บทที่ 82 หุงข้าวดิบจนเป็นข้าวสุก
ในห้องทำงานใหญ่ โห้หลีเฉินก็กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานพอดี มือที่ขาวและเรียวยาว กำลังพลิกเอกสารอยู่ ดูจริงจังแล้วก็ตั้งใจมาก
เย้นหว่านค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงหน้าเขา “คุณโห้หลีเฉิน”
“หืม”
โห้หลีเฉินตอบกลับมาคำนึง แล้วก็ดูเอกสารเหมือนเดิม
เย้นหว่านลังเลอยู่สักพัก แล้วก็คิดว่าจะให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไปก็คงไม่ได้แล้ว แล้วก็รวบรวมความกล้าเอ่ยปากพูดออกมาว่า :
“คุณโห้หลีเฉิน ผ่านไปเดือนนึงแล้ว เรื่องงานหมั้นของเราก็ควร……”
“คุณจะเอาแบบให้ผมดูไม่ใช่หรอ”
จู่ๆ โห้หลีเฉินก็เงยหน้าขึ้น พูดเรื่องงานขึ้นมาตัดบทเย้นหว่าน
เย้นหว่านอึ้งไปสักพัก เธอแค่ต้องการจะหาข้ออ้างก็แค่นั้น
เธอพูดต่อว่า : “จริงๆ แล้วฉันก็แค่อยากคุยเรื่องหมั้นกับคุณ”
“เรื่องส่วนตัวไว้ค่อยคุย”
โห้หลีเฉินพูดอย่างเคร่งขรึม พูดแล้วก็ก้มหน้าดูเอกสารในมือต่อ
ดูเหมือนกำลังยุ่งมากยังไงอย่างงั้น
เย้นหว่านรู้สึกทำตัวไม่ถูก เหมือนกับว่าตอนนี้เธอกำลังมารบกวนโห้หลีเฉินอยู่ แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่
งั้นไว้เลิกงานค่อยคุยน่าจะดีกว่า
คิดไปคิดมา เธอก็พูดเสียงเบาว่า“งั้นคุณทำงานก่อนเลยค่ะคุณโห้หลีเฉิน”
พูดจบเย้นหว่านก็เดินออกไป
พอเย้นหว่านออกไปแล้ว จู่ๆ โห้หลีเฉินก็วางเอกสารในมือลง มองดูประตูเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง กลางคิ้วนั้นขมวดเหมือนกำลังเครียดอยู่
ที่เขาตั้งใจหายไปหลายวัน ก็เพราะอยากให้เธอลืมเรื่องถอนหมั้นไป แต่พอผู้หญิงคนนี้เจอหน้าเขาก็มีแต่คิดว่าอยากจะถอนหมั้น
เขาทำหน้าขรึม แล้วโทรศัพท์อย่างไม่พอใจ
“วิธีของนายไม่ได้ผล”
ทางปลายสายนั้น หน้าของฉินฉู่เต็มไปด้วยความนับถือ พี่สะใภ้นี่แปลกคนจริงๆ คนอื่นเค้าอยากจะแต่งงานกับโห้หลีเฉิน แต่ในสถานการณ์นี้เธอกลับยืนกรานที่จะถอนหมั้น
เขาเอ่ยปากพูดว่า “งั้นก็ยืดเยื้อให้ถึงที่สุด บอกไปว่าเดี๋ยวนายจะจัดการเอง แล้วก็ทำเหมือนเดิม แล้วถ้าอยากถอนหมั้นตอนไหน ก็ขึ้นอยู่กับนาย”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วอีก รู้สึกว่าวิธีนี้ไม่เวิร์คที่สุด
พอถึงเวลาเลิกงาน โห้หลีเฉินก็ส่งข้อความมาประโยคนึง บอกให้เย้นหว่านไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน
ก่อนที่โห้หลีเฉินจะเดินทาง ก็รับส่งเย้นหว่านอยู่หลายวัน เย้นหว่านก็คงจะรู้แล้วก็ชินกับจุดนี้ไปแล้ว
จนถึงตอนนี้ ก็เป็นโอกาสดีที่เธอจะใช้เวลานี้มาคุยเรื่องถอนหมั้นกับโห้หลีเฉิน
เย้นหว่านรีบเก็บกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบลงไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินเร็วกว่าทุกครั้งที่ผ่าน
