บทที่ 33 หน้าที่ของคู่หมั้น
ตอนนี้ทั้งสอคนอยู่ใกล้กันมาก ฮอร์โมนเพศชายเด่นชัดขึ้นบนใบหน้าของเขา ทำให้เย้นหว่านขนลุกไปทั้งตัว
เธอเกือบจะถอยหนีตามจิตสำนึก แต่ว่าโดนโห้หลีเฉินจับไว้ก่อน
มือหนาของเขาออกแรงดึง ทำให้เธอสูญเสียการควบคุมแล้วโผเข้าไปที่อ้อมอกของเขา
ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากจนทำให้ใจเต้น
เย้นหว่านหน้าแดงขึ้นมาทันที แล้วก็ยื่นมือไปผลักเขา “คุณ คุณจะทำอะไร?”
“เย้นหว่าน ตอบคำถามของฉันมา”
โห้หลีเฉินมองหน้าเธอ แล้วก็ไล่ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาอยู่ไม่ไกล ตอนที่พูดนั้น เหมือนกับว่าริมฝีปากบางๆของเขาจะสัมผัสกับเธอ
เย้นหว่านตื่นเต้นจนความคิดกระเจิดกระเจิงไปหมด
“พวกเรา…พวกเราเป็นแค่คู่…”
“เธอยังรู้อยู่อีกหรอว่าฉันคือคู่หมั้นของเธอ?”
โห้หลีเฉินตัดบทเธอ สายตาที่เขามองเธอเต็มไปด้วยความลึกซึ้งและนิ่งเงียบ และยังเต็มไปด้วยความรุกราน
เย้นหว่านอึ้งไป ทันใดนั้นเธอก็รู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้โห้หลีเฉินไม่พอใจ
ตอนนี้เธอคือคู่หมั้นของเขา ถึงแม้ว่าแค่ไปแกล้งเป็นแฟนของผู้ชายคนอื่น ก็ทำให้เขาเสียหน้า
เย้นหว่านรีบเอ่ยขอโทษ “ขอโทษค่ะ ฉันสัญญาว่าต่อไปจะไม่มีเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ฉันจะเป็นคู่หมั้นที่ดี”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ โห้หลีเฉินก็คลี่ยิ้มออกมาทันที เหมือนกับว่าได้รับคำตอบที่พึงพอใจ
น้ำเสียงที่ทุ่มต่ำของเขาเต็มไปด้วยความหมายแฝง “จะคำพูดของเธอไว้นะ ว่าจะเป็นคู่หมั้นที่ดี”
หน้าที่ของคู่หมั้นนั้น ในสายตาของเย้นหว่าน ก็คือในหนึ่งเดือนนี้ ช่วยโห้หลีเฉินแสดงละคร เพื่อจัดการกับญาติและเพื่อนๆของเขา
นี่คือสิ่งที่เธอรับปากว่าจะทำ แต่ว่าเธอไม่รู้ตัวเลยว่า ต่อไปนี้ เธอจะรู้สึกเสียใจจนอยากจะเรียกคืนคำพูดพวกนี้กลับมา
หลังจากกลับมาจากงานปาร์ตี้ เย้นหว่านก็ถอดชุดและเครื่องประดับออก แล้วก็เก็บใส่กระเป๋าอย่างเรียบร้อย
เธอเป็นดีไซน์เนอร์ เธอเองก็ต้องรู้จักสินค้าแต่ละอย่างดีอยู่แล้ว ชุดนี้น่าจะมีราคาเป็นล้าน เพราะฉะนั้นเธอต้องเอาไปคืน
และวันนี้ก็เป็นวันหยุด ตอนเช้า เธอก็เลยโทรหาโห้หลีเฉิน
นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของโห้หลีเฉิน ผ่านไปแปปเดียวเขาก็รับสาย
เย้นหว่านพูดจาอย่างสุภาพว่า “ คุณโห้ ตอนนี้คุณอยู่บ้านมั้ยคะ?”
