บทที่ 314 รออะไร? เย้นหว่านเหรอ
เว่ยชีเข้าใจความหมายที่โห้หลีเฉินกันเย้นหว่านออกไป ดังนั้นจึงตั้งใจพาเย้นหว่านไปห้องอาหารส่วนตัวที่จองเอาไว้ในโรงแรมด้านข้าง ให้เย้นหว่านกำชับพ่อครัวทำอาหารใหม่ด้วยตนเอง
แต่เดิมทีเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว เว่ยชีแอบให้ทำลายทิ้งไปลับๆ
ในห้องคนไข้ บาดแผลของโห้หลีเฉินกำลังเปลี่ยนยาใหม่อีกครั้ง กำลังพันผ้า ดูขึ้นมาอัปลักษณ์น่าสยอง
เหล่าคุณหมอทำงานยุ่ง เวลานี้ประตูห้องที่ปิดสนิทนั้นกลับถูกผลักเปิดจากด้านนอก
คนที่ไม่เคาะประตูเข้ามา ปกติจะเป็นเย้นหว่าน
ตอนนี้บรรดาคุณหมอต่างรู้ว่าคนที่โห้หลีเฉินเน้นหนักให้ปกปิดคือเย้นหว่าน ชั่วขณะนั้นพวกเขาต่างประหม่าขึ้นมา ชั่วพริบตาเดียวบนหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาแล้ว
ชั่วขณะนั้นลมหายใจของโห้หลีเฉินต่ำลงมา คว้าเสื้อผ้าด้านข้างไว้ ช่วงเวลาที่กะพริบตาก็ใส่ไว้บนร่างกายตนเองแล้ว
เขาติดกระดุมพลางมองไปทางหน้าประตูด้วยสีหน้าปกติ
กลับเห็นคนที่เข้ามาไม่ใช่เย้นหว่าน แต่เป็นมู่หรุงซิ่นที่ถือกระเช้าผลไม้อยู่
ความสดชื่นบนราวลมฤดูใบไม้ผลิบนหน้าโห้หลีเฉินหายลับไปในชั่วขณะนั้น
บรรดาคุณหมอก็ร่วมกันถอนหายใจทีหนึ่ง
มู่หรุงซิ่นอ่อนไหวมากพบว่าท่าทางของโห้หลีเฉินเปลี่ยนแปลงไป และมองเห็นตอนที่โห้หลีเฉินเห็นหล่อน ความผิดหวังที่ไม่ใส่ใจสักนิดนั้น
เขากำลังรอใคร?
เป็นเย้นหว่านเหรอ?
แต่หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเกิดเรื่อง สองวันนี้ล้วนไม่เคยมา เห็นได้ชัดว่าคงไม่มาแล้ว เย้นหว่านไร้จิตใจขนาดนี้ ทำไมโห้หลีเฉินยังต้องคิดถึงเธออยู่ตลอดเวลาด้วย?
ในใจมู่หรุงซิ่นโกรธเคืองเหมือนแมวข่วน บนหน้ายังคงรักษารอยยิ้มที่สง่างามไว้
“เฉิน แผลของนายเป็นยังไงบ้าง? วันนี้ดีขึ้นรึยัง?”
“มารยาทของตระกูลมู่หรุง ไม่เคยสอนเธอเคาะประตูเหรอ?”
เสียงของโห้หลีเฉินเย็นชา แหลมคม
มู่หรุงซิ่นตะลึง สีหน้าซีดขาวอับอายอยู่บ้าง
สองวันมานี้ ในห้องคนไข้ของโห้หลีเฉินมีคนมาๆ กลับๆ ไม่น้อย ตอนนี้พึ่งสิบโมง หล่อนจึงไม่ได้คิดมาก และเข้ามาแล้ว
“ออกไป” โห้หลีเฉินไม่ทน
เท้าของมู่หรุงซิ่นฝืดค้างทันใด สีหน้าลำบากใจ
หมอรีบเอ่ยปากแก้ไขด้วยความกระอักกระอ่วน พูดอธิบาย “คุณหนูมู่หรุงครับ คุณโห้กำลังจัดการบาดแผลอยู่ ตอนนี้คงไม่ค่อยสะดวก คุณออกไปรอสักหน่อยก่อนน่าจะเหมาะกว่าไหมครับ?”
