บทที่ 155 อ่อนโยนหรือว่าภาพลวงตา
เย้นซินเหมือนจะหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ ตอนนั้นหล่อนอยู่ด้านนอกโรงงานเก่า มองเห็นแวบๆ ว่าโห้หลีเฉินถีบผู้ชายคนนั้นกระเด็นไปอย่างไร จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ปีนไม่ขึ้นแล้ว
ว่ากันว่าผู้ชายคนนั้นกระดูกหักไปหลายท่อน……
โห้หลีเฉินไม่เพียงพลังแข็งแกร่ง พลังทำลายล้างก็แข็งแกร่งจนทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน
เวลานี้เย้นซินย่อมไม่กล้าท้าทายความอดทนของเขา ได้แต่พยักหน้า ค่อยๆ ปิดประตูลงจากไป
โห้หลีเฉินมองท่าทางที่เย้นหว่านนอนหลับสงบ นั่งอยู่ข้างเตียงไปตรงๆ ขนาดนั้น ปล่อยให้เธอจับมือไว้ เฝ้าเธออยู่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน
เธอลืมตาที่เห็นอย่างแรกคือเพดานที่คุ้นเคย ระลึกได้ที่นี่เป็นห้องของโห้หลีเฉิน ชั่วขณะนั้นในใจเธอก็สงบลง
จากนั้นเธอหันหน้ามองเห็นหน้าหล่อเหลาของโห้หลีเฉิน
เขานั่งอยู่ข้างเตียง สายตาจ้องมองเขาอย่างล้ำลึก ลักษณะท่าทางเหมือนอ่อนโยน
ชั่วพริบตาเดียวจิตใจเย้นหว่านก็เหม่อลอย
เธอเคยมองเห็นสายตาที่อ่อนโยนประเภทนี้ในตาของโห้หลีเฉินมาก่อน หรือว่าเธอถูกกระแทกจนสมองบอบช้ำ จนเกิดภาพหลอน?
เห็นเย้นหว่านเหม่อลอย โห้หลีเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยังมีตรงไหนไม่สบายอีกไหม?”
เสียงต่ำๆ ดึงสติของเย้นหว่านกลับมาแล้ว
ตรงหน้าท่านนี้ ความจริงเป็นโห้หลีเฉิน
เธอมองเขาอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นชินนั้นเป็นที่น่าเดือดดาล ท่าทางดูเหมือนไม่เหมือนลักษณะปกติ เพียงแต่จ้องมองเธออย่างไม่หลีกเลี่ยงสักนิด
เมื่อสักครู่เธอคงมองผิดไปมั้ง
เย้นหว่านไม่ได้คิดมากอีก อยากส่ายหน้านิดหน่อย กลับพบว่าปวดศีรษะ ได้แต่เอ่ยปาก “คอแห้งนิดหน่อย”
“ฉันจะเทน้ำให้เธอ”
โห้หลีเฉินรีบอยากลุกขึ้นมา มือที่จับกับเย้นหว่านกลับถูกดึงไว้
ขณะเดียวกันสายตาของทั้งสองก็มองไปยังมือที่จับกันแน่นนั้น
เห็นเพียงมือน้อยของเย้นหว่านเหมือนเครือเถาวัลย์ จับมือของคนอื่นไว้ไม่ปล่อย
หรือว่าเธอจับเขาไว้แบบนี้มาตลอด? จับจนมือของเขาแดงไปหมด……
ชั่วขณะนั้นเย้นหว่านหน้าแดง ปล่อยมือออกอย่างรีบร้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปาก ไม่ใส่ใจรอยแดงบนมือสักนิด ลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปเทน้ำ
ไม่นานก็นำน้ำอุ่นแก้วหนึ่งถือเข้ามา
เย้นหว่านพยายามลุกขึ้นนั่ง เธอรับน้ำเข้ามา “ขอบคุณค่ะ”
