บทที่ 412 ของขวัญสำคัญหรือผมที่สำคัญกว่า
เย้นหว่านงงงวย และจึงถามออกไปว่า “คุณพ่อ พี่ชายกำลังยุ่งอะไรอยู่เหรอ?”
การคีบตะเกียบของเย้นเจิ้นจื๋อหยุดลงชั่วคราว และมีความไม่สบายใจกะพริบไปทั่วดวงตา
เขาเม้มริมฝีปากบาง ดูเหมือนลังเล และไม่เอ่ยพูด
กงจืออวีมองไปที่เขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มทันที: “ก็ยุ่งแค่เรื่องธุรกิจพวกนั้นเท่านั้นแหละ แม้ว่าครอบครัวของเราจะซ่อนตัวอยู่ แต่เราก็ยังต้องควบคุมสิ่งต่างๆมากมายอย่างลับๆ เรื่องใหญ่หน่อย ก็จำเป็นให้พี่ชายของเธอเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง”
ขณะที่พูด กงจืออวีคีบมะเขือยาวชิ้นหนึ่งวางไปไว้ในชามของเย้นหว่าน
“เอาล่ะ นั่นเป็นธุระของพวกผู้ชาย พวกเราเป็นผู้หญิง ไม่ต้องพลางเป็นกังวลสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกจ้าเชื่อฟังนะ ทานอาหารเช้าให้เต็มอิ่ม”
เมื่อกงจืออวีพูดเช่นนั้น เย้นหว่านก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรต่อ
เพียงแค่ในใจ กลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
เป็นเวลาสามวันติดต่อกัน เย้นหว่านรอโห้หลีเฉินแต่ก็มาไม่ถึง
เขายุ่งมากทุกๆวัน เป็นเวลานานกว่าจะตอบข้อความของเธอครั้งหนึ่ง ในแต่ละวันมีเนื้อหาสั้นมากๆสำหรับสิ่งที่กำลังยุ่งนั้น ก็ไม่เคยพูดอย่างเฉพาะเจาะจงเลย
เย้นหว่านถือโทรศัพท์มือถือทั้งวัน และไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ รู้สึกเจ็บปวดในใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เสี่ยวฮวนนำนมมาส่งที่ห้อง และเห็นว่าเย้นหว่านนั่งเม่อลอยอยู่ข้างหน้าต่าง จ้องมองไปนอกหน้าต่างมืดๆอย่างไม่กะพริบ
“คุณหนู”
เสี่ยวฮวนเรียกออกมาเบา ๆ และเดินไปข้างๆเย้นหว่าน “ สี่ทุ่มแล้วนะคะ คืนนี้ดูท่าคุณโห้คงจะไม่มาแล้ว คุณก็ไม่ต้องมานั่งตรงนี้แล้ว ลมแรง ไปพักผ่อนบนเตียงเถอะค่ะ”
เย้นหว่านนั่งตัวแข็ง และส่ายศีรษะอย่างอ่อนแรง
“ ฉันร้อนนิดหน่อย นั่งรับลม เธอไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
ตอนนี้เธอก็ไม่มีเรื่องอะไรทำ ก็ทำได้แค่นั่งข้างๆหน้าต่าง รอคอยร่างของโห้หลีเฉินที่อาจจะปรากฏขึ้นมาอย่างใจจดใจจ่อ
แม้ว่าตอนนี้จะถึงเวลานี้แล้ว เขาก็ไม่น่าจะมาแล้ว
เสี่ยวฮวนถอนหายใจ และมองไปที่เย้นหว่านด้วยสายตาที่ซับซ้อนเป็นเวลานาน
เธอลังเลไปสักพัก และกระซิบว่า: “คุณหนู คุณโห้เขายอมแพ้แล้วหรือเปล่า?”
