บทที่ 219 ไม่อยากไป?
เธอรีบผลักโห้หลีเฉินอย่างตกใจ สีหน้าเย้นหว่านแดงก่ำ รีบวิ่งไปอีกด้าน รักษาระยะห่างกับเขาปลอดภัยหน่อย
“คุณ คุณทานข้าวสิ ไม่งั้นเดี๋ยวเย็นหมด”
“กินด้วยกัน?”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่หิว”
เย้นหว่านปฏิเสธทันควัน ใจยังเต้นไม่เป็นส่ำอยู่
โห้หลีเฉินไม่บังคับเธอ นั่งลงทานอาหารอย่างสุขุม
เขาไม่ชินกับการทานมื้อดึก แต่ในเมื่อเย้นหว่านจัดให้ เขาต้องกินอยู่แล้ว
เขากินไปพูดไปว่า: “พรุ่งนี้กลับเมืองหนานกับผมละกัน”
เย้นหว่านปฏิเสธโดยไม่คิดเลยว่า “ฉันไม่กลับหรอก”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณจะอยู่ที่นี่ต่อทำไม? แพลนของทีมดีไซน์ครั้งนี้เดิมก็ไม่มีคุณ คุณเองก็ไม่มีโปรเจคส์ที่ต้องทำให้เสร็จ”
“ฉันมีภารกิจที่ต้องเรียนให้จบไง! ถึงครั้งนี้จะมาแค่สามวัน แต่ฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเพียบเลย และยิ่งเข้าใจสไตส์เครื่องแต่งกายของเมืองเจียงมากขึ้น พวกนี้ฉันไม่มีทางได้เรียนที่เมืองหนานแน่ ดังนั้นฉันอยากอยู่เรียนต่อ คุณโห้ คุณกลับไปก่อนเถอะ”
ท่าทางเย้นหว่านแน่วแน่มาก
มือที่ถือตะเกียบของโห้หลีเฉินชะงักกึก สีหน้าเริ่มไม่สบอารมณ์
เขาไม่ได้ไม่พอใจที่เย้นหว่านอยากอยู่ต่อ แต่เธอกลับให้เขากลับไปก่อนคนเดียว
เขาอุตส่าห์ตามจากเมืองหนานมายังเมืองเจียง แต่เธอกลับไม่ต้อนรับเขา แถมยังไล่เขากลับอีก?
“เพี๊ยะ” ดังขึ้น โห้หลีเฉินวางตะเกียบลง
เขาลุกขึ้น หันกลับหลังเดินไปหาเย้นหว่าน
สีหน้าเขาทะมึน ร่างสูงใหญ่มาพร้อมออร่าแรงกล้า ดูอันตรายมาก
เย้นหว่านใจกระตุก รีบกระโดดลงจากโซฟา ถอยหลังอย่างระแวง
“คุณโห้ มีอะไรพูดกันดีๆนะ”
โห้หลีเฉินเม้มปากแต่ไม่พูดอะไร เขาสาวเท้าก้าวยาวมาทางเธอ
อุณหภูมิในห้องเริ่มลดลง
เย้นหว่านถอยหลังไปเรื่อยๆอย่างหวาดหวั่น จนหลังชิดกำแพง ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว
และในตอนนี้ร่างสูงใหญ่ของเขามายืนต่อหน้าเธอ
เขาเข้าใกล้เธอ พูดชัดถ้อยชัดคำว่า: “ไม่อยากไป?”
เย้นหว่านใจเต้นแทบจะกระโดดออกมานอกอกแล้ว เกือบหลุดปากตอบรับว่าไป
แต่กลับไปเร็วขนาดนี้ คงไม่วายโดนเร่งให้กำหนดวันแต่งแน่
เธอยิ่งหวั่นกับเรื่องนั้นมากกว่า
เธอกำหมัดแน่น พยายามใจกล้าพยักหน้า “อืม”
สีหน้าเขายิ่งทะมึนมากขึ้น
อากาศเหมือนโดนกดไว้ จนเริ่มอึดอัด เย้นหว่านเริ่มหายใจไม่สะดวกแล้ว
และเธอเห็นเขายกมือขึ้น
เย้นหว่านตัวแข็งค้าง เขาคงไม่คิดจะตบเธอหรอนะ? หรือว่าจะใช้กำลัง?