เธอยังมีความแปลกใจที่ได้รับความเอ็นดูอยู่บ้าง รบกวนคุณโห้เทน้ำมาให้เธอด้วยตนเอง นี่กลัวว่าคนทั่วไปจะไม่ได้ดื่มด่ำ
โห้หลีเฉินจ้องมองเธอ สายตาล้ำลึก
เขาลังเลไปสักพัก เหมือนพ่นคำพูดออกมาจากริมฝีปากอย่างยากลำบาก
“ต่อไปจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”
เขาจะไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บอีก
นี่เป็นเหมือนคำพูดแบบกล่าวคำสาบาน ทำให้เย้นหว่านตะลึงทันที
มองดวงตาของโห้หลีเฉิน เหมือนระลอกคลื่นที่ลึกไม่เห็นก้นบึ้ง อยากม้วนเธอเข้าไป
หัวใจของเย้นหว่านเต้นเร็วทันใด ราวกับมีอะไรมาปกป้องรอยร้าวเล็กๆ ที่แตกออกไป
เรื่องนั้นสำหรับเธอถือว่าเป็นฝันร้าย แต่เวลานี้มีเขาอยู่ เธอกลับรู้สึกถึงความสงบ ได้รับการชดเชย
ราวกับขอเพียงมีเขาอยู่ข้างกาย เรื่องแบบนี้ไม่คุ้มค่าให้หวาดกลัว เขาจะต้องปกป้องได้ดีแน่
หลังจากดื่มน้ำเสร็จ เย้นหว่านนอนลงไปบนเตียงอีกครั้ง
เธอได้รับความตกใจเกินไป และได้รับบาดเจ็บไม่เบา ร่างกายแย่มาก มีอาการวิงเวียนอยากนอน
โห้หลีเฉินนั่งเฝ้าเธออยู่ข้างเตียง
เย้นหว่านเกรงใจอยู่บ้าง “คุณสามารถไปทำงานของคุณก่อน ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องเฝ้าฉันหรอก”
ถึงแม้ต้องเฝ้า ก็ไม่ควรเป็นโห้หลีเฉินคนที่ยุ่งทั้งวันแบบนี้มาเฝ้าเธอ
โห้หลีเฉินกับไม่ถือสาสักนิด จ้องมองเธอด้วยสายตาล้ำลึก
“นอนเถอะ”
สองคำ เรียบนิ่งและเผด็จการ
เย้นหว่านอ้าปากแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ปล่อยเขาไป
เธอเหนื่อยล้าอย่างมาก ไม่นานก็หลับไปอีก
โห้หลีเฉินนั่งอยู่ข้างเตียง มองเธออยู่นานมาก เห็นเธอหลับไปอย่างสงบ ไม่ได้ฝันร้ายหวาดกลัว ถึงวางใจลงมานิดหน่อย
เขายกมือจัดมุมผ้าห่มของเธอให้ดี ถึงลุกขึ้นมา เดินไปด้านนอกด้วยฝีเท้าที่เบามาก
จนกระทั่งประตูห้องปิดลงเบาๆ ทั้งขั้นตอนเกือบไม่เกิดเสียงอะไรขึ้น
แต่ว่าเย้นหว่านที่นอนสุขุมมาตลอด กลับไม่มีความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาแวบหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเบาๆ
หลังจากโห้หลีเฉินออกไปจากห้อง ก็ไปห้องรับแขก
เวลานี้ คุณนายใหญ่ตระกูลโห้จูเหลียนอีง เฝิงเสวียนหลัน ยังมีพ่อแม่บุญธรรมของเย้นหว่าน เย้นซวนมิ้น เฉียวเจี้ยฮุ่ย มานั่งในห้องรับแขกตั้งนานแล้ว รอด้วยสีหน้าร้อนรน
เห็นโห้หลีเฉินลงมา เย้นซวนมิ้นเป็นคนแรกที่นั่งไม่นิ่ง ลุกขึ้นมาอย่างรีบร้อน
“หลีเฉิน เสี่ยวหว่านเธอเป็นยังไงบ้าง? เจ็บหนักหรือเปล่า? ตื่นขึ้นมารึยัง?”
