บทที่ 367 คุยจนถูกเปิดโปง
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินคำพูดพวกนี้ที่ถูกเปล่งออกมาจากคนนอก? และคนที่เคยพูดต่อหน้าเขานั้น เนินบนหลุมศพในตอนนี้สูงกว่าคนไปแล้ว
คิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปหลายปี โห้หลีเฉินจะพบมันอีกด้วยซ้ำ
เวนเดลล์มองไปที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้า บนใบหน้าใบนั้นดูคุ้นเคยเล็กน้อย เป็นสายตาที่แหลมคมและแน่วแน่
เขาอยากที่จะปฏิเสธ แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้
ตามหาเขาพบจนมาที่นี่ โห้หลีเฉินได้ตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว แล้วตอนนี้เขาจะปฏิเสธอะไร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพียงการปักความรับผิดชอบ
“เราขึ้นไปชั้นบนค่อยว่ากัน”
ขณะที่พูด เวนเดลล์ก็เดินขึ้นไปชั้นบนด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ปฏิกิริยาของเวนเดลล์ ต้องยอมรับว่าเร็วกว่าที่คิดไว้ และแม้แต่โห้หลีเฉินก็ยังไม่ได้เริ่มใช้วิธีการเลยด้วยซ้ำ
บางที นี่อาจเป็นเพราะคุณแม่ของเขาด้วย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์นี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่โห้หลีเฉินอยากเห็น เขาเม้มริมฝีปากบาง แล้วเดินตามไปข้างหน้า
สีหน้าของมู่หรุงชิ่นซีดเซียว ยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม แทบจะเป็นบ้า
เธอเสียใจในภายหลังจนแทบจะบีบคอตัวเองให้ตาย
แท้ที่จริงแล้วเย้นหว่านถูกพาตัวไป และโห้หลีเฉินก็ยังหาเธอไม่เจอ! เดิมทีเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยม แต่เธอกลับพาโห้หลีเฉินมาหาท่านเอิร์ลแก่เวนเดลล์ด้วยตัวเอง และมองจากสถานการณ์นี้ ดูเหมือนว่าเวนเดลล์จะรู้ว่าเย้นหว่านอยู่ที่ไหนจริงๆ!
งั้นเธอก็ช่วยโห้หลีเฉินตามหาเย้นหว่านจริงๆเหรอ? !
มู่หรุงชิ่นโมโหจนกระทืบเท้า ทำอย่างไรก็คิดไม่ออก อยากที่จะเดินตามไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ พยายามที่จะทำลายสิ่งบางอย่าง
แต่ในขณะที่เธอเดินมาถึงหน้าบันได กลับมีบอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่สองคน เดินเข้ามาห้ามเธอ
“ คุณผู้หญิงครับ คุณขึ้นไปไม่ได้ครับ”
มู่หรุงชิ่นรีบชี้ไปทางโห้หลีเฉิน ที่เดินบนบันไดอย่างรวดเร็ว “ฉันเป็นคู่หญิงของเขา เรามาด้วยกัน”
“คุณผู้หญิงครับ โปรดรออยู่ที่นี่อย่างสงบด้วยนะครับ”
ท่าทางบอดี้การ์ดหนักแน่น สื่อความหมายว่าไม่ยอม
มู่หรุงชิ่นหงุดหงิดเป็นอย่างมาก มองไปที่เงาด้านหลังของโห้หลีเฉินอย่างไม่เต็มใจ โมโหจนแทบจะกัดฟันสีเงินให้หัก
แต่นี่เป็นที่อยู่ของท่านเอิร์ลเวนเดลล์ เขาไม่ให้เธอขึ้นไป เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
หลังจากคิดเรื่องนี้ มู่หรุงชิ่นก็เดินไปข้าง ๆ และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร
“รีบไปหามาให้ฉันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย้นหว่าน”
เมื่อเทียบกับความครึกครื้นของห้องโถงชั้นล่างแล้วนั้น ชั้นบนก็เงียบสงบมาก และสามารถได้ยินเสียงฝีเท้า ตรงทางเดินอย่างชัดเจน
เวนเดลล์พาโห้หลีเฉินมาที่ห้องนั่งเล่น
เขานั่งบนโซฟา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และบนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น
เขามองไปที่โห้หลีเฉิน และถามอย่างตรงไปตรงมา: “นายกำลังตามหาที่อยู่ของตระกูลเย้นใช่ไหม?”