มู่หรุงซิ่นถึงมองเห็นอุปกรณ์ที่เต็มห้อง ยังมีกระดุมของโห้หลีเฉินที่ยังติดไม่เสร็จนั้น
หล่อนรีบพูดขึ้น “ขอโทษที เฉิน เดี๋ยวฉันออกไปก่อน”
หลังจากมู่หรุงซิ่นออกไป การรักษาถึงดำเนินการอีกรอบ
อาจารย์หมอรีบเข้ามาด้านหน้า บอกว่า “คุณโห้ครับ ถ้าไม่อย่างนั้นผมถอดเสื้อออกให้คุณ?”
บนมือของโห้หลีเฉินมีแผล ตนเองถอดเสื้อผ้าไม่สะดวกจริง เมื่อสักครู่มีเย้นหว่านถอดให้เขา ตอนนี้ถูกใส่เข้าอีกครั้ง และเผชิญหน้ากับปัญหาการถอดอีกครั้ง
แต่คุณโห้เคยพูดว่ารังเกียจผู้ชายมือหยาบ อาจารย์หมอคนนี้ดีเลวอย่างไรก็ฝีมือดี คงสามารถทำออกมาได้ดีหน่อยล่ะมั้ง?
คิดไม่ถึงว่าแม้แต่มองโห้หลีเฉินยังไม่มองเขาสักนิด ยกมือถอดเสื้อผ้าลงมาด้วยตนเองแล้ว
การกระทำสะอาดว่องไว ถึงจะกระเทือนบาดแผลบนแขน แม้แต่คิ้วยังไม่มีขมวดสักหน่อย
ถึงแม้ไม่สะดวก แต่เขาไม่ได้บอบบาง นอกจากตอนที่อยู่ต่อหน้าเย้นหว่าน
หมอตกตะลึงพรึงเพริด มองบาดแผลบนแขนของโห้หลีเฉินที่ฉีกออกอีกนั้น ขมับเต้นอย่างแรงกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาผิดไปแล้ว เวลาบาดแผลนี้หายดีไม่ใช่มากขึ้นเท่าหนึ่ง แต่มากขึ้นเป็นสามเท่า ซึ่งยังเพียงแค่ชั่วคราว
นี่ไม่เห็นร่างกายของตนเองเป็นร่างกายเหรอ?
หลังจากเก็บความกลัดกลุ้มซับซ้อนไว้ในท้อง ในที่สุดหมอก็พันแผลให้โห้หลีเฉินใหม่อีกรอบแล้ว ทำการตรวจอย่างละเอียด ในที่สุดจึงเก็บอุปกรณ์
เขายื่นยาให้โห้หลีเฉิน
“คุณโห้ครับ ทานยาเถอะครับ”
โห้หลีเฉินมองยานั้น ปฏิเสธอย่างเย็นชา “ใกล้เที่ยงแล้ว ยาของตอนเช้าไม่ต้องกินแล้ว”
หมอ “……” เป็นเพราะใกล้เที่ยงแล้ว หรือเป็นเพราะเดิมทีคุณไม่อยากทาน?
บาดแผลใกล้จะดีหน่อยนั้นมีความแค้นกับคุณใช่มั้ย
หมออยากตายจริงๆ
หลังจากหมอออกไปกันหมด มู่หรุงซิ่นที่รอคอยอยู่ด้านนอกถึงเข้ามาใหม่อีกรอบ
ครั้งนี้ก่อนเข้ามา หล่อนรู้จักฉลาดแล้ว เคาะๆ ประตูก่อน
รอสักพักหนึ่ง เสียงของโห้หลีเฉินถึงลอยมาจากในห้องคนไข้
“เข้ามา”
มู่หรุงซิ่นรีบผลักประตูเปิด เดินเข้าไปแล้ว
เวลานี้ ภาพบรรยากาศในห้องคนไข้เหมือนกันกับก่อนหน้านี้ อุปกรณ์ล้วนเก็บไปหมด สะอาดสะอ้าน ยิ่งมีเพียงโห้หลีเฉินอยู่คนเดียว
เขากึ่งนั่งอยู่บนเตียง ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งกำลังอ่านอยู่
น้อยมากที่มู่หรุงซิ่นจะได้เห็นตอนที่โห้หลีเฉินผ่อนคลายขนาดนี้ เมื่อก่อนเขาใส่แต่ชุดสูท ยุ่งวุ่นวายในห้องทำงาน อยู่ในงานเลี้ยงธุรกิจ
แต่เวลานี้เขาใส่ชุดคนไข้ที่หลวม แสงแดดสดใสส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง มองขึ้นมาสบายใจและสง่างาม ราวกับรุ่นพี่ในสมัยเป็นนักเรียน ทำให้เวลาย้อนกลับ สงบดี
มู่หรุงซิ่นยิ่งหลงใหลต่อเขาเพิ่มขึ้น ผู้ชายแบบนี้ทำให้หล่อนไม่รักได้อย่างไร
ถึงแม้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่สนใจว่าต้องชดใช้อะไร หล่อนก็อยากจะได้เขามา
หล่อนเดินไปที่ข้างเตียง นั่งลงอย่างสง่า ถามเสียงเล็กๆ “เฉิน นายกำลังอ่านหนังสืออะไร?”
