บทที่ 162 ช่างเถอะ ถือว่าเอาใจเธอ
เธอคุ้นเคยที่โห้หลีเฉินดูแลเธอแบบนี้ คุ้นเคยที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างทั่วถึง
เธอใจหายเล็กน้อยจึงได้แต่พยายามปลอบใจตัวเอง นี่เป็นเพียงการดูแลเป็นพิเศษในช่วงพักฟื้นเท่านั้น
ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
โห้หลีเฉินใช้เวลาเกือบทั้งวันไปกับเย้นหว่าน ดูแลเธอ อยู่กับเธอ แต่เขาเองก็มีงานที่ต้องทำ ทุกวันจึงปลีกตัวเข้าห้องหนังสือไปทำธุระ
ดังนั้นเย้นหว่านจึงพบอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างความกระวนกระวายใจ
ทุกครั้งที่โห้หลีเฉินไปทำงาน เธอจะรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ทรมาน ถึงขนาดตั้งตารอให้เขาทำงานเสร็จโดยไม่รู้ตัว
นี่แทบจะกลายเป็นนิสัยที่คอยแต่จะพึ่งพาเขา มันทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นใจ
หากเป็นแบบนี้ต่อไป เธอจะชินและขาดเขาไม่ได้ไหมนะ?
ในขณะที่เย้นหว่านกำลังคิดวุ่นวายอยู่ในหัว ก็มีเสียงประตูเปิดออกมาจากด้านนอก
เธอลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน
โห้หลีเฉินกลับมาแล้ว?
แม้หัวใจของเธอแทบจะหลุดลอยไปที่ประตู แต่ต้องแกล้งทำตัวยุ่งและตั้งใจก้มหน้าทำเป็นเล่นโทรศัพท์โดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา
หนึ่งก้าว
สองก้าว
สามก้าว
พอมาถึงข้างเตียงก็หยุดลง
ใจของเย้นหว่านยิ่งเต้นรัว เธอค่อยๆเหลือบขึ้นมองไปที่ขอบเตียง แต่กลับเห็นขาขาวเนียนสองข้าง
ไม่ใช่โห้หลีเฉินงั้นหรือ?
พอเธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นเย้นซิน
เย้นซินมองเย้นหว่านด้วยความงุนงง “พี่ เป็นอะไรไป?”
“ไม่ ไม่มีอะไร”
เย้นหว่านรีบพูดออกไป ในใจยังคงพะว้าพะวัง
ทำไมเธอถึงคิดว่าโห้หลีเฉินกลับมาแล้ว? หรือความจริงแล้วเธอรอโห้หลีเฉินกลับมาจริงๆ?
ความคิดนี้ทำให้เธอแทบคลั่ง
เธอไม่กล้าคิดอะไรมาก และหันไปถามเย้นซิน “เย้นซิน เธอมาได้อย่างไร”
“สองวันมานี้พี่เขยดูแลพี่มาโดยตลอด เราสองพี่น้องก็เลยไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน”
เย้นซินมองเย้นหว่านด้วยความเป็นห่วง “พี่ พี่ดีขึ้นหรือยัง? พี่ยังไม่เคยบอกความจริงกับพวกเรา ที่พี่เขยดูแลพี่แบบนี้เป็นเพราะอาการบาดเจ็บของพี่ร้ายแรงจริงๆหรือ?”
ด้วยวิธีการดูแลของโห้หลีเฉิน ทำให้เธอเหมือนเป็นผู้ป่วยอาการสาหัส ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
เย้นหว่านทำอะไรไม่ถูก แต่ก็มีความหวานอยู่ในใจ
เธอส่ายหน้า “ไม่หรอก ดีขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันแผลคงหายดีแล้ว”
“งั้นก็ดี”
เย้นซินพยักหน้าแต่ยังขมวดคิ้ว “หลายวันมานี้ฉันเห็นพี่เขยดูแลพี่คงต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ไหนจะเรื่องงานของตัวเองอีก ตอนที่เข้าไปทำงานที่ห้องหนังสือก็รีบจนไม่ได้ดื่มน้ำสักอึก”
เย้นหว่านนิ่งไปสักพัก ทุกวันตอนที่โห้หลีเฉินไปทำงานก็ไม่ได้ใช้เวลานานเท่าไหร่
เธอยังคิดอยู่เลยว่างานเขาอาจจะมีน้อยจึงจัดการได้เร็ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องแข่งกับเวลาแบบนี้
อย่างไรก็ตามอาการของเธอก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น หลังจากที่เขาทำงานเสร็จก็กลับมาที่ห้องเพื่อนั่งเป็นเพื่อนเธอ
ไม่เห็นว่ารีบร้อนตรงไหน?
เย้นหว่านพยายามคิดหาเหตุผล แต่เธอก็ไม่กล้ายอมรับง่ายๆ
เย้นซินลังเลสักพักก็จับมือเย้นหว่าน
“พี่ ตอนนี้พี่ก็ไม่สะดวก ไม่สู้พี่บอกฉันมาดีกว่าว่าเวลาทำงานพี่เขยชอบดื่มอะไร ชอบของว่างแบบไหน? ฉันจะได้ช่วยเอาไปเสิร์ฟให้”
ถ้ามีคนเอาไปเสิร์ฟให้ เขาอาจจะได้กินอะไรบ้าง
เย้นหว่านเป็นห่วงโห้หลีเฉินจึงไม่ได้คิดมาก เธอพยักหน้า
“งั้นฉันจะบอกเธอเอง โห้หลีเฉินเป็นคนขี้หงุดหงิด กาแฟที่เขาดื่ม…”
เย้นหว่านบอกเกี่ยวกับความชอบของโห้หลีเฉินให้เย้นซินฟังตามประสบการณ์ก่อนหน้านี้
เย้นซินฟังอย่างตั้งใจ จดจำทุกคำพูด
หลังจากที่ฟังเสร็จ เธอก็สงสัยอยู่ข้อหนึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เย้นหว่านพูดมาดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่เย้นหว่านชอบ แล้วจะเหมือนกับโห้หลีเฉินได้อย่างไร?