“อยู่”
“ถ้ายังงั้นเดี๋ยวฉันเข้าไปได้มั้ยคะ? ฉันจะเอาชุดเมื่อวานไปคืน”
เสียงปลายสายเงียบลงไปสองวินาที หลังจากนั้น ก็มีเสียงที่เซ็กซี่ของโห้หลีเฉินลอดผ่านปลายสายมา
“ได้”
หลังจากวางสาย เย้นหว่านก็ขับรถไปที่อาคารส้ายน่า
รถจากข้างนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตคฤหาสน์ เย้นหว่านก็เลยต้องจอดลงไว้ข้างหน้า
คฤหาสน์นี้ใหญ่มาก ถ้าต้องเดิน ก็คือเดินไกลมาก
เย้นหว่านดูเวลา ไม่กล้าให้โห้หลีเฉินรอนาน เธอก็ถือถุงชุดราตรีขึ้นมา แล้วก็คิดว่าจะวิ่งเข้าไป
ตอนนี้เอง ลุงยามก็ขวางเธอไว้
“คุณผู้หญิง คุณคือคุณเย้นหว่านรึป่าวครับ?”
“ใช่ค่ะ” เย้นหว่านมองหน้าลุงยามคนนั้นด้วยความลังเล
ลุงยามหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “คือแบบนี้ครับ คุณโห้สั่งมาแล้วว่าให้พวกเราเตรียมรถไปส่งคุณ”
พอพูดจบ ลุงยามก็ชี้ไปที่รถกอล์ฟที่จอดอยู่ข้างๆ
เย้นหว่านรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าโห้หลีเฉินจะเป็นคนรอบคอบขนาดนี้
เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ เธอขอบคุณลุงยาม แล้วก็ขึ้นรถ
ก่อนที่ลุงยามจะไปส่งเย้นหว่านที่หน้าคฤหาสน์ของโห้หลีเฉิน ก็พาเธอขับรถชมสถานที่ก่อน
เย้นหว่านเดินไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ พอเห็นประตูที่ล็อคอยู่นั้น เธอก็นึกถึงเรื่องคืนนั้นขึ้นมา โห้หลีเฉินเอามือเธอไปบันทึกลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อค
ตอนนี้เธอสามารถปลดล็อคได้ด้วยลายนิ้วมือของตัวเอง
แต่ว่าเธอก็รู้สึกแปลกๆ เย้นหว่านก็เลยกดกริ่งหน้าบ้าน
“กริ๊งๆๆๆ”
“กริ๊งๆๆๆ”
หลังจากเสียงกริ่งหน้าประตูดังอยู่ซักพัก ก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู
หรือว่าโห้หลีเฉินไม่อยู่?
หรือว่าไม่ได้ยิน?
เย้นหว่านยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง คิดอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ใช้ลายนิ้วมือของตัวเองเพื่อปลดล็อคประตู
หลังจากเข้ามาด้านใน เย้นหว่านก็มองไปที่ห้องรับแขก
ใหญ่โต กว้างขวาง หรูหรา แต่ว่าไม่เห็นโห้หลีเฉินเลยแม้แต่น้อย
เย้นหว่านก็เลยเดินเข้าไปข้างใน แล้วก็เรียกออกมา “คุณโห้ อยู่มั้ยคะ?”
“อยู่ในสวน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่น่าดึงดูดของโห้หลีเฉินดังขึ้นมาจากทางสวนดอกไม้ด้านหลัง
เย้นหว่านมาที่นี่สองครั้งแล้ว แต่ว่าทุกครั้งเธอได้แต่ร้อนรนและก็ตื่นเต้น ก็เลยไม่เคยได้สำรวจที่นี่เลย เลยไม่รู้ว่าที่นี่มีสวนหลังบ้านที่กว้างขวางอยู่ด้วย
หน้าสีเขียวขจีในสวนนั้นถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม ดูเหมือนว่าเป็นสวนสาธารณะส่วนตัว
โห้หลีเฉินใส่ชุดอยู่บ้าน แต่กลับดูสง่างามมาก มันแตกต่างจากปกติที่เขาต้องสวมชุดสูทและรองเท้าหนัง แต่ว่าก็มีเสน่ห์มากอยู่เหมือนเดิม
ในตอนนี้เอง เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าหญ้าสีเขียว เหมือนกับว่ากำลังมองอะไรอยู่
เย้นหว่านเดินตรงเข้าไปทางเขา แล้วก็อธิบายออกมาอย่างมีมารยาท
“เมื่อกี้ฉันเคาะประตูแต่ว่าก็ไม่มีเสียงอะไรตอบรับ ฉันก็เลยนึกว่าคุณจะไม่ได้ยิน ก็เลยเปิดประตูเข้ามาเอง”
“ในเมื่อฉันบันทึกลายนิ้วมือของเธอไว้แล้ว เธออยากจะเข้ามาตอนไหนก็เข้ามาได้ทั้งนั้นแหละ”
โห้หลีเฉินเหลือบมองหน้าเย้นหว่าน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสมยอม
เย้นหว่านแปลกใจ ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เธอรีบหยิบถุงนั้นส่งให้โห้หลีเฉิน “นี่คือชุดของเมื่อวานค่ะ ฉันคืนให้”
โห้หลีเฉินหันมามองชุดนั้น แต่ว่าก็ไม่ได้สนใจซักนิด
เสื้อผ้าพวกนี้ ถ้าเกิดว่าให้เย้นหว่านก็ถือว่าเป็นของเธอแล้ว แต่ว่าเธออยากจะคืน เขาก็ขี้เกียจจะห้ามเธอ
ยังไงในงานปาร์ตี้ครั้งหน้า เขาก็จะเตรียมชุดใหม่ให้เธออยู่ดี
“ เย้นหว่าน เธอลองดูตรงนี้สิ เหมือนว่ามันขาดอะไรไปมั้ย?”
