บทที่ 209 โกรธหรือว่าไม่สนใจ
เมื่อกลับมาถึงห้องแล้ว ในตอนที่เย้นหว่านแปรงฟันล้างหน้าอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นสกินแคร์ต่างๆ ที่ฉูรั่วไป๋ให้มาแล้วก็รู้สึกอึดใจขึ้นมาเล็กน้อย
พอตอนนี้มาคิดแล้วก็กลายเป็นว่าสิ่งของเหล่านี้ที่เขาให้เธอล้วนเพื่อกำนัลเธอ
แถมเธอยังคิดโง่ๆ ว่าเขานั้นเป็นคนดี
เธอต้องจำไว้ว่าเมื่อพบกันในครั้งต่อไปต้องถามเขาถึงราคาของพวกนี้แล้วรีบจ่ายเงินคืนเขาโดยเร็วที่สุด
เมื่อเย้นหว่านไปถึงโรงแรม พนักงานก็ได้ทำความสะอาดห้องอีกครั้งรวมถึงชุดเครื่องนอนผ้าปูต่างก็เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
แม้ว่าจะนอนกลิ้งไปกลิ้งมาตลอดวัน แต่เย้นหว่านที่นอนอยู่บนเตียงกลับไม่มีทีท่าจะง่วงนอนเลย
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเลื่อนแล้วเลื่อนอีก นอกจากข่าวคราว การโทร ข้อความ และWechatที่เพื่อนส่งมานั้นก็ไม่มีข้อความของโห้หลีเฉินเลย
และตอนนี้ก็ตีสองกว่าแล้ว
เขาก็ต้องรู้ว่าเธอหนีออกมาแล้วแน่นอน
แต่กลับไม่มีโทรศัพท์หาเธอหรือไม่แม้แต่จะตามหาเธอ
เย้นหว่านมองโทรศัพท์ที่ไร้การติดต่ออย่างเหม่อลอย นึกไม่ออกเลยว่าโห้หลีเฉินจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไรกันแน่จะโกรธหรือว่าไม่สนใจ?
ไม่มีการตามหาเธอหรืออาจจะไม่สนใจเลยมากกว่า?
แม้ว่าเขาจะอยากแต่งงานกับเธอ แต่นิสัยและความเย่อหยิ่งของเขานั้นก็ทำให้เสียหน้าเมื่อถูกเธอผิดนัดแบบนี้
บางทีเขาอาจจะโกรธจนทิ้งเธอแล้วหรือเปล่า?
หลังจากครึ่งเดือนที่รอเธอกลับไป บางทีโห้หลีเฉินอาจจะยกเลิกการหมั้นกับเธอแล้ว
นี่อาจเป็นผลลัพธ์ที่เย้นหว่านรอคอยอยู่ก็ได้ แต่เมื่อนึกถึงตอบจบสุดท้ายแล้วนั้นกลับเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่ถ่วงลงมากดทับอยู่ภายในใจของเธอ มันอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
——
ความว้าวุ่นภายในใจทำให้คืนนี้เป็นคืนที่เย้นหว่านนอนหลับไม่สนิท และตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นด้วยใจที่ห่อเหี่ยวเล็กน้อย
แต่โชคดีที่เมื่อคืนแทบจะทุกคนเวียนเข้ามาทักทายกันตลอดทั้งคืน และสภาพจิตใจของทุกคนเองก็ไม่ได้ดีมากนัก ซึ่งเย้นหว่านก็ดูไม่ต่างกัน
ในช่วงเช้าให้เวลาทุกคนได้พักผ่อนทั้งกายและจิตใจให้เต็มที่เพื่อร่วมการประชุมครั้งแรกของ เมืองเจียง ซึ่งมีกำหนดการในช่วงบ่าย
เมื่อเย้นหว่านไปถึงห้องประชุมแล้วก็มีผู้คนต่างก็มาถึงเช่นกันอยู่ไม่น้อย
ในตอนที่เธอเพิ่งจะหาที่นั่งได้นั้นก็ได้รับสายตาของเพื่อนร่วมงานหลายคนมองมาที่เธอ
คนแรกที่พูดขึ้นก่อนคือ อาเหอคนเมื่อคืนที่มองเย้นหว่านด้วยใบหน้าคลุมเครือแล้วเอ่ยว่า:
“เย้นหว่าน เมื่อคืนเธอไปห้องน้ำแล้วก็ไม่กลับมาเลย เธอไปไหนมาหรอ?”
เย้นหว่านชะงักไปเล็กน้อย ไม่นึกว่าพวกเขาจะยังจำเรื่องเมื่อวานของเธอได้ แล้วยังจำได้แม่นด้วยว่าหลังจากที่เธอไปห้องน้ำแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก
ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนคนพวกนี้มัวแต่ดื่มเหล้ากันหรอ ทำไมถึงจำกันได้แม่นขนาดนี้?
