บทที่257 ผู้หญิงของเขาช่างน่าสนใจ
เย้นหว่านรีบสะบัดความคิดออกจากหัว ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมจะรับประทานอาหาร
กำลังจะคีบอาหาร เธอก็กลับสังเกตได้ว่าที่ตรงหน้าของโห้หลีเฉินมีอาหารที่เขาไม่ชอบวางอยู่หนึ่งจาน
โรงแรมถึงแม้ว่าจะเห็นอกเห็นใจส่งข้าวมาให้ทาน ซึ่งนั่นก็น่าจะเป็นของที่จัดเตรียมไว้ ไม่ได้สั่งอาหาร จึงไม่ได้ดูแลถึงความชื่นชอบ หรือรสชาติ แต่เย้นหว่านรู้ว่าโห้หลีเฉินคนนี้นั้นเป็นคนที่ค่อนข้างจะจุกจิก
ดังนั้นเธอจึงยื่นมือเข้าไปหยิบอาหารจานนั้นของเขาออกมาและวางไว้ในตำแหน่งที่ห่างที่สุด
จากนั้นก็เลือกหยิบเอาอาหารที่โห้หลีเฉินค่อนข้างชอบไปวางไว้ให้แทน
การเคลื่อนไหวของเธอนั้นมันดูเจริญตาและมีทักษะสูง
ทำให้โห้หลีเฉินต้องชะงักมือและมองไปที่เธอ
พอวางให้เรียบร้อยแล้ว เย้นหว่านก็ช้อนตาเห็นโห้หลีเฉินกำลังมองอยู่ เธอจึงตกใจเล็กน้อย เพิ่งจะมารู้ตัวในสิ่งที่ทำไป
เมื่อครู่เธอไม่ได้อยากที่จะเปลี่ยนกับข้าวให้กับโห้หลีเฉิน แต่มือมันไปเองอัตโนมัติิ
มันก็เหมือนกับนิสัยพิเศษของเธอเวลาที่ได้อยู่ใกล้เขานั้นแหละ
แต่มันก็ออกจะ…..น่าอายหน่อยๆ
ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อขึ้นมา เย้นหว่านกะพริบตามองไปทางโห้หลีเฉินก่อนจะพูดอย่างกระอึกกระอักออกมาอยู่ไม่กี่คำ
“ขอโทษที มันเคยหน่ะ” เวลาเพียงสั้นนั้นมันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
โห้หลีเฉินมองลึกลงไปในดวงตาของเธอ แววตาวาววับ
เขาพูดด้วยเสียงเบาๆ “ดีจริง”
ใบหน้าของเย้นหว่านแดงระเรื่อ ยิ่งรู้สึกไม่เป็นตัวเองเข้าไปอีก
เธอรีบหันสายตาเบนออกทันที เธอไม่กล้ามองโห้หลีเฉินอีกแล้ว จึงรีบก้มหน้าก้มตาลงเริ่มกินข้าว
โห้หลีเฉินมองไปที่หัวที่ก้มงุดๆ ของเย้นหว่าน ราวกับพอจะจินตนาการถึงความอับอายของเธอได้อย่างไรอย่างนั้น ริมฝีปากของเขาจึงอดที่จะกระตุกยิ้มขึ้นไม่ได้
ที่แท้เธอเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลย
เขาที่อยู่ในอารมณ์ที่ดี อีกทั้งยังอาหารรสชาติดีพ่วงเข้าไปอีกก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบและกินอาหารอย่างสง่างาม
อาหารมื้อนี้ เป็นการรับประทานที่มีอารมณ์หลากเหลือหลาย
ถึงแม้ว่าอาหารจะอร่อย เย้นหว่านกลับกินอย่างไม่ลืมหูลืมตา พอกินเข้าไปอย่างไม่พักจนเสร็จเธอก็วางตะเกียบลง
“คุณโห้ ฉันกินเสร็จแล้ว คุณกินต่อเลยนะ ฉันขอตัวไปพักก่อนหล่ะ”
พูดจบเย้นหว่านก็หมุนตัวเดินก้มหัวงุดๆ ตรงไปยังโซฟาที่เธอได้จองเอาไว้
ในใจยังมีความหดหู่อย่างที่ไม่สามารถจะบรรยายได้อยู่ ไอ้เจ้ามือบ้า ความเคยชินบ้าๆ เกือบจะฆ่าคนตายอยู่แล้วไหมหล่ะ
โห้หลีเฉินเองก็วางตะเกียบลงก่อนจะเช็ดปากด้วยผ้าอย่างสง่างาม
ดวงตาของเขาประกายขัน จ้องมองไปยังเย้นหว่าน
เย้นหว่านมองหาผ้าห่มผืนบาง เพื่อปกปิดร่างกาย ก่อนจะนอนลงโซฟาและปิดตาลงพร้อมจะนอน
นอนห้องเดียวกันกับโห้หลีเฉินทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัว
ราวกับความง่วงมันอันตรธานหายไปหมดสิ้น
เย้นหว่านพยายามข่มใจ ทำตัวให้พร้อมแก่การนอนหลับ แต่เธอยังไม่ทันจะนอนหลับ หูก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่ข้างโซฟาเบาๆ
มันเป็นเสียงของคนนั่งลงมาบนโซฟา
โห้หลีเฉินมานั่งข้างๆ นี่ทำไมกัน?