เธอแปลกใจจึงถามเย้นหว่าน “พี่ พี่จำผิดไปหรือเปล่า? พวกนี้เป็นของที่พี่ชอบทั้งหมดเลยนะ”
เย้นหว่านอายเล็กน้อย “เขาก็ชอบของพวกนี้”
ที่เธอไม่ได้บอกก็คือไม่ว่าจะเป็นอะไร โห้หลีเฉินล้วนให้เธอเป็นคนเลือกให้ ของที่เธอชอบ เขาก็จะบอกว่าชอบ
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอาหารหลักหรือของหวาน ตราบใดที่เป็นของกิน โห้หลีเฉินก็ชอบเหมือนเธอแทบทั้งหมด
“โอเค”
เย้นซินยังคงสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินเย้นหว่านตอบมาแบบนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“งั้นฉันจะเอาขนมไปให้พี่เขยก่อน”
พอพูดเสร็จ เย้นซินก็รีบออกไปจากห้อง
เสิร์ฟขนม ไม่ง่ายเลยที่เธอจะหาโอกาสได้อยู่กับโห้หลีเฉินตามลำพัง
ดูเหมือนว่าเย้นหว่านจะต้องนอนติดเตียงอีกหลายวัน ช่วงเวลานี้เธอจะเป็นคนไปเสิร์ฟของให้โห้หลีเฉินแทนเย้นหว่านเอง เพื่อที่จะได้มีโอกาสแสดงความในใจของเธอต่อหน้าโห้หลีเฉิน เมื่อเวลาผ่านไป เขาจะได้คุ้นเคยกับเธอ
โห้หลีเฉินจะต้องมีเธออยู่ในหัวใจโดยไม่รู้ตัว
เย้นซินเต็มใจทำขนมและกาแฟอย่างพิถีพิถัน เธอเดินไปห้องหนังสืออย่างมีความสุข
ทันทีที่เธอเดินเข้าไป เธอก็พบกับสายตาไม่พอใจของโห้หลีเฉิน
สายตาของเขาเย็นชา บ่งบอกถึงการไล่เธอให้ออกไป
เย้นซินไม่เต็มใจจะออกไปทั้งแบบนี้ เธอเผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาและกัดฟันพูด
“พี่เขย พี่ให้ฉันมาเสิร์ฟของว่างให้คุณ”
พอพูดถึงเย้นหว่าน สายตาที่เยือกเย็นของโห้หลี่เฉินก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
บรรยากาศกดดันภายในห้องลดลงไปบ้าง
เย้นซินถอนหายใจ และเสิร์ฟของว่างต่อ ในขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกเจ็บปวดจากความอิจฉาริษยา
เธอมาเสิร์ฟของว่าง แต่โห้หลีเฉินกลับไม่ต้อนรับ แต่พอเธอพูดถึงพี่สาวเธอเพียงคำเดียว โห้หลี่เฉินกลับรับอย่างเต็มใจ
เย้นหว่านดีตรงไหน? ถึงทำให้ผู้ชายหยิ่งยโสคนนี้ทำกับเธอแบบนี้
“พี่เขย นี่เป็นเค้กช็อกโกแลตของโปรดคุณ คุณลองชิมดูสิ”
เย้นซินวางของว่างไว้บนโต๊ะ และยืนอยู่ข้างๆมองโห้หลีเฉินด้วยความคาดหวัง
โห้หลีเฉินไม่ได้มองเธอสักนิด เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“เธอออกไปได้แล้ว”
เย้นซินชะงัก
เธออุตส่าห์มาเสิร์ฟของว่างให้เขา แต่โห้หลีเฉินกลับไม่ยอมมองเธอแม้แต่นิดเดียว
มันช่างแตกต่างกับสิ่งที่เธอคิดไว้
เธอกระชับนิ้วแล้วพูดเบาๆ
“พี่บอกว่าเธอนอนรออยู่ที่เตียงแล้วเบื่อ บอกว่าห้องของคุณมีหนังสือเยอะมากก็เลยให้ฉันมาช่วยเลือกไปให้สักเล่มสองเล่ม”
“เธออยากอ่านอะไร?”
โห้หลีเฉินถาม
ในใจเย้นซินเริ่มอิจฉาอีกครั้ง “พี่ไม่ได้บอกอะไร เธอให้ฉันเป็นคนเลือก ฉันขอเข้าไปดูได้ไหมคะ? ดูว่ามีหนังสือที่พี่สาวฉันอยากได้ไหม”
โห้หลีเฉินไม่เคยเห็นเย้นหว่านอ่านหนังสือ และไม่แน่ใจว่าเธอชอบอ่านอะไร
ดังนั้นเขาจึงได้แต่พยักหน้า
เย้นซินดีใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ พี่เขย”
น้ำเสียงดีใจของเธอเหมือนกับว่าโห้หลีเฉินตกลงให้เธอเลือกหนังสือให้ตัวเองอย่างไงอย่างงั้น
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย หนังสือในห้องนี้ล้วนเป็นของสะสมของเขา ไม่ได้ให้คนอื่นอ่านได้ง่ายๆ
และแน่นอนว่าไม่ได้ให้เย้นซินอ่าน
แต่เย้นซินบอกว่าจะเลือกให้เย้นหว่าน เขาเม้มปาก ช่างเถอะ…