ลู่เจี้ยยังไม่มาถึง…
“อาหลี เจ้ากำลังมองอะไรอยู่” เจียงเฮ่าสังเกตุเห็นว่าดวงตาของเจียงหลีจ้องมองแต่ที่ทางเข้าจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไร” เจียงหลีหรี่ตาและตอบกลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ หรือว่า…เขาจะไม่มา
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ เจียงหลีกัดริมฝีปากอย่างหนัก ลู่เจี้ย! ถ้าเจ้าไม่มาข้าจะลงโทษเจ้าอย่างรุนแรง!
“ผู้สอบวัดผลและคู่ของตนเข้าสู่การสอบวัดผล” ผู้จัดสอบตะโกนอีกครั้ง
“พี่เฮ่า เจียง…เอ้อ…พี่สะใภ้…”
ลู่เสวียนที่เดินเข้าไปหาพวกเขาทั้งสองหลังจากประสานสายตาอันดุดันของเจียงหลีแล้ว ก็รีบเปลี่ยนชื่อเรียกทันที
แน่นอนเจียงเฮ่าไม่ชอบชื่อเรียกนี้ แต่เมื่อเห็นน้องสาวยอมรับมันไว้ เขาก็พูดอะไรมากไม่ได้
“เข้าไปกันเถอะ” ลู่เสวียนพูดอย่างขมขื่น
“ไม่รีบ รอก่อน” เจียงหลีกล่าวและตัดสินใจรอ
ลู่เสวียนและเจียงเฮ่ามองหน้ากันอย่างสงสัยและถามในใจว่า รอก่อนรึ รอใครกัน
ข้างๆ พวกเขามีผู้เข้าสอบอยู่หลายคนที่กำลังเดินเข้าไปในวงกลมสีทองที่วาดอยู่ด้านหน้า ลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนเหล่านี้บางคนเหมือนเจียงเฮ่าและลู่เสวียนที่มากันเป็นคู่ และบางคนได้นำผู้มากฝีมือของตระกูลมาช่วยเหลือตนด้วย
กฎของการวัดผลนี้ค่อนข้างแปลกและไม่มีข้อกำหนดสำหรับระดับการฝึกฝนของผู้มาช่วยเหลือ
ลูกศิษย์บางคนจึงไม่พอใจและออกไปประท้วง และเมื่อได้รับคำตอบว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เจ้าจะได้เผชิญกับคู่ต่อที่มีสถานะใกล้เคืองกันอย่างนั้นหรือ
เมื่อคำตอบเช่นนี้ เสียงคัดค้านก็ค่อยๆ เงียบลง
ส่วนสถานที่วัดผลนั้น ลึกลับยิ่งกว่า!
จนถึงตอนนี้ ทุกคนที่เข้าร่วมการวัดผลต่างไม่รู้ว่าการวัดผลอยู่แห่งหนใดและเนื้อหาของการวัดผลคืออะไร!
…
วงล้อของรถม้าที่หมุนแล่นอยู่บนถนนหลักนอกเมืองอู๋เฉิงอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนล้อแทบจะหลุดจากพื้นกรวดหิน คนขับรถม้าก็เหินลอยไป ถ่มน้ำลายไป และเสียงม้าก็ร้องลั่น
“เร็วเข้า!” เสียงเร่งเร้าอย่างหนักดังมาจากในรถม้า
สิ่งนี้ทำให้คนขับกัดฟันและยกแส้ขึ้นเหวี่ยงไปที่ม้าอีกครั้ง
ฟิ้ววว!
ม้ากำลังเจ็บปวดและยกกีบหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงร้อง
บริเวณด้านหลังของรถม้าก็เริ่มแกว่งไปมา
“นายน้อยยย!”
ฉากนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับทหารองครักษ์ที่ขี่ม้าตามหลังอย่างมาก พวกเขารีบไปข้างหน้าโดยใช้ร่างกายควบคุมรถม้าที่แกว่งไปมา
“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”
หลังจากที่รถม้าทรงตัวได้แล้ว คนขับรถก็ชักมีดสั้นออกมาจากแขน กระโดดกลางอากาศและแทงกริชเข้าที่คอของม้าที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
เสียง ฟึบ ดังขึ้น
กริชเข้าไปในเนื้อและเลือดอุ่นก็พ่นออกมา ทำให้ใบหน้าและลำตัวของคนขับเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด
เวลานี้ ร่างของชายผู้หนึ่งลอยมาจากระยะไกลอย่างรวดเร็วและยืนอยู่หน้ารถม้า เผยให้เห็นถึงรูปร่างที่แท้จริง “นายน้อย ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นไร เดินทางกันต่อเถอะ” เสียงอันอ่อนแอของลู่เจี้ยดังมาจากในรถม้า
ดวงตาของเงาอึดอัดชั่วครู่ และรวบรวมความกล้าที่จะเกลี้ยกล่อมเขา “นายน้อยพักร่างกายของท่านก่อนเถิด ท่านมิสามารถรับแรงกระแทกเช่นนี้ได้อีกต่อไป”
ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ความเจ็บปวดจากการขาดแคลนเนตรญาณหนึ่งดวงของลู่เจี้ยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เนตรญาณที่ขาดหายไปหนึ่งดวง ทำให้ร่างกายเขาไม่เสถียร ราวกับเครื่องประดับตกแต่งเครื่องปั้นดินเผาอันเปราะบาง เมื่อเกิดการกระทบกระทั้ง ก็อาจทำให้เกิดรอยร้าวได้
เมื่อเครื่องปั้นดินเผานี้เต็มไปด้วยรอยร้าว ก็ถึงเวลาที่เขาจะ…
ยิ่งไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้ต่อ เขารู้เพียงว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่สมควรมา! แต่นายน้อยของเขากลับดื้อรั้นจะมาให้ได้ แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดก็ตาม
“ไปต่อเถอะ” คำวิงวอนของเงาไม่เป็นผล เพราะลู่เจี้ยยังคงยืนกรานหนักแน่น
“ใต้เท้า ต้องเดินทางอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ร่างกายของนายน้อยแบกรับไม่ไหวแน่ รวมถึงตอนนี้ม้าก็ได้ตายไปแล้วด้วย…”
องครักษ์กระซิบที่ข้างหูของเงา
เงาขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นมองรถม้าที่ปิดสนิท ทันใดนั้นก็หันหลังกลับและมุ่งไปข้างหน้า
เขาจับไปที่ด้ามจับของรถม้า และเรียกพลังวิญญาณไว้ในมือ เขาต้องการบังคับรถม้าด้วยตัวเอง!
ทหารองครักษ์ที่เฝ้ารถม้าทั้งด้านซ้ายและด้านขวาล้วนได้รับการดลใจจากเขาและปฏิบัติตาม จับอานม้า ฐานรถม้าและตำแหน่งอื่นๆ ไว้แน่น เพื่อปลดปล่อยพลังวิญญาณของพวกเขาออกมาเช่นกัน
“ลุกขึ้นนน!” เงาตะโกนและพลังวิญญาณของเขาก็ห่อหุ้มรถม้าและยกมันขึ้น
อ้ากก
ทหารองครักษ์ทั้งหลายตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันและแบกรถม้า
เงายกเท้าพร้อมกับได้รับความร่วมมือจากคนอื่นๆ รถม้าที่ลู่เจี้ยนั่งอยู่ก็ลอยกลางอากาศและได้รับแรงแบกจากคนกลุ่มหนึ่ง ทำให้เคลื่อนตัวไปยังจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็วดุจสายลม
ล้อห่างจากพื้นและทุกคนก็ปกป้องมันไว้ และเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ นุ่มนวลกว่ามากและไม่มีหลุม ไม่มีบ่อขรุขระเลย
ภายในรถม้า มีกลิ่นยาโชยฉุนจมูก
สีหน้าของลู่เจี้ยค่อนข้างแย่ ผิวขาวซีดจนไม่มีสีเลือดอยู่เลย แม้แต่ริมฝีปากของเขาก็โปร่งใส ไร้สี “หลีเอ๋อร์ รอข้าก่อน ข้าใกล้ถึงแล้ว”
…
ตัง ตัง ตังงง!