นึกถึงเมื่อคืนที่ตัวเองแอบหนีออกมากับฉูรั่วไป๋แล้ว จู่ๆ เย้นหว่านก็รู้สึกร้อนตัวขึ้นมา
“เมื่อคืนฉันรู้สึกเมาๆ น่ะก็เลยกลับมานอนก่อน”
“แค่กลับมานอนหรอ? ”
อาเหอถามอย่างไม่เชื่อ
แถมผู้ชายที่อยู่ข้างๆ เขาก็เอ่ยปากประสมโรงด้วย: “เมื่อคืนนี้ฉูรั่วไป๋ก็เดินไปกับเย้นหว่าน แล้วฉูรั่วไป๋ก็ไม่ได้กลับมาด้วยเช่นกัน เมื่อคืนนี้พวกคุณสองคนไปด้วยกันใช่ไหม? ”
เย้นหว่านสำลักไปเล็กน้อย มันเป็นความจริงที่พวกเขาไปด้วยกัน
แต่เมื่อพวกเขาถามถึงขนาดนี้ มันคงฟังดูแปลกๆ ถ้าเธอตอบออกไปตรงๆ
พวกเขาไม่คิดที่จะปล่อยผ่านเย้นหว่านและหลายคนก็เริ่มเอ่ยแซวขึ้นมา
“ไปด้วยกันกับฉูรั่วไป๋หรอ? หรือว่าคุณสองคนจะเป็น…”
พวกเขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ว่าใบหน้าที่หยอกเย้าและยิ้มกรุ้มกริ่มนั้นทำให้ผู้คนต่างคิดไปในทิศทางนั้น
แล้วเมื่อคืนเย้นหว่านกับฉูรั่วไป๋ดันเกือบจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
เมื่อถูกมองอย่างนี้แล้วเย้นหว่านก็ยิ่งรู้สึกร้อนตัวเข้าไปอีก แก้มทั้งสองข้างเห่อร้อนและแดงไปหมด
เธอโต้กลับไปด้วยความตื่นตระหนก “มันไม่มีอะไร พวกคุณอย่ามาพูดไร้สาระนะ”
หลายคนที่เห็นปฏิกิริยานี้ของเย้นหว่านก็ยิ่งหยอกล้อกันเข้าไปอีก
“โอ้โห ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้พูดอะไรไร้สาระนะ แต่เย้นหว่านหน้าคุณแดงหมดแล้ว หรือว่ามันจริงที่เมื่อคืนนี้คุณกับฉูรั่วไป๋…”
เย้นหว่านกลุ้มใจจนปวดหัวไปหมดแล้ว เมื่อเห็นว่าคนพวกนี้กำลังจะพูดอะไรที่ทำให้โลกแตกออกมา
เธอกำลังคิดอย่างหนักหน่วงว่าจะตอบกลับไปอย่างไรให้ดีที่สุด แต่ในขณะนั้นเองเสียงทุ้มน่าฟังของผู้ชายก็ดังขึ้นมา
“เมื่อวานนี้ผมเห็นเย้นหว่านเมาแล้วก็เลยไปส่งเธอที่โรงแรม ทำไมครับ เป็นห่วงเพื่อนร่วมงานใหม่มันไม่โอเคหรอ? ”
ฉูรั่วไป๋สวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้มในมือถือแฟ้มเอกสารอยู่ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
คนเหล่านั้นต่างก็แปลกใจเมื่อเห็นเขา
อาเหอหัวเราะออกมาทันทีแล้วเอ่ยอย่างหยอกเย้าว่า: “รั่วไป๋พวกเราแค่พูดล้อเล่นเอง นายจะจริงจังทำไมเนี่ย? ”
“เวลางานไม่มีมีล้อเล่น”
ฉูรั่วไป๋ตีหน้าขรึมแล้ววางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะด้วยแรงที่ไม่หนักหรือเบาเกินไป แต่เสียงของแฟ้มเอกสารบนโต๊ะที่ดังขึ้นมานั้นกลับเหมือนเป็นการบอกเตือน
ทันใดนั้นผู้คนทั้งหลายต่างก็หวาดกลัวขึ้นมาแล้วก็สลายตัวกลับไปนั่งที่ตำแหน่งของตัวเองอย่างเงียบเชียบ
แล้วฉากนี้ก็จบลงด้วยความสงบ เย้นหว่านถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วมองไปที่ฉูรั่วไป๋อย่างขอบคุณ
แต่เมื่อเห็นเขานั่งอยู่บนที่นั่งด้วยท่าทางมาดขรึม นิ้วเรียวขาวพลิกเปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจังและตั้งใจ ไม่มีความคิดใดๆ เจือปนอยู่ในสายตาเขาเลยแม้แต่น้อย
ความเคร่งขรึมจริงจังนี้ต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง เหมือนว่าทั้งสองคนไม่มีอะไรเหมือนกันเลยทั้งสิ้น
ในเสี้ยวหนึ่งของเย้นหว่านที่คิดถึงสิ่งที่ฉูรั่วไป๋พูดเมื่อคืนว่า หลังจากนี้ไปเขาจะเป็นเพื่อนกับเธอ แต่พอดูตอนนี้แล้วเหมือนว่าแค่พูดเพื่อทำลายบรรยากาศอึดอัดตอนนั้นเฉยๆ หรือเปล่า?