โห้หลีเฉินมาเพื่อตามหาเย้นหว่าน แต่เวนเดลล์กลับไม่รู้ว่าเย้นหว่านอยู่ที่ไหน แต่กลับรู้ที่อยู่ของตระกูลเย้น นอกจากนี้ยังหมายความว่า โห้หลีเฉินอยากไปที่ตระกูลเย้นตระกูลไฮโซใหญ่เพื่อตามหาเย้นหว่าน!
หลายปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนมากที่อยากตามหาตระกูลเย้น แต่กลับไม่เคยมีคนนอกเข้าไปได้สักคน
โห้หลีเฉินพยักหน้า
“ในเมื่อนายหาฉันเจอแล้ว ก็ควรจะรู้ว่า ที่อยู่ของตระกูลเย้นจะไม่มีวันเปิดเผยต่อคนนอกอย่างเด็ดขาด แม้ว่านายจะรู้ตัวตนของฉัน และตามหาฉันเจอ แต่ฉันก็จะไม่บอกนาย”
เวนเดลล์จริงจังทั้งใบหน้า
หากคนอื่น รู้ตัวตนของเขา ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญกับความตาย แต่เขาคือโห้หลีเฉิน และเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะลงมือกับเขา
ทำได้เพียง พูดโน้มน้าวใจ
โห้หลีเฉินนั่งอยู่บนโซฟาอย่างสง่างาม แม้จะเป็นเพียงแขก แต่กลิ่นอายอันทรงพลังของเขา กลับทำให้เขาดูเหมือนเป็นเจ้าของที่ควบคุมสถานการณ์ได้
เขามองตรงไปที่เวนเดลล์ แววตาคมชัด และแหลมคม
“เย้นหว่านเป็นคู่หมั้นของผม ผมจะต้องหาเธอให้เจอ!”
ในท่าทางเด็ดขาดที่จำเป็นนั้น ยิ่งมีความมั่นใจที่ไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล
เวนเดลล์สะดุ้งเล็กน้อย และขมวดคิ้วด้วยความทุกข์
โห้หลีเฉินสามารถมาที่นี่ได้ จนกระทั่งยังสืบความลับของตระกูลเย้น จะต้องมีวิธีการที่ไม่เลวแน่ๆจนกระทั่งมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะตามหาตระกูลเย้นไม่เจอ ก็จะก่อให้ความวุ่นวายอีกมากมาย
เวนเดลล์ไม่อยากต่อสู้กับโห้หลีเฉินจริงๆ
เขาขมวดคิ้ว และถาม: “นายบอกฉันได้ไหมว่า ทำไมเย้นหว่านถึงถูกพากลับตระกูลเย้น? นำตัวกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่?บางที ฉันอาจจะช่วยส่งจดหมาย ไปถามเกี่ยวกับสถานการณ์ให้นายได้”
ถ้าเขาทำหน้าที่เป็นคนกลาง สามารถแลกเปลี่ยนข้อความของกันและกัน ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายง่ายขึ้น ไม่แน่อาจสามารถพาตัวเย้นหว่านออกมาก็เป็นได้
แบบนี้ ทุกฝ่ายก็มีความสุข
เวนเดลล์ยังคงคิดถึงความเป็นไปได้นี้ แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดต่อไปของโห้หลีเฉิน ก็ตกใจจนใบหน้าที่แก่ชราขาวซีดลง
“หลายวันก่อน เธอถูกเย้นโม่หลินพาตัวไป”
เวนเดลล์ไม่รู้จักชื่อของเย้นหว่าน แต่กลับรู้จักเย้นโม่หลินเป็นอย่างดี นั่นคือคุณชายใหญ่ของตระกูลเย้นของพวกเขาเชียวนะ
และหลายวันมานี้ เย้นโม่หลินได้พาหญิงสาวกลับมาคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็รู้ด้วยเช่นกัน
หญิงสาวคนนั้นก็คือคุณหนูร่ำรวยเพียงคนเดียวในตระกูลของพวกเขา
คนที่โห้หลีเฉินต้องตามหา กลับกลายเป็นคุณหนูของตระกูลเย้นของพวกเขา? งั้นเรื่องนี้…
“โห้หลีเฉิน นายรู้ตัวตนของเย้นหว่านใช่ไหม?”
โห้หลีเฉินพยักหน้า “ถ้าตามที่ผมเดาไว้ไม่ผิด เธอก็คือน้องสาวแท้ๆของเย้นโม่หลิน คุณหนูของพวกคุณ”
เป็นเธอจริงๆด้วย!
