บทที่ 27 ไม่มีความอ่อนโยน
เว่ยชีทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูง ผ่านไปได้ไม่นาน ชุดโต๊ะทำงานพร้อมเก้าอี้ใหม่เอี่ยมตั้งอยู่ในห้องทำงานเรียบร้อย
ทั้งยังนำเอกสารและแผนงานออกแบบของหล่อนเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
เขาพูดด้วยอย่างมีมารยาท “คุณเย้นยังต้องการเอกสารหรือของอะไรเพิ่มเติมไหมครับ ผมจะได้ไปเตรียมมาให้ครับ”
เมื่อเห็นเว่ยชีทุ่มเทให้กับงานของตัวเองเช่นนี้ เย้นหว่านรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าเขาเป็นผู้ช่วยของใครกันแน่
หล่อนหมดหนทางจนต้องยื่นมือออกไปรับเอกสาร ในที่สุดหล่อนต้องจำใจยอมรับกับการที่จะต้องทำงานที่นี่
“ไม่มีแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ หากต้องการอะไรเพิ่มเติม เรียกใช้ผมได้เสมอนะครับ”
เว่ยชีพยักหน้าให้เย้นหว่าน จากนั้นเดินออกไปพลางปิดประตูลง
ในห้องเหลือเพียงเย้นหว่านและโห้หลีเฉินสองคน
และสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อครู่ หล่อนไม่ได้มานำเสนองาน แต่กลับต้องนั่งทำงานที่นี่แล้ว
เย้นหว่านรู้สึกอึดอัด “คุณโห้ฉันเริ่มทำงานแล้วนะคะ”
เย้นหว่านพูดพลาง เดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานใหม่ เปิดเอกสารไปมาด้วยความเคร่งเครียด
ดูเผินๆเหมือนตั้งใจมาก แต่ในใจกลับกระวนกระวาย จนไม่รู้จะทำยังไงให้สงบลงได้
โห้หลีเฉินเห็นเย้นหว่านมีท่าทีไม่สบายใจ จึงเงยหน้าจ้องมองหล่อน
ตอนนี้หล่อนยังคงรู้สึกเกร็งกับเขาอยู่
มีเพียงวิธีนี้ ที่จะทำให้หล่อนค่อยๆคุ้นเคยกับการอยู่ร่วมกันกับเขา
“ก๊อกๆๆ”
ด้านนอกห้องทำงาน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เย้นหว่านที่นั่งก้มหน้าตลอดเวลา เงยหน้าขึ้นมาทันที หล่อนหันไปมองโห้หลีเฉิน สายตากระพริบเป็นประกาย
“มีคนมาพบคุณ ให้ฉันไปหลบก่อนไหม?”
“ไม่ต้อง”
โห้หลีเฉินพูดปฏิเสธเย้นหว่านอย่างเย็นชาทันที
ประตูถูกเปิดออก ผู้บริหารระดับสูงสามท่านของบริษัทเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นโต๊ะทำงานตัวใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ต่างพากันประหลาดใจ
หากในห้องทำงานมีเลขานั่งอยู่นั้นถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่ทว่า สิ่งที่ผิดปกติแปลกไปคือเย้นหว่านไม่ใช่เลขา
ให้ดีไซน์เนอร์มาทำงานในห้องท่านประธานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
เย้นหว่านรู้สึกเขินอาย ไม่กล้าสบตามองใคร ก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นอ่านเอกสารด้วยสีหน้าตั้งใจเคร่งเครียด
โห้หลีเฉินเหลือบมองไปที่หล่อน เม้มปากเล็กน้อย ท่าทางอารมณ์ดี
เขาพูดขึ้น “มีธุระอะไรก็ว่ามา”
ผู้บริหารระดับสูงเข้ามารายงานด้วยตัวเองเช่นนี้ ต้องเป็นเรื่องที่มีความลับและสำคัญอย่างมากแน่นอน เดิมทีพวกเขามีสีหน้าท่าทางลังเลใจว่าควรให้เย้นหว่านออกไปข้างนอกก่อนหรือไม่
