บทที่ 192 ตัวช่วยสุดเก่ง
มู่หรุงชิ่นชะงักไป เธอมองไปทางโห้หลีเฉินด้วยสายตาตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่ไว้หน้าเธอได้ถึงขนาดนี้
หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรก เธอรู้สึกเจ็บใจ แต่สีหน้าของเธอยังคงยิ้มแย้ม แววตาสดใสยังมีความรู้สึกน้อยใจอยู่ในนั้นด้วย
“เฉินคะ ฉันก็แค่เป็นห่วงพวกคุณนะคะ”
เป็นห่วงอย่างนั้นเหรอ
เป็นห่วงจนทำให้เย้นหว่านเข้าใจผิดว่าเขากับเธอเป็นแฟนกันเนี่ยนะ
เมื่อก่อนมู่หรุงชิ่นเป็นคนยังไง โห้หลีเฉินแค่ไม่สนใจ แต่ในเมื่อตอนนี้เขารู้แล้ว ก็ไม่มีทางปล่อยให้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างนี้ต่อไปแน่ๆ
“เย้นหว่านมีผมเป็นห่วงก็พอแล้ว ส่วนผม ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้หญิงคนอื่นมาเป็นห่วงด้วย”
น้ำเสียงของเขาห่างเหินและเย็นชามาก
แค่คำพูดประโยคเดียว ก็สามารถผลักมู่หรุงชิ่นไปไกลแล้ว และยังแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธออย่างชัดเจน
มู่หรุงชิ่นรู้สึกเหมือนเหยียบอยู่บนหิมะที่หนาวเหน็บ แล้วโดนน้ำราดลงมา ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้แต่หัวใจก็หนาวสั่นไปด้วย
เดิมทีระยะห่างของเธอกับเขาก็เยอะอยู่แล้ว ได้เจอแต่แตะต้องไม่ได้ แต่ในเวลานี้ กลับเหมือนยิ่งไกลออกไป จนรู้สึกเหมือนชีวิตนี้เธอคงแตะต้องเขาไม่ได้
ขอบตาของเธอเริ่มร้อน มู่หรุงชิ่นยืนอึ้ง เหมือนหุ่นกระบอก
เย้นหว่านประหลาดใจเล็กน้อย เธอพอจะรู้เรื่องราวระหว่างโห้หลีเฉินกับมู่หรุงชิ่นมาบ้าง พวกเขาไม่ใช่แค่โตมาด้วยกันเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องหนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วย ดังนั้นสำหรับโห้หลีเฉินแล้ว มู่หรุงชิ่นจึงมีความพิเศษมากกว่าคนอื่น
แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ถึงจะเป็นอย่างนี้ โห้หลีเฉินก็ยังแยกแยะความสัมพันธ์กับมู่หรุงชิ่นอย่างเด็ดขาดและชัดเจนถึงขนาดนี้ เพราะเขากลัวว่าเธอจะเข้าใจผิดอย่างนั้นเหรอ
เย้นหว่านใจเต้นแรง แล้วมีความรู้สึกแปลกๆ
เพราะคืนนี้เป็นงานวันเกิดของโห้หลีเฉิน ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่ออวยพรให้เขา
หลีงจากที่เว่ยชีเดินดูความเรียบร้อยในงานเรียบร้อย เขาก็เดินเข้ามา แล้วพูดกับโห้หลีเฉิน “เจ้านายครับ ยังมีอีกหลายคนที่อยากชนแก้วด้วย เจ้านาย…”
เว่ยชีมองไปทางเย้นหว่านด้วยสีหน้าลังเล ก่อนจะพูดต่อ “จะไปเจอพวกเขาหน่อยไหมครับ หรือว่า จะให้พวกเขาเข้ามาทักทายที่นี่ดี”
โห้หลีเฉินไม่ตอบในทันที เขามองไปทางเย้นหว่าน ก่อนจะถามออกมา “คุณอยากเจอไหม”
เย้นหว่านตะลึงงัน คนที่พวกเขาอยากเจอคือเขา จะมาถามเธอทำไมกัน
