บทที่75 เตรียมตัวจากไป
เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งสัปดาห์แล้วหรอ?
แต่ผู้หญิงคนนี้ยังหาทางตีตัวออกห่างจากเขา
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว เขาไม่คิดจะถอนหมั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าบอกเธอตอนนี้ เธอต้องโวยวายใหญ่แน่ๆเลย
จัดการยากจริงๆ
เงียบไปครู่นึง โห้หลีเฉินพูดว่า:“ผมแค่ส่งคุณไปที่ระแวกบริษัทเท่านั้น”
เว่ยชีที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับอึ้งไปเลย ไม่นึกเลยว่าคุณผู้ชายจะประนีประนอมง่ายๆแบบนี้เลย?
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเรื่องที่คุณผู้ชายตัดสินในแล้ว จะเปลี่ยนไปไวขนาดนี้
โห้หลีเฉินก็อยู่ตรงนี้แล้ว และตกลงแล้วว่าจะส่งเธอถึงแต่เละแวกของบริษัทเท่านั้น เย้นหว่านก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก ก็เลยขึ้นรถไป
โห้ถินกรุ๊ปสมกับเป็นบริษัทที่โคตรใหญ่จริงๆ ดีไซนเนอร์ทุกคนล้วนมีห้องทำงานส่วนตัวของตัวเอง ให้พวกเธอจัดงานดีไซน์ได้อย่างอิสระ
หลังจากเย้นหว่านไปดูมาแล้ว ก็เดินไปที่ห้องทำงานของตัวเอง เธอเห็นหน้าประตูห้องทำงานมีคนที่คุ้นเคยคนนึงยืนอยู่มาแต่ไกล
พอเดินเข้ามา เธออึ้งและพูดว่า:“อานอาน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ตอนที่เข้าร่วมการแข่งขันงานดีไซน์OVI ลั่วอานเป็นผู้ช่วยชั่วคราว ที่บริษัทเดิมของเธอจัดให้ เย้นหว่านคิดไม่ถึงว่าจู่ๆเธอจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ลั่วอานรีบเข้ามารับกระเป๋าที่อยู่ในมือของเย้นหว่านด้วยการเอาใจใส่ เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
“พี่เย้นหว่านคะ ฉันก็ถูกย้ายมาที่นี่ แล้วค่ะ ต่อไปก็ยังเป็นผู้ช่วยของพี่ต่อนะคะ”
เย้นหว่านอึ้งไปครู่นึง แต่ไม่นานเธอก็รู้แล้วว่าต้องเป็นโห้หลีเฉินจัดการแน่ๆ ที่ให้ลั่วอานอยู่ข้างกายเธอ เธอก็จะรู้สึกคุ้นเคยหน่อย
แต่ว่า ทำไมคนที่ย้ายมาไม่ใช่มู่จื่ออี้?
นิ่งไปครู่นึง เย้นหว่านถามว่า:“แล้วมู่ตอนนี้มู่จื่อยี่เป็นผู้ช่วยของใครอยู่เหรอ?”
ลั่วอานแววตาระยิบระยับ เงียบไปครู่นึงถึงตอบว่า:
“เมื่อวาน หลังจากพี่จากไป ฉันก็ไม่ได้เห็นมู่จื่ออี้อีกเลย ฉันได้ยินมาว่ารู้สึกเขาลาจะออกไปแล้วนะคะ”
เย้นหว่านอึ้งมาก ทำไมมู่จื่ออี้ถึงลาออกกระทันหันแบบนี้
หรือเป็นเพราะว่าเธอไม่อยู่แล้ว เขาก็อยู่ต่อไม่ไหวแล้ว?
เย้นหว่านขมวดคิ้ว “เป็นเพราะว่าที่บริษัทมีคนรังแกเขาหรือ?”
“ไม่มีนะคะ”ลั่วอานส่ายหัวอย่างมั่นใจ
“งั้นคุณรู้มั้ยว่าทำไมเขาถึงลาออก?”
