บทที่244 อยากจะปฏิเสธ แม้แต่ทางออกก็ไม่ให้
ไม่รู้ว่าเว่ยชีโผล่มาจากไหน ยืนอยู่ด้านหลังของโห้หลีเฉินอย่างระมัดระวังตัว และแนะนำว่า :
“คุณผู้ชายครับ หรือว่าพวกเราก็ไปทานข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรมด้วยดีไหมครับ? ”
จนถึงตอนนั้นอาจจะได้นั่งร่วมโต๊ะกับเย้นหว่านก็ได้
บรรยากาศที่ออกมาจากรอบตัวของโห้หลีเฉินกลับเย็นขึ้นมากกว่าเดิม ริมฝีปากของเขาเม้มแน่นไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าความหมายมันก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
ไม่ไป
เว่ยชีเช็ดเหงื่อที่หน้าผากที่ผุดออกมาเพราะความกลัว เขาเป็นกังวลอย่างมาก
คุณผู้ชายใช้เวลาทั้งช่วงบ่ายเป็นพิเศษเพื่อที่จะมาอ่านหนังสือกับเย้นหว่าน ก็เพื่อที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนผ่อนคลายลงบ้าง ดูเหมือนว่ามันก็ได้ผลอยู่บ้าง แล้วทำไมถึงไม่ไล่ตามชัยชนะต่อล่ะ?
อ่านหนังสือด้วยกันแล้ว แล้วก็กินข้าวด้วยกันอีก อิ่มใจและอิ่มท้องพร้อมๆ กัน สามารถขจัดความแค้นเก่าได้ง่ายจะตาย
เขาอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ แต่ก็กลัวว่าคุณผู้ชายจะก้าวผิดอีกครั้งเพราะว่าความโกรธของเขา ก็เลยได้แต่บังคับตัวเองให้อดทนต่อความเยือกเย็นจากโห้หลีเฉิน แล้วพูดว่า :
“คุณผู้ชายครับ คุณยอมแพ้ที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณเย้นผ่อนคลายลงแล้วงั้นเหรอครับ? ”
ยอมแพ้งั้นเหรอ?
โห้หลีเฉินเม้มริมฝีปากที่เซ็กซี่ของเขาแน่น ริมฝีปากโค้งอย่างเหยียดหยาม คำๆนี้มันไม่เคยอยู่ในพจนานุกรมของเขาอยู่แล้ว
แล้วยิ่งเป็นเย้นหว่าน ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เขาลุกขึ้น จัดสูทให้เรียบร้อย “ไม่รีบ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
ถ้ากระหายความสำเร็จเร็วเกินไป อาจจะทำให้เธอโกรธได้ง่าย
ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็แค่ต้องคิดหาวิธีการอย่างช้าๆ ถึงแม้ว่าเขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะถลกหนังของฉูรั่วไป๋ออกมา มัดรวมให้กลมแล้วก็เตะออกไปให้ห่างจากเย้นหว่าน
“เอาพวกหนังสือเมื่อกี้ทั้งหมดส่งไปที่ห้องของฉัน”
โห้หลีเฉินออกคำสั่ง และก็ก้าวฝีเท้าของชนชั้นสูง เดินออกไปด้านนอกอย่างสง่างาม
บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวที่ต้องการเอาชนะ
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ เดิมทีเย้นหว่านก็อยากจะกลับไปอ่านหนังสือที่ห้องเก็บข้อมูลต่อ แต่ว่าหลังจากไปแล้ว ก็กลับเห็นว่าประตูห้องเก็บข้อมูลเล็กได้ถูกปิดไปแล้ว
ถึงได้รู้ว่าเพราะว่าข้อมูลพวกนี้มันมีค่า เวลาเปิดทำการก็เลยมีจำกัด ไม่เปิดให้บริการตอนเย็น
เธอก็ทำได้แค่กลับไปอย่างผิดหวัง
มาที่เมืองเจียงก็เพื่อที่จะเรียนรู้ ถ้าจะบอกว่ายุ่งก็คือยุ่ง ถ้าบอกว่าไม่ยุ่งก็ค่อนข้างจะสบายๆ อย่างน้อยคืนนี้เธอก็ได้พักผ่อน
เย้นหว่านอาบน้ำแล้วก็มาสก์หน้า ตอนที่กำลังนอนลงบนเตียงเตรียมจะดูหนังนั้น ก็กลับได้ยินเสียงเคาะประตูจากทางด้านนอก
ในเวลาแบบนี้ ใครมาหาเธอกันนะ?
