บทที่ 50 คุณกำลังบอกใบ้ผมหรอ
แก้มของเย้นหว่านแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่เธอก็รีบเก็บอาการและไม่กล้าคิดต่อไป เมื่อเธอสวมรองเท้าแตะได้พอดีแล้วเดินบนทรายก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าเท้าจะถูกเศษเปลือกหอยบาดเพราะเธออยากเดินลึกไปอีกหน่อย
โห้หลีเฉินที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอก็เดินไปพร้อมกับเธออย่างเป็นธรรมชาติ เงาของทั้งสองที่ปรากฏในยามพระอาทิตย์กำลังตกดินเหมือนกับคู่รักที่กำลังเดินเล่นริมชายหาด เมื่อเย้นหว่านมองเงาทั้งสองที่พาดยาวอยู่บนพื้นหัวใจเธอก็พลันเต้นแรงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เธอที่เดินใจลอยอยู่ ทันใดนั้นเท้าก็เหยียบลงไปบนความว่างเปล่าก็ประจวบกับที่น้ำทะเลม้วนขึ้นมาพอดี เธอเสียการทรงตัวเลยหล่นลงไปในน้ำทะเล
“ระวัง!” ใบหน้าขรึมของโห้หลีเฉินก็เปลี่ยนไปทันที
“ตู้มมมมม” เสียงน้ำสาดกระเซ็น เย้นหว่านถูกน้ำทะเลซัดจมลงไปทันที
น้ำทะเลที่เยือกเย็นโจมตีเข้ามาในประสาทสัมผัส เธอว่ายน้ำไม่เป็นจึงพยายามตะเกียกตะกายแต่ยิ่งตะเกียกตะกายมากเท่าไหร่ร่างกายของเธอก็ยิ่งจมลงไป
ช่วยด้วย…… เธอหวาดกลัวจนสมองว่างเปล่า ความรู้สึกกลัวตายค่อยๆ เข้ามาครอบงำ ในตอนที่สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด ก็มีมือข้างหนึ่งมาจับข้อมือของเธอมันเหมือนคนกำลังจะจมน้ำตายแต่จู่ๆ ก็พบท่อนไม้ลอยมาช่วยชีวิตไว้ เย้นหว่านก็คว้ามือเขากลับตามจิตใต้สำนึกแล้วลืมตาขึ้นมาอย่างลำบากก็เห็นใบหน้าที่หล่อดูดีแต่ก็สวยงามอย่างที่สุดและสายตาคมรางๆ ในน้ำทะเล
หัวใจของเย้นหว่านที่เต้นอย่างรุนแรงด้วยความหวาดกลัวก็รู้สึกสงบแล้วราวกับได้รับการปลอบโยน เหมือนว่าแค่มีเขาอยู่ตรงนี้เธอก็จะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน
โห้หลีเฉินดึงเย้นหว่านพาเธอลอยขึ้นไปบนผิวน้ำ
“แค่ก แค่ก แค่ก” เมื่อมีอากาศบริสุทธิ์แล้วเย้นหว่านก็รีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
โห้หลีเฉินโอบกอดพยุงเธอให้ลอยตัวไว้แล้วก็ตบที่หลังของเธอเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “ดีขึ้นไหม?”
