเงยหน้าขึ้น มองไปที่แผ่นหลังของเขา จากนั้นก็หลุบตาลงและตอบว่า “ข้าใช้ทางลัดเพื่อกลับมา ลู่เสวียนตามมาอยู่ข้างหลัง”
เสียงฝีเท้าของลู่จ้านหยุดลง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต้ำ “คุณชายเล็ก ไม่ได้ออกไปจากซั่งตู”
“อะไรนะ” เจียงหลีประหลาดใจ
ลู่จ้านอธิบายว่า “ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะอยู่ในซั่งตู เพื่อล้างแค้นให้ท่านอ๋องและพระชายาในแบบของเขาเอง”
“… ” ลู่เสวียน!
เจียงหลีเม้มริมฝีปากของเขาด้วยความเงียบ
ทางเลือกของลู่เสวียนนั้นเกินความคาดหมายของนาง เกรงว่ามันจะเกินความคาดหมายของลู่เจี้ยด้วย
ลู่เจี้ยต้องการส่งพวกเขาให้ไปจากเรื่องราวราคีพวกนี้ แต่พวกเขากลับเลือกที่จะอยู่ต่อ สำหรับลู่เสวียนความเกลียดชังที่มีต่อศัตรูของบิดามารดานั้นไม่สั่นคลอน หากเขาไม่ฆ่าศัตรูด้วยตัวเองคงตายตาไม่หลับ
สำหรับนางแล้ว นางได้สังหารองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์โฮ่วจิ้น ขณะเมื่อทหารเหล่านั้นไล่ล่าและสังหารอวี้เฉิน ราชวงศ์โฮ่วจิ้นทั้งหมดก็เป็นศัตรูกับนางแล้ว
บางที อาจยังคงห่างไกล เมื่อนางตีตราเครื่องหมายของตระกูลลู่ นางก็ไม่สามารถอยู่ห่างจากแผนการเหล่านี้ได้อีกต่อไป
ระหว่างทางก็ได้เงียบไป เรื่องของตระกูลลู่ค่อนข้างหนักหนาพอสมควร
มันหนักมากจนทั้งลู่จ้านและเจียงหลีเลือกที่จะอยู่เงียบ เจียงหลีไม่ได้ถามจนกว่าเขาจะไปถึงเขตชานเมืองของหุบเขาปู้กุย[1] “พวกเจ้าไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเก้าปีศาจใช่มั้ย” เนื่องจากราชสำนักได้ค้นหาตระกูลลู่อย่างแน่นหนา ตอนนี้ที่แห่งนั้นคงถูกคุ้มกันเป็นแน่ ลู่จ้านกล่าวว่า “ในหุบเขาปู้กุย ถ้ำเก้าปีศาจไม่ใช่ถ้ำเดียวที่ตระกูลลู่มี”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เจียงหลีก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ
เรื่องราวในวันนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลลู่วางแผนมาแล้วกี่ปี!
แน่นอน ทิศทางไปยังถ้ำเก้าปีศาจ ทั้งหมดได้ถูกล้อมโดยเจ้าหน้าที่และทหาร หลังจากที่ลู่จ้านพาพวกเขาหลบหลีกอย่างชาญฉลาดจากทิศทางอื่นเพื่อเข้าสู่ถ้ำเก้าปีศาจ
หุบเขาปู้กุยเงียบสงบ แม้กระทั่งเสียงของสัตว์ร้ายก็มีน้อย
กิ่งก้านที่ปกคลุมท้องฟ้า ปิดกั้นแสงดวงอาทิตย์จากภายนอกและในป่ามีกลิ่นเหม็นเน่าอยู่ทั่ว
ลู่จ้านมาถึงช่องว่างหินแคบๆ หันไปด้านข้างถูหน้าอกของเขาและหลังกับกำแพงหิน แล้วเจาะเข้าไป
มีแสงสว่างวาบภายใต้ดวงตาที่มืดของเจียงหลีและเขาก็เดินเข้าไปตามรอยแตกในหินอย่างง่ายดาย นี่คือข้อดีของการเป็นคนตัวเล็ก อวี้ซูซึ่งอยู่กับนางก็เข้าไปในหินแตกได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
ทางเดินธรรมชาตินี้ยาวมากและระหว่างทางก็แคบมาก ลู่จ้านมักจะต้องเดินผ่านโดยหันข้าง หลังจากจุดธูปเกือบหมดดอกแล้ว เจียงหลีรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นทันที
“รหัสลับ”
แสงที่ส่องประกาย ทำให้เจียงหลีได้ยินเสียงที่รุนแรงดังขึ้นในหูของนาง ก่อนที่นางจะปรับการมองเห็นได้ในความมืด
“เวยหว่อลู่เฟิง” ลู่จ้านตอบออกไป
ขณะนี้ การมองเห็นของเจียงหลีได้กลับมา และนางสามารถมองเห็นชายทั้งสองที่เฝ้าทางออกได้อย่างชัดเจน พวกเขาสวมชุดเกราะเบาที่ปักด้วยสัญลักษณ์ของตระกูลลู่
เสียงของอาวุธถูกดึงกลับดังขึ้นและทั้งสองก็กำหมัดแน่นและพูดว่า “ใต้เท้าลู่จ้าน!”