แต่คำพูดของท่านประธาน บ่งบอกว่า ไม่ต้อง
ผู้บริหารระดับสูงพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนเก่ง ไหวพริบดี พวกเขาสามารถคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ได้แน่นอน
พวกเขาไม่พูดอะไรต่อ แต่ละคนลุกขึ้นยืนตรงรายงานอย่างจริงจัง
โห้หลีเฉินนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน จัดการงานต่างๆ พลางฟังรายงานจากพวกเขา
แยกสมาธิทำงานในเวลาเดียวกัน ประโยชน์ทวีคูณ
บริษัทนี้ถือเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ ไม่ได้มีแต่เสื้อผ้าที่เป็นสินค้าหลัก ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่หล่อนไม่เข้าใจ
หล่อนฟังด้วยความเบื่อหน่าย แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินหัวข้อที่ทำให้หล่อนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
หนึ่งในผู้บริหารพูดขึ้น “ตอนนี้กำลังดำเนินการเรื่องเงินลงทุนในงานแข่งขันออกแบบเสื้อผ้าOvi ครั้งนี้พวกเราเป็นถือเป็นผู้ร่วมหุ่นใหญ่ที่สุด ได้รับโควตาพิเศษเข้าร่วมการแข่งขันรอบรองชนะเลิศสามคน”
งานแข่งขันออกแบบเสื้อผ้าOviจัดขึ้นสามปีครั้ง เป็นเวทีการแข่งขันระดับประเทศขนาดใหญ่ ดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังล้วนแล้วแต่เคยผ่านเวทีนี้มาก่อน เพื่อช่วงชิงอันดับหนึ่งของเวทีนี้
ผู้ที่สามารถคว้าอันดับหนึ่งของเวทีนี้มาครอบครองได้ ถือเป็นไฟเบิกทางของเส้นทางชีวิตดีไซน์เนอร์ได้เลย
เวทีนี้เป็นเวทีที่ดีไซน์เนอร์ทุกคนใฝ่ฝันและพร้อมที่จะแข่งขันเพื่อชิงชัยชนะ และแน่นอนหนึ่งในนั้นรวมถึงเย้นหว่าน
แต่หล่อนไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน หากจะเข้าร่วมในรอบคัดเลือกด้วยคุณสมบัติดีไซน์เนอร์หน้าใหม่เกรงว่ายังไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมด้วยซ้ำ หล่อนจึงรู้สึกสิ้นหวังกับการแข่งขันในครั้งนี้แล้ว
แต่ตอนนี้….
บริษัทมีโควต้าเข้าแข่งขันได้สามคน ถ้าหล่อนสามารถคว้าโอกาสนี้มาได้
“พวกเรามาลงความเห็นกันก่อน โควตาสามคนในครั้งนี้ ให้ดีไซน์เนอร์ที่มีประสบการณ์แข่งกัน คงจะไม่มีปัญหาอะไร”
มีประสบการณ์?
เย้นหว่านรู้สึกทุกข์ใจขึ้นมาทันที แม้ว่าหล่อนจะมีโอกาสออกแบบชุดให้ท่านประธาน แต่ยังไม่ได้ออกแบบมาเป็นรูปเป็นร่าง ยังไม่มีผลงาน คงยังไม่ถือว่าเป็นประสบการณ์ ยิ่งไม่ถือว่าเป็นผลสำเร็จของหล่อน
การแข่งขันครั้งนี้ หล่อนจึงยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม
โห้หลีเฉินเหลือบมองมาที่เย้นหว่าน เห็นสีหน้าของหล่อนผิดหวังเสียใจ
เขามองด้วยสายตาเห็นใจ พูดขึ้นด้วยเสียงนิ่งขรึม
“ผมเป็นคนกำหนดโควต้าเอง”
“ครับ ท่านประธาน”
ผู้บริหารทั้งสามไม่ทักท้วงกับการตัดสินใจของเขา เพราะโห้หลีเฉินเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย้นหว่านใจเต้น รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที
โห้หลีเฉินจะให้โอกาสนี้กับหล่อนหรือไม่?