ลั่วอานส่ายหัวอีก
เย้นหว่านไม่ค่อยสบายใจ หยิบมือถือออกมาโทรหามู่จื่ออี้ทันที ถามเจ้าตัวเขาโดยตรงจะดีกว่า
“ตู๊ดๆๆ—-ตู๊ดๆๆ—-”
เสียงโทรดังตั้งนาน แต่กลับไม่มีคนรับสายสักที
เย้นหว่านกระวนกระวายยังไงไม่รู้ มู่จื่ออี้ไม่เคยขาดการติดต่อกับเธอเลย
ลั่วอานมองหน้าเย้นหว่าน แล้วพูดอย่างปลอบใจว่า:
“อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ยังเช้าเกินไป เขายังหลับอยู่ หรือไม่งั้นเดี๋ยวสายๆหน่อยค่อยโทรหาเขาเถอะ?”
เย้นหว่านมองดูเวลา คิดๆแล้วมันก็ใช่ เธอจึงเก็บมือถือ
ทำงานอย่างเป็นทางการวันแรก เย้นหว่านต้องคุ้นเคยกับหลายๆเรื่องและจัดการสิ่งของเยอะแยะมากมาย เธอกับลั่วอานยุ่งตั้งแต่เช้า
“ก๊อกๆ”
จู่ๆเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ลั่วอานรีบไปเปิดประตู มองเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ตาค้างไปเลย แววตาเปร่งประกาย
เป็นผู้ชายที่หล่อมากเลยอ่ะ
มองดูผู้หญิงที่หลงผู้ชายตรงหน้าคนนี้ เย้นเหวินหนานยิ้มด้วยมารยาท:“ผมมาหาเย้นหว่านครับ”
ทีนี้ลั่วอานถึงได้ดึงสติกลับมา เธอหน้าแดงและรีบถอยหลังไป
“พี่เย้นหว่านอยู่ข้างในค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เย้นเหวินหนานพยักหน้าให้ลั่วอาน แล้วก็เดินไปห้องทำงาน
ลั่วอานยืนอยู่กับที่ หัวใจเต้นตู๊มๆต่อมๆ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่หน้าตาดี แถมยังมีมารยาทและช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ!
เย้นหว่านเห็นเย้นเหวินหนาน เลยวางเอกสารในมือลง
“คุณชายเย้น เชิญนั่งคะ”
เย้นเหวินหนานมองโซฟาที่เต็มไปด้วยเอกสาร แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรครับ คุณงานยุ่งมากหรอ?”
“ไม่ค่อยค่ะ แค่จัดเก็บเอกสารเฉบๆคะ”
“งั้นก็พักไว้ก่อนได้ คุณออกไปกับผมเที่ยวนึงเถอะ?”
เป็นหัวหน้าแท้ๆ แต่เย้นเหวินหนานกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่ถามเธอ
เย้นหว่านพยักหน้าแล้วลุกขึ้น “ไปเถอะค่ะ”
ก่อนไป เธอมองลั่วอานที่ยังหลงใหลเย้นเหวินหนานอยู่ ยิ้มอย่างจนปัญญาและกำชับเธอ
“คุณจัดเก็บเอกสารเหล่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันกลับมา”
“โอเคคะ พี่เย้นเดินทางปลอดภัยคะ หนุ่มหล่อเดินทางปลอดภัยด้วยนะ”
ลั่วอานยิ้มเฉ่งและโบกมือให้เย้นเหวินหนาน แววตาเปร่งประกายเหมือนแสงเลเซอร์ส่องอยู่บนตัวเขา
รูปร่างสูงใหญ่ของเย้นเหวินหนานแข็งทื่อไปครู่นึง เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้จะถ้าไม่จำเป็นจะไม่มาหาเย้นหว่านที่นี่อีกแล้ว
เย้นหว่านเดินตามเย้นเหวินหนานไป ระหว่างทางตอนที่เดินผ่านประตู ได้มองเห็นข้างในมีเวทีฝึกซ้อมเดินแบบ
บริษัทนี้ใหญ่จนเวอร์ ข้างในมีเวทีแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ตอนที่เย้นหว่านเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่บนเวที ทันใดนั้นเธออึ้งค้างไปเลย
เธอพูดด้วยความตะลึง “นั่นคือคุณเจมส์?”
นายแบบชื่อดังระดับโลก! ทั้งหล่อทั้งเท่ ทำให้ดีไซน์เนอร์หลงใหลจนนับไม่ถ้วน แทบอยากจะให้ชุดที่ตัวเองดีไซน์สามารถถูกเขาสวมใส่สักครั้ง
เย้นเหวินหนานพยักหน้า และพูดอย่างชิวๆ:“ใช่ เขาเซ็นต์สัญญาที่บริษัทเรา”
คิดไม่ถึงว่าคุณเจมส์จะเซ็นต์สัญญาอยู่ในโห้ถิงกรุ๊ป งั้นเธอก็เป็นคนที่ได้เปรียบกว่าคนอื่นๆล่ะสิ
เย้นหว่านตาเปล่งประกาย “คุณชายเย้นคะ ฉันมีโอกาสที่จะสามารถยื่นขอให้คุณเจมส์มาเป็นโมเดลให้ฉันสักครั้งมั้ยคะ?”