เวนเดลล์อ้าปากกว้างความตกใจ รู้สึกได้แค่ว่าในสมองของเขากำลังหมุนไปมาพึมพำ
มันช่างบังเอิญเหลือเกิน
เขาเพิ่งจะได้รับข่าวว่า คุณชายใหญ่รับตัวคุณหนูกลับมาแล้ว พวกเขาที่อยู่ข้างนอก ล้วนแต่ต้องกลับไปที่ตระกูลเย้น เพื่อเข้าร่วมในพิธีต้อนรับ เสร็จจากงานเลี้ยงวันเกิดของเขา ก็วางแผนว่าจะออกเดินทาง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า คนที่โห้หลีเฉินกำลังตามหา จะเป็นเย้นหว่านคนนี้
เขาลำบากใจไปทั้งใบหน้า “ ถ้าหากเป็นคน บางทีฉันอาจจะช่วยนายได้บ้าง แต่เป็นคุณหนูของตระกูลเย้น นั่นคือหัวใจของคุณท่าน คุณนาย และคุณชายใหญ่ของตระกูลเย้น ตามกลับมาได้อย่างไม่ง่ายดาย เป็นของล้ำค่ามากๆ นายอยากจะพบเธออีก เกรงว่าจะยากแล้ว ”
นับประสาอะไรกับ การที่จะนำตัวเย้นหว่านกลับอีก
เวนเดลล์รู้สึกเห็นใจโห้หลีเฉินเล็กน้อย ถ้าหากเขาตกหลุมรักคนอื่นก็ยังดี ทำไมเขาต้องมาตกหลุมรักเจ้าหญิงที่ตกอยู่ในความลำบากคนนี้ด้วยล่ะ
ในความเป็นจริงระหว่างพวกเขา ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่คุณแม่ของโห้หลีเฉินในตอนนั้น ได้ทิ้งตระกูลหยูไปอย่างเด็ดขาดขนาดนั้น …
“หลีเฉิน ฟังคำของลุงซะ เลิกซะเถอะ นายและเธอเป็นไปไม่ได้หรอก”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว กะพริบตาสีเข้ม
คนที่เขาต้องการ จึงยังไม่ยอมแพ้
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ผมจะตามหาเธอให้ได้ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับผม คุณลุงเวนเดลล์ผมหวังว่าคุณจะสามารถบอกที่อยู่ของตระกูลเย้นให้ผมได้”
แม้ว่าจะเป็นคำขอร้อง แต่น้ำเสียงนั้น กลับหนักแน่นมากเป็นอย่างมาก และไม่สามารถปฏิเสธได้
เวนเดลล์ขมวดคิ้ว แม้ว่าจะทนไม่ไหว แต่ก็ยังส่ายศีรษะ
“ฉันบอกไม่ได้จริงๆ”
สีหน้าของโห้หลีเฉินเริ่มมืดมนมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่านี่จะเป็นคำตอบคิดไว้แล้ว แต่ทว่ายังทำให้อารมณ์ของเขาลดลงได้
เขาไม่แน่ใจอย่างยิ่งว่าเขาสามารถรู้ที่อยู่ของตระกูลเย้นจากเวนเดลล์ได้ แต่เขากลับมีวิธีการและแผนการที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว
“ถ้าเป็นอย่างนั้น งั้นก็ไม่รบกวนแล้วครับ”
โห้หลีเฉินลุกขึ้นยืน และเดินออกไปข้างนอกโดยไม่ลังเล
เงาของร่างสูงนั้นดูห่างเหินและเด็ดขาด
คิ้วของเเวนเดลล์ขมวดแน่น สีหน้าของเขาเศร้าโศกไปทั้งใบหน้า
คนที่ดูเหมือนพ่อบ้านเดินเข้ามาจากข้างๆ มองไปทางโห้หลีเฉินด้วยความกังวลเล็กน้อย
“ คุณท่านครับ เขาก็ยอมแพ้แบบนี้แล้วเหรอ?”
สำหรับพวกเขาแล้วตระกูลเย้น เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และอ่อนไหวที่สุด เมื่อถูกคนสัมผัสถึง ก็จะให้คนเตรียมอาวุธไว้ครบมือ
เวนเดลล์ส่ายศีรษะ “ไม่ใช่อย่างแน่นอน และ เขาก็จะจับตามาที่พวกเราแน่ๆ”
พ่อบ้านตกใจ “แต่ว่าในอีกสองวันท่านต้องจะกลับตระกูลเย้นแล้วนะครับ ถ้าถูกสะกดรอยตาม ก็จะถูกเปิดโปงแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ เฮ้อ ปวดศีรษะ”
เวนเดลล์นวดขมับด้วย ทั้งใบหน้าเศร้าโศก และหดหู่
ทำไมต้องเจอเรื่องพวกนี้พอดีด้วย? เขาจะทำอย่างไรดี …