วันนี้ท่าทางของเขาจริงจังมากจนคนไม่กล้าเฉียดใกล้ ประมาณว่าเว้นระยะห่างกับเธอให้ไกลออกไปด้วย และจะไม่มาเป็นเพื่อนกับเธออีกต่อไป
เย้นหว่านก็ไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกอะไรในใจ เหมือนไม่สบายเล็กน้อย
ในเวลานี้ อาเหอซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เย้นหว่านก็โน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ เธอแล้วกระซิบว่า:
“เย้นหว่าน เธอรู้สึกว่าฉูรั่วไป๋กับเมื่อวานแตกต่างราวกับคนละคนเลยใช่ไหม? แต่เธออย่าได้ถือสาเลย ฉันกับเขาทำงานร่วมกันมานานมากแล้ว นิสัยเขาก็เป็นแบบนี้แหละ โดยส่วนตัวแล้วจะสุภาพอ่อนโยน เข้าถึงง่าย แต่ในเวลางานกลับจริงจังมาก ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นแล้วก็ไม่อนุญาตให้พูดเล่นด้วย”
เย้นหว่านแปลกใจไปเล็กน้อย
เมื่อมองไปที่ฉูรั่วไป๋อีกครั้งอารมณ์ก็แตกต่างกันแล้ว
ตอนนี้เขาจริงจังมาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่ารักและให้ความสำคัญในงานส่วนนี้ และท่าทางจริงจังของเขานั้นก็เหมือนมีแสงออร่าอยู่บนกายที่ทำให้เขายิ่งดูสูงส่งและมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
หลังจากที่ฉูรั่วไป๋มาแล้ว คนอื่นๆ ก็มาถึงพร้อมกันอย่างรวดเร็ว และการประชุมก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
เนื่องจากหวางกวนจิ้งกับฉูรั่วไป๋เป็นตัวหลักที่มีหน้าที่ในการจัดการและจัดสรรงานโครงการในช่วงนี้
และฉูรั่วไป๋ได้ให้อธิบายแนวคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับเนื้อหาด้านวิชาชีพ เขานั่งอยู่ที่นั่นพูดจาอย่างฉะฉาน มองดูแล้วหล่อเป็นพิเศษ
เนื้อหาที่เขาบรรยายนั้นทุกๆ คำล้วนเป็นคำคลาสสิก แทบจะทุกประโยคที่ถูกเย้นหว่านจดบันทึกลงมา
หลังจากที่ฟังแล้วก็ยิ่งได้รับประโยชน์มากมาย
สมกับการเป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับโลก และระดับฝีมือนี้ก็สูงกว่าเธอมากนัก
เย้นหว่านมองฉูรั่วไป๋ที่กำลังพูดอยู่และรู้สึกอีกครั้งว่าไอดอลคนนี้เธอนับถือไม่ผิดเลยจริงๆ
หลังจากประชุมร่วมกันแล้ว วันรุ่งขึ้นคนทั้งสองฝ่ายก็เข้าสู่สถานะการทำงานอย่างเป็นทางการ
ฉูรั่วไป๋อยู่ในระดับมืออาชีพ เป็นผู้ชายที่ดีเลิศและยอดเยี่ยมมากจริงๆ แถมความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่เขามีนั้นล้วนทำให้คนเทียบชั้นกันไม่ติดเลยทีเดียว
เย้นหว่านเองก็ได้เรียนรู้จากเขามาไม่น้อยเลย
ฉูรั่วไป๋ไม่เพียงแต่สอนเธอเท่านั้น แต่ยังพาเธอไปชมวิวัฒนาการการให้บริการของท้องถิ่นเมืองเจียง ทั้งให้ชมและให้เธอได้เรียนรู้ไปด้วย
เย้นหว่านติดตามฉูรั่วไป๋ในเมืองเจียงเกือบครึ่งค่อนวันจนเท้าของเจ็บไปหมด แต่จิตใจก็ยังอิ่มเอิบเต็มเปี่ยมไปด้วยความสนอกสนใจ
ฉูรั่วไป๋มองเย้นหว่านที่อยู่ข้างกายแล้วยิ้มออกมา “เหนื่อยไหม? ”
“ยังไหวค่ะ” เย้นหว่านส่ายหัว
“งั้นค่อยมาต่อวันพรุ่งนี้?”
“ค่ะ”
เย้นหว่านตอบรับอย่างร่าเริง ฉูรั่วไป๋สามารถพาเธอออกมาหาประสบการณ์คนเดียวได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่เธอสามารถพบเจอได้ แต่ไม่สามารถเรียกร้องมันมาได้
ฉูรั่วไป๋หัวเราะเบาๆ แล้วก็เดินตรงไปที่รถของเขา
ทันทีที่เดินไปถึงรถและเขากำลังจะเปิดประตู ทันใดนั้นก็มีเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาดีวิ่งมาตรงหน้า