เสียงระฆังดังขึ้นจากสนามวัดผลของสถาบันไป๋หยวน
ลู่เสวียนหันหน้าชำเลืองมอง มองเห็นเฉียนจวิ้นและโจวยวนเดินเข้าไปในวงของการสอบวัดผลด้วยกัน ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นการจ้องมองของลู่เสวียน โจวยวนจึงมองกลับไปและจ้องมองเขาเช่นกัน
นางมิได้ปกปิดความรู้สึกโกรธแค้นไว้เลย ทำให้หัวใจของลู่เสวียนกระตุกหนึ่งทีและสับสนเล็กน้อย
โจวยวนมองไปที่ลู่เสวียน จากนั้นก็ดึงสายตากลับมา
ขณะที่ ลู่เสวียนหันกลับมามอง แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาเช่นกัน แล้วพูดกับเจียงหลีและเจียงเฮ่าว่า “ใกล้ถึงเวลาแล้ว หากเจ้าชักช้ากว่านี้ เจ้าจะพลาดการวัดผลครั้งนี้ไป ข้าได้ยินมาว่าเราต้องสะสมคะแนนทุกครั้งของสถาบันไป๋หยวน และมีเพียงผู้ที่มีคะแนนสูงสุดสิบอันดับแรกเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์แข่งขันเพื่อแย่งชิงการเข้าสู่ซีฮวง ดินแดนทางตะวันตกนั่น”
เป็นเวลาครึ่งปีแล้วที่พวกเขามา ณ ที่แห่งนี้ ลู่เสวียนและเจียงเฮ่ารู้มานานแล้วว่าสถาบันไป๋หยวนกำลังคัดเลือกเมล็ดพันธุ์แห่งอัจฉริยะเพื่อเฟ้นหาพลังอำนาจบางอย่างในซีฮวง
พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพลังอำนาจนั้น แต่สิ่งเดียวที่พวกเขามั่นใจได้คือพวกเขาจะได้รับทรัพยากรที่ดีขึ้นและการฝึกฝนในระดับชั้นที่สูงขึ้นย่างแน่นอน
“พวกเจ้าเข้าไปก่อน” เจียงหลีเม้มริมฝีปากกล่าวกับทั้งสอง
นางไม่ยอมแพ้และจะคงรอต่อไป
“อาหลี” เจียงเฮ่าเกลี้ยกล่อม
เจียงหลีมิได้มองกลับไป แต่พูดอย่างมั่นใจ “ข้าไม่พลาดการสอบวัดผลในครั้งนี้แน่นอน”
นางจะรอจนกว่าลู่เจี้ยจะมาถึง หากท้ายสุดแล้วเขาไม่มา นางจะเข้าสู่การสอบวัดผลด้วยตนเอง ถึงจะไม่มีคู่ก็ตาม นางก็สามารถแย่งชิงคะแนนได้ด้วยตัวของนางเอง
“เฮ้อ ตามใจนางเถิด เสี่ยวเสวียนเราเข้าไปกันก่อนเถอะ” เจียงเฮ่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้นางทำตามใจ
“พี่เฮ่า แต่ว่า…” ลู่เสวียนกังวลเล็กน้อย
แต่ทว่า ภายใต้แรงดึงของเจียงเฮ่า เขาจึงต้องเดินไปที่วงแห่งการสอบวัดผล
“พี่เฮ่า นางรอใครอยู่หรือ” ลู่เสวียนอดไม่ได้ที่จะถามขณะที่เขาเดินจากไปไกลแล้ว
ริมฝีปากของเจียงเฮ่าขยับ “ข้าไม่รู้” อันที่จริงเขาคาดเดาอยู่ในใจ แต่เขาไม่อยากให้การคาดเดานี้เป็นจริง
“เจียงหลี เจ้ายังไม่เข้าสู่วงแห่งการสอบวัดผลใช่หรือไม่” หลังจากนั้นไม่นาน มีเพียงเจียงหลีเท่านั้นที่อยู่นอกวงกลม ผู้อำนวยการสอบวัดผลอดไม่ได้ กล่าวเตือนนางขึ้นมา
“ฮึ่ม คงถูกคู่ของนางเทเสียแล้ว” เสียงเสียดสีของโจวยวนดังมาจากวงแห่งการสอบวัดผล
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ คนในชุดสีแดงเปลวไฟอันร้อนแรงได้ปะทุเข้าไปในดวงตาของเจียงหลี และเสียงนี้เองทำให้เจียงหลีแทบจะระเบิด กลับเล็ดลอดเข้าไปในหูของนาง…