เธอตัวเล็กแขนลีบ สู้เขาไม่ไหวหรอก ตะโกนช่วยด้วยจะมีประโยชน์ไหม?
เย้นหว่านคิดสะเปะสะปะในใจ และเห็นเขายื่นมือผ่านเธอไป จากนั้นเสียง “แอ๊ด” ดังขึ้น ประตูห้องแต่งตัวเปิดออกแล้ว
จากนั้นโห้หลีเฉินก้าวเท้ายาวเข้าไป
พอเขาไป บรรยากาศอึมครึมก็หายไป แสงไฟสว่างสาดมาที่เย้นหว่านอีกครั้ง
เย้นหว่านรู้สึกเหมือนปลดแอก ถอนหายใจเฮือก สีหน้าเริ่มแดงอีกครั้ง
เมื่อกี้โห้หลีเฉินไม่ได้ทำอะไรเธอสักนิด แค่จะเข้าห้องแต่งตัวเท่านั้น เธอหวาดกลัวไปเอง?
รู้สึกเขินแฮะ
เย้นหว่านไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เธอคิดจะเดินไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ
ตอนนี้กลับได้ยินเสียงผู้ชายทุ้มลึกจากในห้องแต่งตัวออกมา
“ช่วงนี้ผมจะทำงานที่นี่”
หา?
เย้นหว่านตะลึง มองผู้ชายในห้องแต่งตัวหน้างง
เขาพึ่งถอดเสื้อนอกออก เสื้อเชิ้ตถูกถอดไปกว่าครึ่ง เผยให้เห็นหน้าอกกว้าง และยังจุดแดงตรง…
ทำให้คนคิดไปไกล ตัวร้อนผ่าวทั้งตัว
เย้นหว่านเหม่อมองค้างไปชั่วขณะ สีหน้าแดงก่ำ ก่อนได้สติ เธอคิดไปไกลแล้ว
ประเด็นไม่ใช่ร่างกายเขา
เธอกัดฟันถามว่า: “คุณไม่ไปแล้ว?”
“อือ”
โห้หลีเฉินตอบเสียงต่ำ และถอดเสื้อเชิ้ตออกหมด
เนื้อซิกแพคกระแทกเข้าตาเย้นหว่านทันที
เธอรู้สึกร้อนที่จมูก รีบเบนสายตาไปทางอื่น
โห้หลีเฉินนับวันยิ่งไม่รู้จักอายเข้าไปทุกที เธอยังอยู่ในห้องแท้ๆ เขาจะเข้าห้องแต่งตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ได้หรือไง!
เพราะโห้หลีเฉินเลี้ยงข้าว ทุกคนเลยได้หยุดงานหนึ่งวัน การลงพื้นที่ของเย้นหว่านกับฉูรั่วไป๋เลยเลื่อนออกไปหนึ่งวัน
วันนี้เธอนัดเวลากับฉูรั่วไป๋แล้ว เลยมายืนรอที่หน้าโรงแรมตามเวลานัด
ไม่นาน รถของฉูรั่วไป๋ก็มาจอด
เขาลดกระจกลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา
“เย้นหว่าน ขึ้นรถสิ”
“โอเค”
เธอกำลังจะก้าวขึ้นรถของฉูรั่วไป๋ ทันใดนั้น ก็มีรถแลมโปกิริรุ่นลิมิเต็ดแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าเย้นหว่าน
คนที่ขับอยู่คือโห้หลีเฉินนั่นเอง
เขามองมาที่เธอ พูดด้วยน้ำเสียงสั่งว่า “ขึ้นรถ”
เย้นหว่านอึ้ง
โห้หลีเฉินโผล่มาทำอะไรเนี่ย?