“อืม” ลู่จ้านพยักหน้านำเจียงหลีและอวี้ซูให้เดินต่อไปข้างใน
หลังจากเดินออกไป เจียงหลีก็ค้นพบว่านี่คือหุบเขาธรรมชาติขนาดใหญ่ และตระกูลลู่ก็อยู่ในความมืด ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาและพลังงานเท่าไหร่ ในการสร้างสถานที่แห่งนี้ ให้เป็นป้อมปราการธรรมชาติ เป็นสถานที่สำหรับฝึกเหล่าทหาร
ตั้งอยู่ในภูเขาและถูกสร้างอยู่ด้านล่างของหุบเขา ในทุกที่สามารถมองเห็นสนามฝึก และเสียงของการฝึกซ้อมดังก้องอยู่ในหู มองไปรอบๆ มีผู้คนไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่
นี่เป็นเพียงสิ่งที่นางเห็น
“สาวใช้ของเจ้า จะมีคนดูแล เจ้าไปพบนายน้อยกับข้า” ลู่จ้านขัดจังหวะเจียงหลีที่อยู่ในอาการตกใจ
เจียงหลีถอนสายตาที่ตกตะลึง พยักหน้าและเดินตามลู่จ้านไปที่อาคารบนภูเขา
บันไดจากด้านล่างของหุบเขาไปยังไหล่เขานั้นยาวมาก เช่นเดียวกับบันไดสู่สวรรค์ทั้งเก้า อาคารครึ่งหนึ่งอยู่ด้านนอก และอีกครึ่งหนึ่งฝังอยู่ในกำแพงภูเขา ดูสง่างามและค่อนข้างเคร่งขรึม
แค่กๆ
ทันทีที่เจียงหลีก้าวเข้ามาในห้องโถง เขาก็ได้ยินเสียงไอจากด้านใน
นี่มันเสียงของลู่เจี้ย! ดวงตาของเจียงหลีหรี่ลงและก้าวเท้าของเขาก็เร่งเร็วขึ้นเหนือกว่าลู่จ้านที่นำทาง เพื่อไปตามเสียงนั้น
ในขณะที่นางเดินผ่านลู่จ้าน ดวงตาของเขาเป็นประกายและไม่ได้พูดอะไร
เมื่อก้าวข้ามชั้นของผ้าคลุมและคาน ในที่สุดเจียงหลีก็เห็นแหย่งนั่น ทั้งตัวสวมเสื้อคลุมสีขาวเอาไว้ ลู่เจี้ยผู้ที่สีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ผู้มองเห็นต้องรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
เขาหันหน้าไปด้านข้างและรับชาร้อนจากคนรับใช้
เพียงแค่จิบเบาๆ ก็เกิดอาการไอรุนแรงในอกของเขา สาวรับใช้รีบหยิบถ้วยน้ำชา และต้องการก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบโยนเขา แต่เขาโบกมือปฏิเสธ
“นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เป็นไร” เมื่อรู้สึกถึงการเข้าใกล้ของลู่จ้าน เจียงหลีพูดอย่างเป็นปรปักษ์
ลู่จ้านไม่ได้พูดอะไร แต่ลู่เจี้ยเงยหน้าขึ้นมองมาทางนาง
เขายิ้มจางๆ และรอยยิ้มนั้นทำให้ใบหน้าซีดเซียวของเขาน่าสงสารยิ่งขึ้นไปอีก “หลีเอ๋อร์ มานี่”
ลู่เจี้ยกวักมือให้เจียงหลีตามปกติ
เจียงหลีรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ และไม่อยากเห็นเขาที่แสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง
อย่างไม่ต้องคิดมาก นางรีบเดินไปหาผู้งดงามบนแหย่งไม้ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ นางอ้าแขนและโอบชายคนนั้นไว้ในอ้อมกอดของนาง ใช้อุณหภูมิของร่างกายตนรับเอาความเย็นจากเขา
ขณะที่ลู่เจี้ยกำลังตกใจ นางก็พูดขึ้นว่า “ลู่เจี้ย ข้ากลับมาแล้ว”
[1] ปู้กุย ภาษาจีนคือ 不归 แปลว่า ไม่หวนกลับ