บทที่78 ไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่อย่างกระทันหัน
“เมี้ยว….”
เจ้าแมวน้อยใช้หัวเขี่ยนิ้วโป้งของเย้นหว่าน ดวงตาคู่โตจ้องเย้นหว่าน ดูท่าเหมือนจะหิวแล้ว น่าสงสารจนทำให้คนอดใจอ่อนไม่ได้
เย้นหว่านลูบมันไปมา จากนั้นก็วางลงบนตักของตัวเองอย่างเบามือ
“คุณโห้คะ ฉันสอนคุณทำค่ะ”
ระหว่างพูด เย้นหว่านเปิดถุงออกเธอหยิบอาหารแมวกับนมออกมา และเริ่มเตรียมของกินให้เจ้าแมวเหมียว
โห้หลีเฉินเม้มปากไว้ไม่พูดอะไร แววตาที่คมเข้มหล่นอยู่ที่บนตัวของเย้นหว่านเสมอ
ของที่เกี่ยวกับเจ้าแมวเหมียวครบถ้วนมาก นมผงกับขวดนมต่างก็มีครบหมด
หลังจากเย้นหว่านชงนมขวดเล็กตามคู่มือให้เจ้าแมวเหมียว และป้อนไปที่ปากของมัน มัน“เมี้ยว”เสียงนึง แล้วเริ่มดูดนมขึ้นมา
เย้นหว่านลูบขนของมันอย่างเบาๆ “ขั้นตอนการชงนมก็ง่ายมากค่ะ”
“อืม”
โห้หลีเฉินตอบเสียงต่ำคำนึง และมองเย้นหว่านด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง “ท่าทางคุณแบบนี้ เหมือนกำลังป้อนนมลูกเลย”
ป้อนนม…..ลูก?
คำบรรยายนี้ทำให้เย้นหว่านมึนตึ๊บขึ้นมาทันที พริบตาเดียวก็เริ่มแดงขึ้นมา
ทันใดนั้น แมวเหมียวที่กำลังกินนมอยู่ในอ้อมอกเหมือนกลายเป็นเผือกที่ร้อนมือเลย
กว่าจะรอให้แมวเหมียวกินเสร็จไม่ใช่ง่ายๆ หลังจากนั้นเย้นหว่านวางมันไว้ในที่นอน หันหลังแล้วเดินจากไป
“คุณโห้คะ พวกนมผงและของใช้แมวฉันเอาไว้ในตู้หมดแล้วนะคะ ถ้าไม่มีอะไรฉันขอกลับก่อนนะคะ”
“รอก่อน”
ระหว่าง โห้หลีเฉินได้เดินไปชั้นบนและเดินไปทางห้องนอน
เย้นหว่านมองร่างเงาสูงใหญ่ของเขาด้วยความสงสัย เขาจะเอาของอะไรให้เธอหรอ?
มองดูนาฬิกา ตอนนี้สองทุ่มครึ่งยังไม่ถือว่าดึก รอครู่นึงก็ไม่เป็นไร
สิบนาทีผ่านไป โห้หลีเฉินลงมาจากชั้นบน เขาได้เปลี่ยนเป็นชุดสูททั้งตัว ผมก็เหมือนได้จัดทรงด้วยเหมือนกัน ในความสง่าแฝงด้วยความเป็นทางการ
เขาเดินมาที่ตรงหน้าของเย้นหว่าน และพูดอย่างเป็นธรรมชาติมาก “ไปเถอะ”
“ห๊า?”
เย้นหว่านอึ้งไปครู่นึง เธอนึกอะไรขึ้นมาได้และถาม “คุณโห้ไม่ต้องไปส่งฉันหรอกค่ะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ฉันนั่งรถกลับไปเองได้ค่ะ”
โห้หลีเฉินไม่ได้ให้โอกาสเธอปฎิเสธ เขาเดินไปถึงหน้าประตูก็ขึ้นรถไปเลย
จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนออกคำสั่ง “ขึ้นรถ”
ทีนี้ เย้นหว่านก็เกรงใจที่จะปฎิเสธต่ออีกแล้ว
เธอได้แต่ขึ้นรถ
ตลอดทางไม่ได้พูดคุยกัน เดิมทีนึกว่าโห้หลีเฉินเหมือนปกติ แค่ส่งเธอถึงหน้าบ้านก็จากไปแล้ว
แต่เขากลับพูดว่า:“ไหนๆก็มาแล้ว ผมก็ควรจะไปเยี่ยมเยียนที่บ้านคุณหน่อย”
เย้นหว่านรู้สึกตะลึง เธอรีบผายมือปฎิเสธ“ไม่ต้องแล้วมั้งคะ?” เพราะยังไงซะก็จะถอนหมั้นแล้ว ไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้
เธอเพิ่งพูดจบ ก็เห็นโห้หลีเฉินได้เปิดท้ายรถ และถือกล่องของขวัญที่ด้านในสวยงามออกมาหลายถุงแล้ว
เย้นหว่านมองดูกล่องของขวัญพวกนี้แล้วมึนเล็กน้อย
นี่คือเตรียมพร้อมไว้ตั้งนานแล้วหรอ?