เว่ยชีเป็นพวกไวต่อความรู้สึก จึงรีบพูดอธิบายให้เน้นหว่านเข้าใจ “คุณเย้นครับ คุณคือคู่ควงของเจ้านาย ถ้าคุณไม่อยากไปเจอทุกคน เจ้านายก็จะไม่ไปเจอ ถึงแม้เจ้าภาพของงานไม่ต้อนรับแขกในงาน มันจะดูไม่มีมารยาท แต่คนที่เจ้านายใส่ใจมากที่สุดคือคุณ ทุกอย่างจึงอยู่ที่ความยินยอมของคุณเป็นหลักครับ”
พอได้ยินแบบนี้ เย้นหว่านจึงอดที่จะนับถือความสามารถในการทำงานของเว่ยชีมาก สมแล้วที่เป็นถึงผู้ช่วยมือหนึ่งของโห้หลีเฉิน พูดออกมาแต่ละอย่างล้วนแต่มีเหตุมีผล
ดูไปแล้วเหมือนต้องการให้เย้นหว่านตัดสินใจ แต่ความจริงแล้วกลับพูดถึงด้านที่จะเกิดผลกระทบออกมาจนหมด แล้วยังช่วยพูดเน้นย้ำถึงความตั้งใจของโห้หลีเฉิน ว่าคนที่เขาใส่ใจที่สุดคือเย้นหว่าน ไม่มีใครในเมืองเฉิงหนานเทียบกับเธอได้
ถึงแม้จะรู้ว่าที่เว่ยชีพูดมาจะเป็นกลอุบาย แต่พอฟังแล้ว กลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น เหมือนแช่อยู่ในน้ำร้อน
โห้หลีเฉินตามใจเธอได้ถึงขนาดนี้ เธอจะดื้อรั้นยังไงก็ไม่กล้าปฏิเสธออกไป
เย้นหว่านมองไปทางโห้หลีเฉิน “คุณโห้คะ เดี๋ยวฉันไปชนแก้วกับแขกในงานเป็นเพื่อนคุณเองค่ะ”
“ได้ครับ”
โห้หลีเฉินมองหน้าเย้นหว่านนิ่ง สายตาของเขาลึกซึ้งและน่าหลงใหล เหมือนวังวนน้ำลึกที่ดึงดูดให้คนตกลงไป
เย้นหว่านใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่อยู่ ตื่นเต้นจนเริ่มทำตัวไม่ถูก เธอรีบหลบสายตาของโห้หลีเฉิน แล้วลุกขึ้นยืน “งั้น… ไปกันเถอะค่ะ”
โห่หลีเฉินลุกขึ้นยืนตาม ร่างสูงใหญ่ยืนเคียงข้างเย้นหว่าน เหมือนกำแพงขนาดใหญ่ ที่คอยช่วยกันลมกันฝนให้เธอ ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
เขาค่อยๆยื่นมือออกเล็กน้อย
เย้นหว่านมองมือของเขาทื่อยื่นออกมารอเธอควง แล้วเหม่อลอยไปเล็กน้อย ผู้ชายที่โดดเด่นถึงขนาดนี้ กลับมายืนอยู่ข้างๆเธอในเวลานี้ ในระยะใกล้ถึงขั้น… แตะเนื้อต้องตัวได้
สายตาของเย้นหว่านวูบไหว เธอค่อยๆยื่นมือไปควงแขนของเขาไว้
โห้หลีเฉินพาเย้นหว่านเดินมาถึงกลางงาน ก่อนจะมีสายตาหลายคู่มองมาที่พวกเขา
เย้นหว่านรู้สึกทำตัวไม่ถูก ส่วนโห้หลีเฉินกลับไม่มีท่าทีสนใจสายตาของทุกคนเลย เขาหันไปมองที่โต๊ะเครื่องดื่ม แล้วถามออกมาอย่างไม่พอใจ “เว่ยชี น้ำส้มล่ะ”
เว่ยชีชะงักไป เจ้านายเป็นคนสั่งให้เก็บน้ำส้มไปเองไม่ใช่เหรอ แล้วยังบอกให้เก็บออกไปทั้งหมดด้วย อย่าให้เขาเห็น พูดได้ว่าเขาไม่ชอบเอามากๆ และไม่สนใจด้วยว่าแขกในงานจะต้องการน้ำส้มหรือเปล่า
แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้ถามแบบนี้ล่ะ
เว่ยชีงงงวย ก่อนจะตอบออกไปตรงๆ “เก็บออกไปแล้วครับ”
“เอากลับมา”
คำสั่งเด็ดขาดดังขึ้น
เว่ยชี “…”
ได้ครับเจ้านาย คุณเป็นเจ้านาย คุณพูดอะไรก็อย่างนั้น
ไม่นานเว่ยชีก็เดินพาพนักงานยกเครื่องดื่มเข้ามา แล้วเขาก็เห็นว่า…