เพราะว่าสถานะที่พิเศษของเธอ เพื่อนร่วมงานที่บริษัทก็ต่างเคารพยำเกรงเธอ แน่นอนว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบเพื่อน ปกติแล้วคนที่ได้คบค้าสมาคมบ่อยๆ ก็จะมีฉูรั่วไป๋กับหวางกวนจิ้ง
ก็คงมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะมาหาเธอ อาจจะมีธุระเรื่องงานก็ได้ ถ้ายังงั้นจะช้าไม่ได้แล้ว
เย้นหว่านรีบยืนขึ้นทันที ติดกระดุมชุดนอนทั้งหมดให้เรียบร้อย แล้วก็เดินไปเปิดประตูห้องทั้งๆ ที่ยังมาสก์หน้าอยู่
พอเปิดประตู แล้วเห็นคนที่อยู่ด้านหน้าอย่างชัดเจนนั้น เย้นหว่านก็ตะลึงไปในทันที
เธอยืนนิ่งเหมือนกับไม้แกะสลักรูปไก่
ทำไมถึงเป็น……โห้หลีเฉินไปได้?!
โห้หลีเฉินเห็นเธอใส่ชุดนอน แถมมาสก์หน้าอยู่ด้วย ก็อึ้งไปเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยนอนเตียงเดียวกับเย้นหว่านมาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าทุกครั้งเวลาเธออยู่ต่อหน้าเขาก็จะระมัดระวังตัวเสมอ ทุกครั้งเธอจะปกปิดอย่างมิดชิด แล้วก็ไปนอนทันที
เขาไม่เคยเห็นเธอมาสก์หน้ามาก่อน
แผ่นมาสก์หน้าสีดำ ปกคลุมทั้งใบหน้าเล็กๆ ของเธอ เหลือไว้แต่ดวงตาที่กลมโตคู่นั้น แล้วก็ริมฝีปากสีแดงเชอร์รี่เพียงเท่านั้น
ดูแล้วก็น่ารักดี
เห็นว่าโห้หลีเฉินเอาแต่จ้องมาที่หน้าของตัวเอง เย้นหว่านถึงได้นึกอะไรออก
เธอยังแปะแผ่นมาสก์หน้าอยู่เลย!
แล้วมาเจอคนอื่นสภาพนี้เนี่ยนะ?! เจอคนอื่นก็ยังแล้วไป แต่ว่านี่เขาคือโห้หลีเฉินนะ!
เธอไม่อยากให้เขาเห็นท่าทางตอนที่เธอวุ่นวายสับสนอลหม่านเป็นอย่างมาก
จิตใต้สำนึกเธอทำงาน เธอรีบดึงประตูทันที อยากจะปิดประตู แต่ว่าโห้หลีเฉินนั้นไว้กว่าเธอ เขายื่นเท้าเข้ามา แล้วก็เอื้อมมือออกไปยันประตูไว้
แรงของเธอกับเขาแตกต่างกันอย่างชัดเจน แม้ว่าเย้นหว่านจะออกแรงมากแค่ไหน แต่ว่าประตูนั้นก็ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
เย้นหว่านกลัดกลุ้มจนอยากตาย
ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องรับมืออย่างไรกับมาสก์สีดำที่แปะอยู่บนหน้าของเธอตอนนี้
เธอก้มหน้าแล้วพูดอย่างรีบร้อน “คุณจะทำอะไร? ”
“มีธุระนิดหน่อยก็เลยต้องมาหาเธอ”
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินนั้นวางมาดขรึม แต่ว่าก็เอาแต่ก้มหน้ามองดูท่าทางของเย้นหว่านโดยตลอด เห็นว่าเธอดูลุกลี้ลุกลนและลำบาก มุมปากของเขาก็ยกขึ้นอย่างใจแคบ
“เดี๋ยวค่อยคุย ฉัน……ฉันจะไปล้างหน้าก่อน”
เย้นหว่านอยากจะให้โห้หลีเฉินถอยออกไปก่อน แต่ว่าโห้หลีเฉินกลับไม่สนใจความต้องการของเธอ ขาที่เรียวยาวเดินวางมาดเข้าไปด้านใน
เขาวางกล่องกระดาษในมือลงบนโต๊ะ แล้วก็เดินไปที่บาร์เครื่องดื่มอย่างเป็นธรรมชาติ หยิบแก้วพร้อมกับขวดไวน์อย่างชำนาญ เปิดฝาแล้วก็เทให้ตัวเอง
ท่าทางของเขาไหลลื่น สบายอกสบายใจเหมือนอยู่ห้องตัวเอง
เขาพูด “เธอไปล้างหน้าเถอะ เดี๋ยวฉันรอ”
เย้นหว่าน:“……”ความหมายของเธอคือให้เขาออกไปก่อนเข้าใจไหม?