เห็นหน้าเอ๋อๆของเย้นหว่านแล้ว แววตาของโห้หลีเฉินมีรอยยิ้มที่อยากได้ต้องได้แว๊บผ่านไป เขามองเธอและพูดเสียงต่ำ:“คุณไม่ต้อนรับผมหรอ?”
“ก็ไม่ใช่ค่ะ…..”
“งั้นก็เข้าไปเถอะครับ”
ระหว่างพูด โห้หลีเฉินได้จูงมือของเย้นหว่านและเดินไปในบ้าน
ทันใดนั้นเย้นหว่านนิ่งค้างไว้ มองโห้หลีเฉินดึงมือของเธอไว้อย่างตะลึงงัน
“คุณโห้…..”
เธอตื่นตระหนกสับสนอยากดึงมือกลับ โห้หลีเฉินกลับยิ่งกุมมือเธอไว้แน่นขึ้น น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำนั้นช่างสมเหตุสมผล
“เราเป็นว่าที่สามีภรรยากัน ต้องแสดงให้สนิทแนบแน่นหน่อยสิ”
ทันใดนั้นเย้นหว่านไม่มีแรงที่จะขัดขืนอีก รู้สึกว่ามันก็เป็นแบบนี้จริงๆซะด้วย
แต่ว่า ทำไมเขาต้องมาเยี่ยมเยียนที่บ้านในเวลากลางคืนด้วย?
เย้นหว่านไม่เข้าใจการกระทำของโห้หลีเฉินเลยสักนิด
ฐานะทางบ้านของเย้นหว่านเป็นคนชนชั้นกลาง เป็นบ้านหลังเดี่ยวเล็กๆสไตล์ยุโรปเหมือนครอบครัวทั่วๆไป ในห้องรับแขกมีโซฟาและทีวีวางไว้
นาทีนี้ พ่อบุญธรรมเย้นซวนมิ้นกับแม่บุญธรรมเฉียวเจียฮุ่ยกำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ในห้องโถง
เฉียวเจียฮุ่ยกำลังแคะเมล็ดทานตะวันและพูดแขวะ “หน้าตาของผู้ชายคนนี้ยังหล่อสู้โห้หลีเฉินลูกเขยเราไม่ได้เลย ลูกเขยเราสิถึงเรียกว่าหล่อ ถ้าไปถ่ายละครนี่ต้องได้เป็นพระเอกแน่นอน”
เย้นซวนมิ้นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก็ใช่น่ะสิ”
เย้นหว่านที่เพิ่งเดินเข้ามาได้ยินสองคำนี้พอดี ทันใดนั้นเธออายจนหน้าแดงก่ำ
เธอหันหน้าไปมองโห้หลีเฉินด้วยความอึดอัด สบตาเข้าไปสายตาที่จะยิ้มแต่ไม่ยิ้มของเขา
เขาเข้าใกล้เธอ และกระซิบข้างหูเธอ “สายตาของพ่อแม่คุณนี่ไม่เลวเลยนะ”
ทันใดนั้นหน้าของเย้นหว่านยิ่งแดงก่ำเข้าไปใหญ่ เขาถ่อมตัวหน่อยไม่ได้รึยังไง?
“แค๊กๆ”
เย้นหว่านแกล้งกระแอมสองทีแล้วพูดเสียงดัง “คุณพ่อ คุณแม่คะ คุณโห้…..โห้หลีเฉินมาค่ะ”
“เสียวหว่าน ลูกอย่าหยอกให้แม่ดีใจหน่อยเลย ดึกดื่นป่านนี้เขาจะมาได้ยังไง?”