สายตาโห้หลีเฉินหยุดบนหน้ากระดาษ เสียงเมินเฉยที่สุด เข้าประเด็นตรงๆ
“เธอมีธุระอะไร?”
มู่หรุงซิ่นหัวเราะแล้ว “นายบาดเจ็บอยู่ ฉันยังมีเรื่องอะไรมารบกวนนายกัน? ฉันเพียงแต่เป็นห่วงนาย เลยมาดูนายหน่อย”
“ดูเสร็จแล้ว เธอไปได้”
โห้หลีเฉินสั่งอย่างไม่เกรงใจ ดวงตาก็ไม่กะพริบเช่นกัน
เย้นหว่านยัยเด็กคนนั้นน่าจะใกล้กลับมาแล้ว เขาไม่ชอบให้เวลานี้มีคนอื่นอยู่ด้วย
มู่หรุงซิ่นตะลึงค้าง คาดไม่ถึงโห้หลีเฉินอยากไล่หล่อนไปเร็วขนาดนี้
หล่อนไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง “เฉิน ใช่เพราะเมื่อกี้ที่ฉันไม่เคาะประตูเข้ามารึเปล่า ทำให้นายโมโหแล้ว?”
โห้หลีเฉินหมดความอดทนอยู่บ้าง สายตาเย็นเฉียบ เม้มริมฝีปากบางไม่ได้พูดอะไร
ไม่พูดจา มีความหมายยอมรับเป็นนัย
เพียงแต่มู่หรุงซิ่นนึกไม่ถึงว่าเมื่อก่อนโห้หลีเฉินเย็นชามากแค่ไหนก็จะมองหล่อนหน่อย ตอนนี้ไม่ไว้หน้าให้หล่อนเลยสักนิดเดียว
หล่อนในเวลานี้ยืนอยู่ตรงนั้นกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ หล่อนยิ่งไม่อยากจากไป ตอนนี้หล่อนรู้สึกถึงวิกฤติที่ใหญ่มาก ขอเพียงตอนนี้ไม่คว้าโอกาสอยู่ข้างกายโห้หลีเฉินไว้ให้แน่น ชาตินี้หล่อนอาจจะเหินห่างกับผู้ชายคนนี้จนถึงที่สุด
นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่หล่อนอยากได้
มู่หรุงซิ่นทำใจแข็งเดินไปที่ข้างเตียงของโห้หลีเฉิน นั่งลงตำแหน่งที่ระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลกับเขา
หล่อนหยิบมีดปอกผลไม้ขึ้น เริ่มปอกแอปเปิล
น้ำเสียงที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมและน่าสงสาร “เฉิน นายอย่าโกรธฉันได้รึเปล่า? ต่อไปฉันจะเคาะประตูอย่างเชื่อฟัง”
สายตาของโห้หลีเฉินตกลงบนหนังสือ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มองหล่อนสักที และไม่พูดจาอะไร
มู่หรุงซิ่นเหมือนกำลังเล่นละครที่แสดงเดี่ยวฉากหนึ่ง
ถ้าเป็นคนอื่น คงถูกทิ้งออกไปตั้งนานแล้ว เพราะหล่อนเป็นมู่หรุงซิ่น โห้หลีเฉินถึงไม่ทำแบบนี้
ดังนั้นเขายังทำกับหล่อนไม่เหมือนคนอื่นล่ะมั้ง
ในใจมู่หรุงซิ่นดีใจอยู่บ้าง ยิ่งเพิ่มความกล้าขึ้นมาบ้าง ไม่นานหล่อนก็ปอกแอปเปิลเสร็จ หั่นแบ่งชิ้นวางในจานอย่างเป็นระเบียบ
จากนั้นหยิบส้อมขึ้น จิ้มชิ้นหนึ่งแล้วยื่นไปที่ริมฝีปากของโห้หลีเฉิน
“เฉิน ฉันพึ่งปอกแอปเปิล นายกินสักคำนะ”