โห้หลีเฉินนั่งอยู่ในรถ มองทะลุกระจกดูร่างที่เดินมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่หล่อเหลาเคร่งขรึมอีกครั้ง
ผู้หญิงคนนี้……
เขาละสายตาไป ไม่อยากสนใจเธอ
โห้หลีเฉินนั่งอยู่ตรงเบาะคนขับ แล้วเขาก็เป็นคนขับรถเอง
คนๆ นี้เหมือนนิสัยเสียอย่างนึง ก็คือเวลาที่เขาขับรถนั้น เธอจะต้องนั่งเบาะคนขับ เหตุผลก็คือ เขาไม่ใช่คนขับรถของเธอ
เย้นหว่านนั่งเบาะข้างคนขับเหมือนเดิม เพิ่งนั่งลง รถก็สตาร์ททันที
โห้หลีเฉินมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ แล้วก็ขับรถแบบไม่เร็วไม่ช้า
เย้นหว่านมองดูเขา แล้วก็ลองๆ พูดไปว่า “คุณโห้หลีเฉิน ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
โห้หลีเฉินปฏิเสธทันที “ขับรถต้องใช้สมาธิน่ะ”
ความหมายก็คือ ไม่ฟัง
เย้นหว่านจ้องมองด้วยความอึ้ง มองโห้หลีเฉินนิ่งๆ เมื่อก่อนตอนเขาขับรถ เขาไม่เคยพูดแบบนี้กับเธอเลยหนิ
ช่างเถอะ คนหล่อก็มักมีนิสัยประหลาดแบบนี้แหละ
กลับถึงบ้านเขาค่อยพูดละกัน
เงียบสงบตลอดทั้งทาง จนมาถึงบ้านของโห้หลีเฉิน
เพิ่งจะเปิดประตู เจ้าแมวน้อยก็เข้ามาอยู่ในอ้อมอกของเย้นหว่านอย่างตื่นเต้น หัวกลมๆ นั้นถูไถไปมาในอ้อมอกของเธอ
โห้หลีเฉินมองดูพวกเธอทั้งสอง ก็เผลอยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว
“มันติดคุณมากนะ”
“เป็นเพราะหลายวันมานี้ฉันให้อาหารมันน่ะ”
พูดแล้ว เย้นหว่านก็มองโห้หลีเฉินด้วยความไม่พอใจ เขาเป็นเจ้าของที่ไม่ได้เรื่องเลย ตั้งแต่เลี้ยงแมวมา ยังไม่เคยจะให้อาหารแมวเลยสักครั้ง
โห้หลีเฉินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็พูดเหมือนเห็นด้วยว่า “พยายามต่อไปนะ”
เย้นหว่านนิ่งไปสักพัก มันหมายความว่าอะไรนะ
เธอต้องให้อาหารแมวต่อไปงั้นหรอ แต่พวกเขากำลังจะถอนหมั้นกันแล้วนะ
พอนึกได้ถึงเรื่องนั้น เย้นหว่านมองดูโห้หลีเฉินอย่างจริงจัง แล้วพูดว่า :
“คุณโห้หลีเฉิน ตอนนี้เราควรจะถอนหมั้นกันได้แล้วนะคะ”
เห็นใบหน้าที่ดูจริงจังของหญิงสาวแล้ว หน้าของโห้หลีเฉินก็หมองลงทันที
ถ้ารู้แต่แรก เขาน่าจะเดินทางอีกสักหลายๆ วันค่อยกลับมา
“เรื่องนี้เดี๋ยวผมจะจัดการเอง”
เขาพูดคำไม่กี่คำออกมาอย่างทื่อๆ แล้วก็หันหลังเดินเข้าห้องนอนไป
แผ่นหลังที่สูงใหญ่กำลังจะบอกว่า “ห้ามถามอีก”
เย้นหว่านถึงกับไปไม่เป็น มองดูแผ่นหลังของโห้หลีเฉินไปแค่แวบเดียวก็คิดมากซะแล้ว ดูแล้วเธอคงต้องรออีกหลายวัน ไม่ก็วันสองวัน
แต่ยังไงก็ได้คำตอบจากโห้หลีเฉินก็ทำให้เขาวางใจได้แล้ว อีกไม่นานก็น่าจะถอนหมั้นแล้วล่ะ
แต่เธอกลับไม่รู้ว่า ที่จริงแล้วโห้หลีเฉินนั้นไม่ได้คิดจะถอนหมั้นตั้งแต่แรก แล้วก็กำลังคิดว่าจะทำยังไงดีถึงจะทำให้เรื่องนี้ไปต่อได้ยังไง