เฉียวเจียฮุ่ยเปิดปากพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ สายตาที่จ้องดูทีวีไม่ขยับเลยแม้แต่นิด “ถ้าให้ลูกเขยเรามาแสดงเป็นพระเอกก็ดีแล้ว หน้าตานั้นถึงจะไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง”
เย้นหว่านนี่แพ้ให้กับแม่ตัวเองจริงๆ แก้มร้อนผ่าวจนไม่มีหน้าจะเจอผู้คนแล้ว
เธอพูดกับโห้หลีเฉินด้วยเสียงต่ำ:“ปกติแม่ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้นะคะ เป็นเพราะนักแสดงท่านนี้หน้าตาขี้เหร่เกินไป คุณอย่าถือสาเลยนะคะ”
“ผมไม่ถือสาหรอก”
เขาเพิ่งพูดจบ ผู้อาวุโสสองท่านนี่นั่งอยู่บนโซฟาแข็งทื่อขึ้นมาพร้อมๆกัน
ต่อมา พวกเขาหันหน้ามาดู ตอนที่เห็นโห้หลีเฉินช็อคแล้วจนจะแย่
เย้นซวนมิ้นดึงสติกลับมาได้ก่อนแล้วรีบพูดพร้อมรอยยิ้ม “โห้หลีเฉิน คุณมาได้ยังไงครับ? เสียวหว่านก็ไม่ได้แจ้งพวกเราล่วงหน้า พวกเราก็ไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้ไปรับคุณ”
“ผมส่งเสียวหว่านกลับมาครับ ก็ควรจะมาเยี่ยมเยียนพวกท่านหน่อย ดึกดื่นป่านนี้คงไม่รบกวนพวกท่านมั้งครับ?”
โห้หลีเฉินพูดอย่างมีมามารยาท เก็บความสูงส่งและความเฉียบคมไว้ไม่น้อย
เย้นหว่านมองผู้ชายด้วยความช็อค ไม่นึกเลยว่าเขาจะดูแล้วเป็นคนเข้าหาได้ง่ายขึ้น
“ดูคุณพูดเข้าสิ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่รบกวนอยู่แล้ว มา รีบมานั่งเร็ว”
เย้นซวนมิ้นรีบเรียกโห้หลีเฉินนั่งลง
ครั้งนี้เฉียวเจียฮุ่ยดึงสติกลับมาแล้ว เธอรีบลุกขากโซฟาและจัดเก็บโซฟาที่ยุ่งเหยิงไปด้วย
“ลูกเขย ขออภัยด้วยนะ ไม่รู้ว่าคุณจะมา ที่บ้านก็ไม่ได้เก็บกวาดหน่อยเลย”
ระหว่างพูด เธอจ้องเย้นหว่านอย่างไม่พอใจ ความหมายคือเย้นหว่านทำไมไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
เย้นหว่านทำหน้ามุ่ยอย่างบริสุทธิ์ใจ เธอก็ไม่รู้ว่าคืนนี้โห้หลีเฉินสมองเพี้ยนรึเปล่า ถึงได้มาที่บ้านเธออย่างฉับพลัน
“ลูกเขย คุณจะดื่มน้ำชาหรือน้ำผลไม้ดีคะ?” เฉียวเจียฮุ่ยถามอย่างเอาใจใส่ “หรือว่ากาแฟดีคะ?”
เผชิญกับความเป็นมิตรไมตรีของเฉียวเจียฮุ่ยและเย้นซวนมิ้น โห้หลีเฉินที่เกลียดกับการรับมือเรื่องแบบนี้มาโดยตลอด นาทีนี้กลับมีมารยาทและความอดทนมาก
เขามองเย้นหว่านที่อยู่ข้างกาย น้ำเสียงแฝงด้วยความเอ็นดูที่ไม่ปิดซ่อน
“ปกติเธอดื่มอะไร ผมก็ดื่มอย่างนั้นครับ”
รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนแนบแน่นของเขา ร่างกายของเย้นหว่านสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกขนลุกเล็กน้อย
คืนนี้โห้หลีเฉินเป็นอะไรกันแน่?
เฉียวเจียฮุ่ยกลับยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกพึงพอใจ ฐานะของครอบครัวพวกเขาไม่ได้ถือว่าดีมาก ตอนแรกยังกังวลว่าเย้นหว่านอาจเอื้อมเกินไป แต่ว่าตอนนี้เห็นโห้หลีเฉินชอบเย้นหว่านมาก เธอก็วางใจแล้ว