หรือให้หล่อนลองแข่งขันกับคนอื่นดู
เมื่อคิดดูแล้ว เย้นหว่านจึงนั่งรอคอยให้พวกเขาทั้งสามรีบรายงานเสร็จอย่างใจจดใจจ่อ
แต่พวกเขามากันสามคน นั่นหมายความว่า เมื่อคนหนึ่งรายงานเสร็จ อีกคนก็ต้องรายงานต่อ
เย้นหว่านเริ่มฟังไม่รู้เรื่องอีกครั้ง ความรู้สึกเหมือนกำลังฟังอาจารย์สอนสมัยเรียน ฟังไปเรื่อยๆก็ผล็อยหลับไป
ไม่นานนักโห้หลีเฉินสังเกตเห็นหล่อนนอนฟุบลงบนโต๊ะ เขาแอบยิ้มขึ้นทันที
เขาส่งสายตามองไปที่ชายตรงหน้าที่กำลังพูดไม่หยุด ออกคำสั่งด้วยเสียงนิ่งขรึม
“เบาหน่อย”
ชายคนนั้นทำหน้าฉงน เพราะเขาพูดเสียงดังเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว
แม้ว่าจะสงสัย แต่เขาก็รีบเบาเสียงลงทันที
ผ่านไปสักพัก โห้หลีเฉินให้พวกเขารีบรายงานให้เสร็จ จากนั้นเชิญพวกเขาออกไป
เขาลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่ตรงของเย้นหว่าน
เมื่อคืนหล่อนนอนดึก ทั้งยังต้องตื่นเช้า ทำให้หล่อนหลับลึกมากในตอนนี้
แต่ดูเหมือนหล่อนจะนอนไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ หัวของหล่อนยังขยับไปมาตลอดเวลา
จนหน้าของหล่อนเป็นรอยแดง
โห้หลีเฉินเม้มปาก ยื่นมือออกไป ค่อยๆประคองหล่อนขึ้นมา จากนั้นพาไปที่ห้องพัก วางหล่อนลงบนเตียง
เขาก้มตัวลง หยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้หล่อน
ท่าทางของเขาประณีตอ่อนโยน แต่ถ้าเว่ยชีมาเห็นเข้า เขาคงตกใจตะลึง
คนฐานะสูงอย่างโห้หลีเฉิน เคยห่มผ้าห่มให้คนอื่นเสียที่ไหน?
เย้นหว่านหลับอย่างสบาย ทั้งยังหลับฝันดีอีกด้วย เมื่อตื่นขึ้นมายังฉีกยิ้มไม่หุบ
แต่เมื่อหล่อนมองไปรอบๆ กลับตกใจขึ้นมาทันที
ที่นี่ที่ไหน? ทำไมหล่อนถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้?
หล่อนรีบลงมาจากเตียง เปิดประตูออก เห็นห้องทำงานที่คุ้นเคย และ ผู้ชายหน้าตาดีที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า
เมื่อได้ยินเสียง โห้หลีเฉินจึงเงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่หล่อน
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งมีเสน่ห์ “ตื่นแล้วเหรอ?”
“ค่ะ”
เย้นหว่านหน้าแดงเล็กน้อย หล่อนเข้าใจขึ้นมาทันที เดิมทีหล่อนนอนอยู่บนโต๊ะทำงาน แต่จากนั้นถูกโห้หลีเฉินอุ้มไปนอนที่ห้องพัก
หล่อนเดินไปที่โต๊ะทำงานตัวเองด้วยท่าทางเคอะเขิน แต่กลับเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง
เลยเวลาเลิกงานมาครึ่งชั่วโมงแล้ว
หล่อนยิ่งรู้สึกเขินมากขึ้น จะมีใครทำงานเหมือนหล่อนอีกไหม นอนหลับต่อหน้าหัวหน้าจนกระทั่งเวลาเลิกงาน
หล่อนรีบเก็บของด้วยท่าทางเขินอาย “งั้น…ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
ละอายใจจนไม่กล้าอยู่ต่อแล้ว รีบกลับดีกว่า
เมื่อเห็นเย้นหว่านรีบกลับออกไป โห้หลีเฉินมองท่าทางเคอะเขินของหล่อนพลางยิ้มขึ้น
จากนั้นเขาจึงหยุดทำงาน ลุกขึ้นยืน เตรียมตัวกลับ