เธอไม่ได้ขึ้นรถ แต่ถามว่า: “คุณโห้ ฉันกำลังจะไปทำงานกับคุณฉูค่ะ”
ดังนั้นเลยขึ้นรถเขาไม่ได้
“ขึ้นรถ”
โห้หลีเฉินพูดอย่างแน่วแน่อีก “ผมไปส่งคุณเอง”
เย้นหว่านยิ่งอึ้งหนัก โห้หลีเฉินไม่อยู่โรงแรมสบายๆ กลับวิ่งลงมาขับรถ บอกจะพาเธอไปส่งเนี่ยนะ
เธอนั่งรถฉูรั่วไป๋ไปจะสะดวกกว่ามั้ง
“ไม่ต้องรบกวนหรอกค่ะ”
“เย้นหว่าน ผมไม่อยากพูดเป็นครั้งที่สาม”
น้ำเสียงเขาเริ่มมีแววอันตราย เหมือนถ้าเธอกล้าปฏิเสธเขาอีก เขาจะไม่ให้เธอไปเลย
เย้นหว่านพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แต่จะขัดใจเจ้านายก็ไม่ได้ เลยได้แต่ยอมตาม
เธอหันมองฉูรั่วไป๋อย่างเกรงใจพลางว่า: “คุณฉู ฉันนั่งรถคุณโห้ไป เราไปเจอกันที่จุดหมายเลยละกันนะ?”
สายตาฉูรั่วไป๋จับจ้องมาที่เย้นหว่าน ดูมีแววไม่สบอารมณ์
เขาไม่คิดจริงๆว่า ประธานโห้ที่ปกติอยู่สูงส่งแถมงานยุ่งมาก กลับว่างมาเป็นคนขับรถให้เย้นหว่าน
นี่กันท่าเขาซะเหมือนกันขโมยเลยไหม? ขนาดโอกาสในการนั่งรถคันเดียวกับเย้นหว่านก็ไม่ให้เขา
แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ พอตอนไปดูงาน โห้หลีเฉินจะมาว่าตามติดก็ไม่ได้หรอกมั้ง เขายังมีเวลาอยู่กับเย้นหว่านอยู่
พอคิดได้อย่างนี้ อารมณ์ของฉูรั่วไป๋ก็ดีขึ้นหน่อย ก่อนตอบยิ้มๆว่า “ได้สิ”
เห็นฉูรั่วไป๋เป็นสุภาพบุรุษไม่ว่าอะไร เธออดเกรงใจเขาไม่ได้
โห้หลีเฉินนี่ใจแคบจริง
เย้นหว่านถึงก้าวขึ้นรถที่นั่งข้างคนขับ
เธอมองดูผู้ชายข้างๆ ถามอย่างเซ็งๆว่า “คุณโห้ คุณจะไปทำธุระที่เขตใหม่ด้วยหรอคะ?”
ดังนั้นเลยแวะส่งเธอในฐานะเป็นทางผ่านพอดี นี่เป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สุดที่เย้นหว่านคิดได้
แต่โห้หลีเฉินกลับส่ายหน้า ตอบด้วยคำพูดที่ทำให้คนตะลึงอ้าปากค้างได้เลยทีเดียว
“ไปส่งคุณเป็นพิเศษ”
เย้นหว่านนั่งอึ้ง ประหนึ่งแข็งเป็นหินไปแล้ว
ไปส่งเธอเป็นพิเศษ?
โห้หลีเฉินว่างขนาดนี้เลย?
นั่งมาด้วยกันในรถ เย้นหว่านสับสนไปหมด แอบมองเขาเป็นระยะ แอบคิดว่าวันนี้เขาเป็นอะไร ผิดปกติตรงไหน
ทันใดนั้น โห้หลีเฉินจอดรถข้างทางฉับพลัน
เย้นหว่านงุนงง “มีอะไรหรอคะ?”
โห้หลีเฉินปลดเข็มขัดนิรภัย โน้มตัวหาเธอ ร่างสูงใหญ่พกพากลิ่นไอสะอาด รวบเธอเข้าอ้อมกอดเขา