“แค่ก ดีขึ้นเยอะแล้ว” เย้นหว่านค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาแม้ใจจะยังคงหวาดกลัวอยู่และมือก็คว้าจับเสื้อผ้าของโห้หลีเฉินไว้แน่น เธอว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าห่างจากเขาก็จะจมลงไปอีก ความรู้สึกของการจมน้ำมันน่ากลัวมากจริงๆ
โห้หลีเฉินมองหญิงสาวตัวน้อยที่กำลังกอดเขาเอาไว้แน่นด้วยสายตาที่หม่นลง นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เธอมากอดเขาเองจนเขาคิดอยากอยู่ในทะเลนานอีกหน่อย แต่เมื่อเห็นขาวซีดของเธอแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ผมจะพาคุณขึ้นไป” คลื่นทะเลที่กำลังแล่นเข้ามาเป็นชั้นๆ เวลาผ่านไปไม่นานตอนนี้พวกเขาก็ถูกพัดออกห่างชายหาดแล้ว โห้หลีเฉินพาเย้นหว่านว่ายไปที่ชายฝั่ง เมื่อสามารถยืนได้มั่นคงแล้วเขาก็อุ้มเธอขึ้นมา
เมื่อเธอเห็นเขาพาเดินขึ้นมาบนหาดทรายแล้ว เธอก็รู้สึกเกรงใจ “ปล่อยฉันลงเถอะค่ะ” แม้ว่าขาเธอยังไม่ค่อยมีแรงแต่เธอก็น่าจะเดินเองได้
แต่โห้หลีเฉินกลับไม่ได้สนใจคำพูดของเธอแล้วก้าวยาวๆ เดินไปข้างหน้า วงแขนของเขาที่กอดไว้นั้นกว้างและแข็งแรงมาก ถูกเขาอุ้มอย่างนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรและเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน มันใกล้มากๆ เส้นผมของเขาที่เปียกชุ่มมีหยดน้ำเกาะที่ปลายผมเหมือนไข่มุกเม็ดงาม ใบหน้างดงามยังมีหยดน้ำเกาะอยู่กลับยิ่งดูน่าหลงใหลมากขึ้น เขาเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่กลับไม่ได้ดูจนตรอกแม้แต่น้อยแต่กลับดูโดดเด่นไปอีกแบบเย้นหว่านมองอย่างเหม่อลอย
เมื่อเขาสังเกตว่าเธอกำลังจ้องดูอยู่โห้หลีเฉินก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปากเบาๆ เขาสะบัดหัวไปมาหยดน้ำที่เกาะอยู่ก็ร่วงลงมา
“แปะ” หยดน้ำหยดลงบนริมฝีปากของเย้นหว่าน หยดน้ำเย็นๆ และนุ่มนวล แต่กลับเหมือนลูกไฟที่ตกลงมาจากท้องฟ้าที่มาลวกริมฝีปากของเธอ เมื่อเธอมองไปหาโห้หลีเฉินใจเธอก็ว้าวุ่นและแก้มเธอก็แดงไปหมด เมื่อเวลานั้นโห้หลีเฉินก็ก้มหัวมองเธออยู่เหมือนกัน ดวงตาสองคู่ที่หันเข้าหากันราวกับว่ามีประกายไฟเกิดขึ้นมาในอากาศ หัวใจเต้นแรงจนจะทะลุออกมาแล้ว
เนื่องจากว่าเป็นเต็นท์แบบชั่วคราวจึงมีแต่ของพื้นฐานเท่านั้นแล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนและซักเสื้อผ้าได้เย้นหว่านได้แค่ถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกมาก่อนจากนั้นก็รออยู่ในเต็นท์แล้วใช้ผ้าห่มห่อตัวไป
“เปลี่ยนเสร็จหรือยัง?” โห้หลีเฉินรออยู่ด้านนอกเต็นท์
“ค่ะ” เย้นหว่านตอบกลับไปจากนั้นก็ดึงเต็นท์ให้เปิดออกแล้วยื่นมือส่งเสื้อผ้าที่เปียกออกไป แก้มเธอแดงไปหมดแล้วก็ไม่กล้ามองโห้หลีเฉินเลย เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่ได้ให้โห้หลีเฉินช่วยเอาเสื้อผ้าที่เปียกไปผึ่งลม
โห้หลีเฉินเอาเสื้อผ้าไปผึ่งลมไว้แล้วก็เดินกลับมาที่เต็นท์แล้วพูดว่า