ในตอนนี้ ยังไม่ทันได้ปิดประตู คฤหาสน์ตระกูลโห้นั้นก็กำลังอยู่ด้วยหน้าตาที่จริงจังอยู่ แล้วก็ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดทุกคำ
เขาขมวดคิ้ว แล้วก็ไม่ได้เอาของที่เตรียมมาให้กับโห้หลีเฉิน หันหลังแล้วก็เดินไปอย่างรวดเร็ว
คฤหาสน์ตระกูลโห้
บนหน้าของจูเหลียนอีงเต็มไปด้วยใบหน้าที่คาดไม่ถึง “ที่เธอพูดนั้นคือเรื่องจริงหรอ”
“ฉันได้ยินชัดเจนเลยล่ะ พวกเขาน่าจะถอนหมั้นกันเร็วๆ นี้”
อึ้งไปสักพัก แล้วเขาก็พูดต่อด้วยหน้าตาจริงจังว่า “แสดงว่าที่มีคนออกมาแฉนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหก”
โห้หลีเฉินและเย้นหว่านหมั้นกันแบบหลอกๆ
จูเหลียนอีงขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก ในตานั้นมีความประกายเกิดขึ้น
ตอนนั้นเธอก็เคยสงสัยถึงความสัมพันธ์ของโห้หลีเฉินและเย้นหว่าน แต่ว่า……
“จะให้เขาถอนหมั้นกันไม่ได้”
น้ำเสียงของเธอหนักแน่น
เสียงของแม่บ้านนั้นฟังดูเศร้าๆ “แต่เรื่องของคุณผู้ชาย ถ้าเขาลงมือทำล่ะก็ เราก็ห้ามอะไรเขาไม่ได้หรอก”
โห้หลีเฉินคงอยู่นิ่งๆ หรือไม่งั้นก็คงจะหลีกเลี่ยงผลสุดท้ายไม่ได้
“เพราะฉะนั้น เราก็ต้องลงมือก่อน”
จูเหลียนอีงกวักมือเรียกแม่บ้าน แล้วก็กระซิบบอกแผนข้างหูเขา
พ่อบ้านยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกตกใจ ใบหน้าที่ชรานั้นสั่นแม้กระทั่งตีนกา รู้สึกลังเล แล้วพูดโวยวายขึ้นว่า :
“คุณท่านครับ ทำแบบนี้ไม่น่าจะดีนะครับ”
“ไม่ว่าเรื่องจะเลยเถิดหรือท้องก่อนแต่ง ยังไงเฉินก็ปฏิเสธไม่ได้”
จูเหลียนอีงหัวเราะ อารมณ์เหมือนกำลังได้ใจ
เธอให้อิสระกับโห้หลีเฉินได้ทุกเรื่อง แต่กับเย้นหว่าน ยังไงเขาก็ต้องแต่งงานด้วย
สามวันต่อมา
เย้นหว่านเชื่อว่าโห้หลีเฉินจะจัดการ แต่ยังไม่เห็นถึงความคืบหน้าเลยสักนิด อีกทั้งยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ให้เธอชิมกับข้าว ให้เธอให้อาหารแมว ไปรับไปส่งทำงาน
เหมือนกับดูแลว่าที่เจ้าสาวไม่มีผิด
เย้นหว่านรู้สึกกังวลว่าแบบนั้นมันดีจริงๆ หรอ
“เย้นหว่าน กำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ”
ในห้องดื่มชา เพื่อนร่วมงานเดินไปข้างๆ เย้นหว่าน แล้วถามด้วยท่าทางเป็นห่วง
เย้นหว่านส่ายหัว “ไม่มีอะไร”
เพื่อนร่วมงานมองเธอแล้วก็หัวเราะแบบคลุมเครือ แล้วก็พูดเบาๆ ว่า “ผู้หญิงด้วยกัน ฉันเข้าใจนะ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ ยังไงก็เกิดจากผู้ชายแน่นอน”
เย้นหว่านอึ้งไปสักพัก แก้มแดงขึ้น จริงๆ แล้วเธอก็กำลังนึกถึงเรื่องของโห้หลีเฉิน
เพื่อนร่วมงานพูดต่อว่า “เป็นเพราะท่านประธานใช่ไหมล่ะ จริงๆ แล้วทุกคนก็รู้นะว่า ระหว่างเธอกับท่านประธาน……