โห้หลีเฉินชี้ไปที่ลานหญ้าแล้วก็พูดออกมา
เย้นหว่านเหลือบมอง ที่นี่น่าจะถูกออกแบบด้วยผู้เชี่ยวชาญ มันดูรัดกุมและเหมาะสม ดูแล้วสบายตามาก”
เธอถามออกมา “คุณโห้ คุณอยากปลูกอะไรเพิ่มล่ะคะ?”
ในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่ใช่ปัญหาของผู้เชี่ยวชาญ แต่ว่ามันคือมุมมองของเจ้าของบ้านที่เปลี่ยนไปต่างหาก
โห้หลีเฉินหันกลับมามองเย้นหว่าน
“เธอคิดว่าควรปลูกอะไรดีล่ะ?”
“ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องจัดสวนเท่าไหร่”
เย้นหว่านส่ายหน้า เห็นว่าโห้หลีเฉินจ้องมองมาที่เธอ แล้วก็เลยรีบพูดต่อ “เอาตามที่คุณชอบเถอะ แต่ว่าถ้าเป็นฉัน ฉันจะปลูกดอกไม้”
“ดอกไม้งั้นหรอ? ก็ไม่เลว เดี๋ยวเธอไปเลือกดอกไม้กับฉันแล้วกัน”
โห้หลีเฉิน เม้มปาก แล้วก็เดินเข้าไปในคฤหาสน์
เย้นหว่านอึ้ง เธอไม่ได้บอกว่าจะไปเลือกซื้อดอกไม้กับเขาสักหน่อย
“คุณโห้ เดี๋ยวฉันมีธุระ…”
“เย้นหว่าน เธอคือคู่หมั้นของฉันนะ”
โห้หลีเฉินหยุดเดิน แล้วก็หันกลับมามองหน้าเธอ สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง
“การที่ต้องช่วยฉันแต่งสวน ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของเธอ”
หน้าที่?!
ทันใดนั้นในหัวของเธอก็ปรากฏภาพเมื่อวาน คำพูดของโห้หลีเฉินเมื่อวาน ที่บอกว่าให้เธอจำคำพูดที่เธอบอกว่าจะทำหน้าที่ของคู่หมั้นที่ดี
แต่ว่าหน้าที่ที่เธอหมายถึงไม่ได้หมายถึงแบบนี้นี่
เย้นหว่านต้องการจะอธิบาย แต่ว่าก็เห็นว่าร่างสูงของโห้หลีเฉินเดินเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง โห้หลีเฉินก็เปลี่ยนชุดสูทออกมา
เขาเห็นว่าเย้นหว่านยังคงยืนงุนงงอยู่ในสวน ริมฝีปากที่เซ็กซี่ของเขาก็คลี่ยิ้มออกมา
เขาพูดเสียงเบาว่า “ตลาดดอกไม้อยู่ห่างจากที่นี่อย่างน้อยก็ต้องขับรถหนึ่งชั่วโมง ถ้าเกิดว่าไปสาย ก็อาจจะต้องค้างที่นั่นก็ได้นะ”
ทันใดนั้นเย้นหว่านที่จะถูกลากออกไปซื้อดอกไม้ก็อึ้งเล็กน้อย การที่ต้องค้างคืนกับเขา เธอไม่แม้แต่กล้าคิดด้วยซ้ำ
เย้นหว่านรีบเดินเข้าไปทันที “รีบไปกันเถอะค่ะ รีบไปรีบกลับ”