“เอาโทรศัพท์มาให้ผม ผมจะบอกให้เว่ยชีมาตอนนี้”
เย้นหว่านสงสัยว่าแล้วทำไมเขาไม่ใช่โทรศัพท์ของตัวเอง แต่เธอก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาแล้วกดปุ่มเปิดเพื่อปลดล็อคก่อนที่จะส่งให้เขา แต่ว่าหน้าจอโทรศัพท์ก็มืดสนิทและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา เธอสับสนไปเล็กน้อยเมื่อมองดูโทรศัพท์อีกทีก็เห็นรอยคราบน้ำซึ่งโทรศัพท์ของเธอนั้นคุณภาพไม่ค่อยดีแล้วก็ไม่กันน้ำ……
“คุณโห้คะ น้ำเข้าโทรศัพท์ฉันค่ะ มันเปิดไม่ติด”
โห้หลีเฉินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่ได้คิดถึงจุดนี้ เขามองไปที่ชายฝั่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดและขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ่านไปสักครู่ เขาก็เอ่ยขึ้นมา “โทรศัพท์ของฉันหล่นไปในทะเล ถ้าไม่มีโทรศัพท์ คืนนี้เว่ยชีจะไม่มา”
“อะไรนะคะ?” เย้นหว่านตกใจมาก ถ้าเว่ยชีไม่มาละก็ไม่ใช่ว่าเธอต้องอยู่ที่นี่ทั้งคืนหรอ? เธอรีบดึงเต็นท์เปิดทันที “แล้วมีทางอื่นไหม……” เธอพูดไปได้ครึ่งเดียวก็ตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้——
โห้หลีเฉินไม่ได้สวมเสื้อ ร่างกายท่อนบนที่แข็งแรงกำยำที่เจ้าตัวรักษาไว้อย่างดีก็เผยออกมา แผ่นอกที่ดูทรงพลังและกล้ามหน้าท้อง 8 ลูกเป็นลอนสวยแล้วก็กล้ามเนื้อ V Line…… ร่างกายทุกส่วนได้รับการออกกำลังกายมาอย่างดีไม่ได้มากหรือน้อยเกินไป ในฐานะนักออกแบบ เย้นหว่านเคยเห็นเรือนร่างของผู้ชายมาไม่น้อย แต่ความสมบูรณ์แบบของโห้หลีเฉินนั้นทำให้คนใจสั่นได้ แต่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็น
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของเธอแล้ว โห้หลีเฉินก็เม้มริมฝีปากและมีรังสีอันตรายอยู่ในสายตาคม ทันใดนั้นขายาวๆ ก้าวไปไม่กี่ก้าวก็เบียดตัวเข้าไปในเต็นท์ สายตาที่ลึกซึ้งของเขาจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตา เสียงทุ้มที่แฝงด้วยความปรารถนาที่กำลังแผดเผา
“จ้องมองร่างกายผู้ชายแบบนี้ เธอกำลังจะบอกใบ้อะไรกับฉัน?”
บอกใบ้? บอกใบ้อะไร? สติของเย้นหว่านกลับคืนมาแต่เธอก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เธอถอยหลังอย่างลนลานและพยายามรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากโห้หลีเฉิน แต่เธอเพิ่งถอยไปได้นิดเดียว โห้หลีเฉินก็รั้งไว้ด้วยมือเดียวแล้วก็ขยับร่างสูงโน้มเข้ามาหาเธอ ทันใดนั้นฟีโรโมนของผู้ชายก็พุ่งออกมาอย่างเด่นชัดฟุ้งกระจายไปทั่วเต็นท์เล็กๆ
เย้นหว่านเอ่ยอย่างติดขัดว่า “คุณโห้คะ คุณ…. คุณ…..เข้าใจผิดแล้วค่ะ”
โห้หลีเฉินโน้มตัวมาข้างหน้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และช่องว่างก็แคบลงเรื่อยๆ เช่นกัน เขาฉวยโอกาสกดเย้นหว่านไว้ใต้ร่างกายของเขา ลมหายใจหอบหนักอย่างเร่าร้อน
“ไหนคืนนี้ก็กลับไปไม่ได้แล้ว เรามาทำอะไรสักหน่อยจะไม่ดีกว่าหรอ……..”