เย้นหว่านเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมา อารมณ์ง่วงอะไรก็ไม่มีแล้ว ขนตาของเธอสั่นระริก อยากที่จะลืมตามองสักหน่อย
แต่กลับรู้สึกว่าถ้าหากเธอลืมตาขึ้นมาจะต้องตรงกับเขาอย่างแน่นอน แบบนี้มันจะไม่รู้สึกเขินๆ อย่างนั้นหรอ?
กวนใจเป็นบ้า
เย้นหว่านลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะแกล้งดิ้นพลิกตัวไปหันหน้าไปทางด้านข้างโซฟา
จากนั้นก็ค่อยๆ หรี่ตามองน้อยๆ แอบมองไปที่แหล่งกำเนิดเสียง
ดูเพียงเท่านั้น เธอก็ชะงักด้วยความประหลาดใจ
เธอเห็นเพียงแสงที่ส่องมาทางหน้าต่างเข้ามาตกกระทบที่ไหล่ของชายหนุ่ม ราวกับว่าร่างกายของเขาได้รับแสงแดดที่อ่อนโยน มันดูสวยงามราวกับความฝัน
เขาใส่เสื้อสีขาว คอเสื้อค่อนข้างกว้างมันจึงเปิดให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของกล้ามเนื้อและไหปลาร้า
เขานั่งขัดสมาธิท่าทางสบาย มือขาวเรียวยาวถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่
ในชั่วขณะนั้น เขามองมันอย่างตั้งใจ ดูจริงจัง นั่นทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขานั้นมันยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดสายตาขึ้นไปอีก
ผู้ชายจะหล่อที่สุดตอนตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ผู้ชายจะดูมีเสน่ห์ที่สุดตอนอ่านหนังสือ
และเขาในตอนนี้ มันเป็นทั้งสองอย่างเลย
ที่แท้เขาก็มานั่งตรงนี้เพื่อจะอ่านหนังสือนี่เอง
เมื่อเห็นโห้หลีเฉินตั้งใจอ่านหนังสือ ไม่ได้สนใจอะไรเธอ เย้นหว่านจึงลืมเรื่องที่จะแอบลอบมองเขา จึงเหม่อลอยมองไปตรงไปที่เขาจังๆ
มันเป็นภาพที่ช่างสวยงามดูน่าประทับใจ
เธออดไม่ได้ที่จะอยากให้ภาพข้างหน้าถูกสต๊าฟเอาไว้ หากถ้ามันสามารถที่จะอยู่ตลอดไป และหากจะซ่อนมันเอาไว้แบบนี้ มันก็คงจะดีมากทีเดียว
จริงๆแล้ว เธอนั้นมองโห้หลีเฉินได้อย่างสบายตาสบายใจ
โห้หลีเฉินมองไปที่หนังสือ เย้นหว่านมองไปที่เขา ในช่วงเวลาบ่ายที่เงียบงัน
ความประหม่าที่เคยมีตอนนี้กลายเป็นสงบนิ่ง การต่อต้านที่เธอมีต่อโห้หลีเฉินนั้นราวกับว่ามันผ่านมาแล้วเนิ่นนาน
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เย้นหว่านก็หลับลงไป
ลมหายใจของเธอค่อยๆ สงบราบเรียบลง ชายหนุ่มที่ตั้งใจอ่านหนังสือมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ละสายตาออกจากหนังสือ หันมามองไปที่ใบหน้าของเย้นหว่าน
เขามองหน้าเธอก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างร่าเริง