เย้นเหวินหนานขยับริมฝีปาก กำลังจะตอบ แต่กลับนึกอะไรขึ้นมาได้
เขาพูดอย่างจริงจังว่า:“เรื่องนี้ต้องให้หลีเฉนตกลงก่อน คุณไปถามเขาดูสิ”
พอนึกถึงโห้หลีเฉินแล้ว แววตาของเย้นหว่านได้มืดมนลง
ไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ภายในอาทิตย์นี้เธอก็จะถอนหมั้นกับโห้หลีเฉินแล้ว ตอนนี้เธอไม่ควรไปพัวพันกับโห้หลีเฉินมากเกินไป การงานของเธอก็พึ่งพาเขาเกินไปไม่ได้
เย้นหว่านส่ายหัวเบาๆ รู้สึกผิดหวังและดึงสายตากลับจากเจมส์
“ฉันแค่พูดไปงั้นๆแหละคะ ช่างมันเถอะ”
เย้นเหวินหนานรู้สึกแปลกใจ สังเกตได้ว่าเย้นหว่านกำลังทำตัวห่างเหิน
ระหว่างเธอกับโห้หลีเฉินเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
เย้นเหวินหนานได้เปลี่ยนแผนใหม่ในการดีไซน์ให้เย้นหว่าน ก็ยังเป็นสไตล์เมืองหลวง แต่กระโปรงยาวขึ้น แบบของเสื้อก็มิดชิดขึ้น
หลังจากลุคใหม่ของเย้นหว่านออกมา ก็ถึงเวลาเที่ยงพอดีเลย
เว่ยชีปรากฏตัวที่หน้าประตูด้วยเวลาอันเหมาะสม “คุณเย้นครับ คุณผู้ชายให้คุณไปที่ร้านอาหารครับ”
ชิมอาหารอีกแล้ว
เย้นหว่านคิดๆดูแล้ว พูดว่า“เลขาเว่ยคะ คุณรอฉันสักครู่นะคะ ฉันไปเอาของแป๊ปนึง”
เธอหยิบสมุดโน๊ตและปากกา ทีนี้ถึงไปไปที่ร้านอาหารกับเว่ยชี
ร้านอาหารเป็นชั้นเดี่ยวๆเลย ตกแต่งเหมือนสวนดอกไม้เล็กๆ บรรยากาศสบายชิวๆ ข้างๆสระน้ำ มีโต๊ะตัวเดียวเท่านั้น
โห้หลีเฉนมาถึงแล้ว ตอนนี้ได้นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ ท่าทางสง่าดูดี แค่ดูก็ทำให้คนรู้สึกชื่นใจ
โต๊ะที่อยู่ตรงตรงหน้าเขา มีแต่อาหารชั้นเลิศเต็มไปหมด
มีถ้วยกับตะเกียบวางอยู่สองชุดเหมือนเดิม
เย้นหว่านเหม่อลอย ช่วยโห้หลีเฉินชิมอาหาร เหมือนจะกลายเป็นความเคยชินของเธอไปซะแล้ว
แต่……….
เธอเดินมานั่งที่ข้างโต๊ะ มองดูอาหารที่เต็มโต๊ะ แล้วพูออย่างล้อเล่นว่า
“คุณโห้ เชฟของคุณนี่เก่งจริงๆเลยนะคะ ทำเมนูใหม่ๆที่ไม่ซ้ำหน้าทุกวันเลย”
ในสมัยโบราณแม้แต่ฮ่องเต้ก็คงไม่ได้เสพสุขระดับไฮคลาสขนาดนี้
โห้หลีเฉินเงยหน้ามองเย้นหว่าน และพูดอย่างเรียบเฉย
“ณ เวลานี้ในครัวมีเชฟอยู่สิบกว่าคน”
เย้นหว่าน “…..”
ทานข้าวคนเดียว แต่มีเชฟทำอาหารสิบกว่าคน ยังสามารถเวอร์กว่านี้ได้อีกมั้ย?