โห้หลีเฉินหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมา แล้วยื่นให้เย้นหว่าน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณดื่มน้ำส้มก็พอแล้ว”
เย้นหว่านลังเลเล็กน้อย “คนอื่นเขาดื่มไวน์ แต่ฉันดื่มน้ำส้ม มันจะดูไม่มีมารยาทหรือเปล่าคะ”
“แค่คุณยอมชนแก้วกับพวกเขา ก็เป็นเกียรติกับพวกเขามากแล้ว”
เย้นหว่านรู้สึกหมดคำพูดกับความหยิ่งผยองของโห้หลีเฉิน ใครบอกให้ผู้ชายคนนี้มีความสามารถขนาดนี้ล่ะ
เธอรับแก้วน้ำส้มมา ก่อนจะเผลอพูด “ฉันชอบน้ำส้มที่สุดเลยค่ะ ดีกว่าดื่มเหล้าตั้งเยอะ”
โห้หลีเฉินยกยิ้มกริ่ม แววตาของเขาเจ้าเล่ห์มาก
เว่ยชีที่ยืนอยู่ข้างๆริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาทันที
ที่แท้น้ำส้มก็ถูกเตรียมไว้เพื่อเย้นหว่านนี่เอง ตอนที่เย้นหว่านยังไม่มา เจ้านายมองน้ำส้มอย่างรังเกียจ แล้วสั่งให้ยกออกไปทั้งหมด พอเย้นหว่านมาถึง ก็ให้ยกน้ำส้มกลับมา เปลี่ยนอารมณ์เร็วถึงขนาดนี้ ช่วงนี้เจ้านายได้คำนึงถึงหลักการของตัวเองบ้างไหม
สายตาของทุกคนในงานว่องไวมาก พอเห็นโห้หลีเฉินพาเย้นหว่านกลับเข้ามาในงาน จึงรีบหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาแล้วเตรียมเดินเข้ามาทักทายทันที
แต่พวกเขาก็ได้เห็นกลุ่มที่เดินเข้ามาชนแก้วกับโห้หลีเฉินก่อนหน้านี้แล้ว และเห็นถึงความเย็นชาที่ได้รับจากโห้หลีเฉิน จึงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
มีชายหนุ่มวัยกลางคนพาคู่ควงของตัวเองเดินเข้ามา สีหน้าของเขายิ้มแย้มเอาใจ ตอนพูดก็ไม่กล้าพูดเสียงดังจนเกินไป “คุณโห้ครับ ผมชื่อลู่หย่วนฟานจากบริษัทเจล่า ส่วนนี่ซูลู่ภรรยาของผม ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่ได้มาร่วมงานวันเกิดของคุณ แก้วนี้ผมดื่มเพื่ออวยพรให้ครับ”
ใบหน้าของซูลู่ยังคงยิ้มละไม และยกแก้วไวน์ขึ้นมา แล้วพูดกับเย้นหว่าน “คุณคือคุณเย้นสินะคะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยเห็นคุณในโทรทัศน์ คิดไม่ถึงว่าตัวจริงจะสวยกว่าในโทรทัศน์อีกนะคะเนี่ย ดูเหมาะสมกับคุณโห้ราวกิ่งทองใบหยกเลยค่ะ”
พอได้ยินคำพูดนี้ สายตาที่หยิ่งทระนงของโห้หลีเฉินก็มองมาที่สองคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปากพูด “คุณเลือกภรรยาได้ดี ความก้าวหน้าของบริษัทคุณ คงจะไม่เลวเลยทีเดียว”
ลู่หย่วนฟานกับซูลู่ตื่นตกใจ เหมือนมีทองหล่นลงมาจากฟ้า
ในวงการธุรกิจของเมืองเฉิงหนาน ยังไม่เคยมีบริษัทไหนได้รับคำชมจากโห้หลีเฉินเลย แต่แค่คำพูดของเขาไม่กี่คำ ก็สามารถทำให้บริษัทเจล่าโด่งดังและธุรกิจราบรื่นได้แล้ว และสาเหตุทั้งหมด แค่เพราะว่ามีภรรยาที่ดี ส่วนภรรยาที่่ดีคนนี้ ก็แค่พูดออกมาประโยคเดียวต่อหน้าโห้หลีเฉินเท่านั้น ส่วนเนื้อหา… ยังเป็นแค่การกล่าวชมเย้นหว่านเท่านั้นเอง