จากนั้น เขาก็ผุดลุกขึ้น เดินมาทางข้างตัวเธออย่างเบาเท้า ก่อนปัดปอยผมของเธอออกและจูบลงเบาๆ ไปที่หน้าผาก
——
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
“เย้นหว่าน ตื่นได้แล้ว เย้นหว่าน………”
เสียงตะโกนก้องเข้าไปในฝันของเย้นหว่าน
เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ มองใบหน้าชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ ใบหน้าเอ่องงงวย เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้สติ
โห้หลีเฉินมองเธอที่กำลังเหม่อลอยอยู่นั้น รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา
เขาพูดขึ้นช้าๆ : “ตื่นได้แล้ว”
เย้นหว่านกะพริบตาปริบๆ สติเริ่มมา เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าคนที่กำลังปลุกเธออยู่นั้นคือโห้หลีเฉิน
“อ้อ อือ ได้”
เย้นหว่านตอบอย่างไม่รู้ตัว ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพลางนวดศีรษะที่ยังสะลึมสะลืออยู่
เธอลุกขึ้นจากเตียงอย่างเคยชิน แต่เมื่อสังเกตถึงที่ที่ตัวเองอยู่ได้ ก็ชะงักไป ก่อนจะตื่นเต็มตา
แต่กลับยิ่งสับสนหนักไปอีก
เธอไม่ใช่ว่านอนอยู่บนโซฟาอย่างนั้นหรอ? ทำไมเธอถึงมานอนบนเตียงได้หล่ะ
อีกทั้งโห้หลีเฉินก็ยังยืนอยู่ข้างเตียงของเธอ
“ฉะ ฉันทำไมถึง…..”เย้นหว่านมองไปยังใบหน้าหล่อเหลา พูดขึ้นตะกุกตะกัก “ทำไมถึงได้มาอยู่ที่เตียงหล่ะ? ”
โห้หลีเฉินใบหน้าราบเรียบ “ฉันก็อุ้มเธอมาหน่ะสิ”
เย้นหว่าน: “……..”
เธอนอนบนโซฟาอยู่ดีๆ ทำไมถึงต้องอุ้มเธอมา
อีกอย่าง ทำไมเขาถึงได้พูดอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหล่ะ อุ้มเธอมานี่ไม่ได้รู้สึกกระดากเขินบ้างเลยหรือไง
เห็นสีหน้าของเย้นหว่านเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนั้นโห้หลีเฉินก็กระตุกยิ้มขึ้นไปอีก
เขามองไปทางเธอก่อนจะทำเสียง หึหึ ขึ้นอย่างเย้ย
“เธอรู้ตัวไหมว่าเธอเป็นคนนอนดิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะฉันนะ เธอตกโซฟาไปแล้ว”
เย้นหว่านหน้าแดงขึ้นทันที แน่นอนหล่ะว่าเธอนอนดิ้นจริงๆ ตอนที่หนักเลยก็คือดิ้นไปอยู่อีกด้านของเตียง
ถึงโซฟามันใหญ่ แต่ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าเตียงนอน ตอนที่เธอพลิกตัวนั้น….
หรือว่ามันจะเกือบตกลงมา แล้วโห้หลีเฉินจึงช่วยเธอเอาไว้?
น่าขายหน้าชะมัด
เย้นหว่านเพียงอยากจะเอาผ้าห่มคลุมหัวตัวเองไปซะเลย
โห้หลีเฉินมองท่าทางของเธออย่างนั้น ริมฝีปากก็ยิ้มขึ้นแล้วยิ้มขึ้นอีก ผู้หญิงคนนี้ ทำไมถึงได้น่าสนใจอย่างนี้นะ
เขาหล่ะอยากจะแกล้งเธออีกจริงๆ