เธอจ้องหน้าเขาอย่างหดหู่ รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้จะแย่เกินไปแล้ว ห้องนี้คือห้องของเธอนะ แล้วทำไมเขาถึงได้ดูคุ้นเคยจังเลย
เหมือนกับว่าจะสังเกตเห็นแววตาที่ไม่พอใจของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินจิบไวน์ลงไปอึกหนึ่ง หันไปมองหน้าเธอ แล้วก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา
“หรือว่าเธอเปลี่ยนใจแล้ว อยากจะคุยกับฉันทั้งๆ แบบนี้เลย? ”
แบบนี้? คือแบบนี้? แบบทั้งๆ ที่ยังมาสก์หน้าสีดำปิ๊ดอะนะ
เย้นหว่านใบหน้าร้อนผ่าวอีกครั้ง รีบหันหน้าไปแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันที
โห้หลีเฉินมองแผ่นหลังของเย้นหว่านที่วิ่งหนีไป มุมปากก็ยกขึ้น จิบไวน์ลงไปอย่างมีความสุข
การขยับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ง่ายกว่าที่เขาคิดไว้อยู่นะ
เย้นหว่านล้างมาสก์หน้าสีดำของเธอออกอย่างรวดเร็ว หลังจากวางตัวให้เหมาะสมแล้ว……เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเธอต้องแต่งตัวให้ดีๆ ต่อหน้าโห้หลีเฉินด้วยล่ะ? จะบ้าตาย
เย้นหว่านเกาหัว รู้สึกว่าค่ำคืนที่สวยงามและสุขสบายของเธอต้องกลับมาวุ่นวายเพราะการมาเยือนอย่างกะทันหันของโห้หลีเฉิน
ต้องรีบให้เขากลับไปให้เร็วที่สุด
หลังจากจัดการกับอารมณ์ของตัวเองเสร็จ เย้นหว่านก็เดินออกไปข้างนอก ก็เห็นว่าโห้หลีเฉินนั่งอยู่บนโซฟา นั่งไขว่ห้างอย่างสง่างาม อารมณ์ที่ดูสูงส่ง ดูสง่างามราวกับภาพวาดของเจ้าชาย
ดูดีจนทำให้คนเหม่อลอย
หลังจากอึ้งไปเล็กน้อย เย้นหว่านก็ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็เดินไปยืนอยู่ตรงด้านข้างโซฟา
มองไปที่โห้หลีเฉินจากระยะไกลแล้วถามว่า “ คุณโห้ คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ? ”
เข้าสู่ประเด็นทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม
โห้หลีเฉินมองเธอ แล้วก็ส่งแก้วไวน์อีกแก้วที่ได้เตรียมไว้ให้เธอ
“นั่งลงคุยกันเถอะ”
นั่งลงดื่มไวน์แล้วค่อยๆ คุยกันยังงั้นเหรอ? เขากะว่าจะคุยจนถึงหลังเที่ยงคืนเลยงั้นเหรอ?
เย้นหว่านยืนนิ่งไม่ขยับ แล้วก็ปฏิเสธด้วยใบหน้าที่สุภาพ “ฉันไม่ดื่มตอนกลางคืน”
“เหรอ? นิสัยใหม่งั้นเหรอ? ”
โห้หลีเฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย
ใบหน้าของเย้นหว่านดูขาดความมั่นใจ ที่จริงเธอก็แค่อ้างไปเท่านั้น
ดวงตาของเธอเป็นประกาย แล้วก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “คุณโห้ มาหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอคะ? ” พูดเรื่องเรื่อยเปื่อยให้น้อยลงจะดีกว่า เสียเวลา
ท่าทางของเย้นหว่านที่แทบจะรอไม่ไหวที่จะจบบทสนทนากับเขา ทำให้แววตาของโห้หลีเฉินมืดมนลง รู้สึกไม่มีทางเลี่ยง
เขาวางแก้วลง แล้วก็ชี้ไปที่ถุงกระดาษตรงหน้าเขา
“ให้เธอ”
ให้เธองั้นเหรอ? คืออะไรกัน?
เย้นหว่านมองไปที่ถุงกระดาษนั้นด้วยความสงสัย แต่ว่าไม่ว่ามันจะคืออะไร ในเมื่อเธอตัดสินใจที่จะแยกความสัมพันธ์กับโห้หลีเฉินให้ชัดเจนแล้ว ก็ควรที่จะปฏิเสธให้หมดถึงจะถูก
“ฉันไม่……”
“ฉันก็แค่ถือโอกาสเอามาให้เธอเท่านั้นแหละ”
โห้หลีเฉินตัดบทเย้นหว่านง่ายๆ
และที่บอกว่าถือโอกาสมา ทำให้เย้นหว่านปฏิเสธไม่ได้