“พึ่งตื่นครับ หลับไปอีกแล้ว”
โห้หลีเฉินตอบมาอย่างกระชับ ความหมายคือตอนนี้เย้นหว่านหลับไปแล้ว ไม่สามารถขึ้นไปรบกวนเธอได้
เฉียวเจี้ยฮุ่ยก็นั่งไม่นิ่งเช่นกัน ถามตามขึ้นมาอีกประโยค “งั้นร่างกายของเธอเป็นยังไงบ้าง?”
“เจ็บอยู่บ้าง แต่รักษาแล้ว ต้องพักสักช่วงหนึ่ง”
พูดเรื่องนี้ สายตาของโห้หลีเฉินเย็นเฉียบไม่พบร่องรอย เดิมทีก็เป็นท่วงท่าที่สูงส่ง เวลานี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเหินห่าง เย็นยะเยือก
เย้นซวนมิ้นเห็นเขาเป็นลูกเขย แต่ว่ายังเคารพและยำเกรงต่อโห้หลีเฉิน
เขาคิดแล้วพูดว่า “พวกเราอยากเจอเย้นหว่านหน่อย ให้เห็นกับตาว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราสามารถรออยู่ที่นี่จนเธอตื่นขึ้นมาได้หรือเปล่า?”
เย้นหว่านหลับไปนานมาก หลับไปครั้งหนึ่งนี้ คิดว่าคงไม่ได้หลับนานเกินไป
ดังนั้นโห้หลีเฉินจึงพยักหน้า “ได้ครับ”
เย้นซวนมิ้นกับเฉียวเจี้ยฮุ่ยมองหน้ากัน โล่งอกเล็กน้อยมาทีหนึ่ง
จูเหลียนอีงนั่งอยู่บนโซฟา บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยสีหน้าเคร่งขรึมและน่าเคารพ น้ำเสียงจริงจังและมีความน่าเกรงขาม
“สืบหาเบื้องหลังพวกอันธพาลพวกนั้นชัดเจนรึยัง? พวกเขามีเจตนาในการจับเสี่ยวหว่านหรือไม่?”
โห้หลีเฉินตอบอย่างหน้าไร้อารมณ์ “ข่าวในตอนนี้ไม่เจตนา พวกเขากำลังหนีคดีฆ่าคน พักในร้านค้าเล็กๆ นั้น ช่วงก่อนหน้าพึ่งลักพาตัวเด็กผู้หญิง ดูเหมือนครั้งนี้เย้นหว่านแค่บังเอิญเข้าไปเจอ”
โห้หลีเฉินกล่าวสรุปผลว่าไม่เจตนา แต่ความจริงความหมายที่อยากแสดงออก เรื่องนี้เขาจะค้นหาให้ถึงที่สุด
ดูเหมือนเป็นการทำผิดที่ไม่เจตนามาก แต่เขาจะพลิกฟ้าหา จะไม่ให้เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สักนิดเดียวว่ามีการวางแผน
เพราะถ้ามี จะต้องถูกเขาหาออกมาแน่นอน
ได้ยินคำพูดนี้ เย้นซินที่นั่งมาตลอดสีหน้าเปลี่ยน มือที่วางไว้บนขา บีบแน่นโดยจิตใต้สำนึกนิดหน่อย
ไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ ของเย้นซิน จูเหลียนอีงยังคงพูดอย่างเคร่งขรึม
“คนพวกนี้จะยอมง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด กล้ามาแตะต้องคนของตระกูลเย้น ไม่ตายก็ต้องชดใช้ให้สาสมที่ทำลงไป”
ถ้าไม่ใช่เชื่อใจฝีมือทำงานของโห้หลีเฉิน จูเหลียนอีงคงจะลงมือไปจัดการคนพวกนี้ด้วยตนเอง
ถ้าวันนี้เกิดเรื่องขึ้นกับเย้นหว่านจริง ผลสุดท้าย……
ยากจะคาดคิด
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากบางไม่ได้พูดอะไรอีก ถึงแม้จูเหลียนอีงจะไม่พูด เรื่องนี้เขาต้องไปทำเช่นกัน