เย้นหว่านอึ้งไปชั่วขณะ
เสี่ยวฮวนก็กล่าวอีกต่อว่า: “เท่าที่ฉันรู้ คุณโห้เป็นคนของตระกูลหยู และความสัมพันธ์ในครอบครัวของตระกูลหยูมีความซับซ้อนมากขึ้นไปอีก สลับซับซ้อน แม้ว่าจะมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว แต่ทุกๆคนก็มีความทะเยอทะยาน และการต่อสู้ภายในอย่างรุนแรง คุณโห้ก็กลับมาที่ตระกูลหยูภัยหลัง และถือว่าเขากระโดดร่มเพื่อมาแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดของหยูซือห้าน และเป็นไปได้ว่าสถานการณ์ของคุณโห้ในตระกูลหยู อาจกล่าวได้ว่าตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู และยากลำบากเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ยิ่งเป็นเพราะเรื่องของเขากับเธอ ไม่ได้รับการยอมรับจากตระกูลเย้น และตระกูลหยูจะกดดันเขามากยิ่งขึ้น และภาระที่คุณโห้มีนั้น ก็ยากที่จะนึกถึงได้ ”
เย้นหว่านประหลาดใจ เธอรู้ว่าสถานการณ์ของโห้หลีเฉินไม่ค่อยจะดีนัก แต่กลับคิดไม่ถึงว่า มันจะเป็นสถานการณ์ที่ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเช่นนี้
เธอไม่กล้าคิดเลยว่าเขาจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร
และตอนนี้เขากำลังเผชิญกับความยากลำบากมากมายเพียงใด
เสี่ยวฮวนมองไปใบหน้าของเย้นหว่านที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมีประโยชน์ และยังคงวิเคราะห์ต่อไปว่า
“ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทนรับไม่ได้และเลือกที่จะยอมแพ้ และยิ่งไปกว่านั้น … ”
หลังจากลังเลไปสักพัก เสี่ยวฮวนถึงพูดต่อว่า: “ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะรักของใหม่เบื่อของเก่า ชอบของสดของใหม่ คุณโห้ไล่ตามจีบคุณมาโดยตลอด และบางทีเขาอาจจะแค่หลงใหล เขาเป็นผู้ชายที่มีศักดิ์สูงใหญ่และไม่เคยพ่ายแพ้มาแต่ไหนแต่ไร และจีบคุณไม่ติด ก็จะไม่สบายใจเองตามธรรมชาติ แต่ถ้าจีบติด ความหลงใหลจำพวกนั้น ก็จะหายไปเอง ”
พอไม่มีความหลงใหล ในภายใต้แรงกดดันเช่นนี้ การยอมแพ้ก็จะเป็นเรื่องธรรมชาติที่สุดตามเหตุผล
เย้นหว่านตกใจเล็กน้อย และหัวใจก็ถูกกดต่ำลงอย่างอธิบายไม่ถูกราวกับว่าหายใจไม่ออก
เธอหน้าซีด และส่ายศีรษะอย่างดื้อดึง
“ ไม่ โห้หลีเฉินไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ ฉันก็หวังว่าคุณโห้จะไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ท่าทางของเขาในหลายวันมานี้ … คุณหนู คุณต้องพิจารณากับสิ่งที่ฉันพูดอย่างมีเหตุผลสักหน่อยนะคะ จะได้เตรียมพร้อมทางด้านจิตใจไว้ก่อน”
เสี่ยวฮวนถอนหายใจเบา ๆ และสิ่งที่พูดก็มาจากความกังวลในใจ
เย้นหว่านเม้มริมฝีปากแน่น และหัวใจของเธอก็ยิ่งปั่นป่วนขึ้นไปอีก
เธอไม่เชื่อว่าโห้หลีเฉินจะเป็นคนแบบนั้น เธอเชื่อว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ จะพิสูจน์อย่างทนไม่ได้แต่ตั้งแต่คืนนั้นหรอก การติดต่อของโห้หลีเฉินและเธอก็ลดลงไปสู่ความเฉยเมย และตอนกลางคืนก็ไม่มาแล้ว…
แม้จะมีความไว้วางใจมากแค่ไหน ในใจของเย้นหว่านก็รู้สึกไม่สบายใจและตื่นตระหนกเล็กน้อยและไม่เข้าใจว่าโห้หลีเฉินคิดอย่างไรกันแน่
อารมณ์ของเย้นหว่านก็ยิ่งหดหู่ลงไปอีก และนั่งข้างหน้าต่างจนถึงเวลาห้าทุ่ม
“ติ๊งต่อง”
เสียงข้อความใหม่ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ
เย้นหว่านหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และเห็นว่าเป็นข้อความของโห้หลีเฉิน: อย่านอนดึก ฝันดี
และจู่ๆเป็นข้อความแบบนี้อีกแล้ว บอกให้เธอนอนไปนอน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้อความที่เขาส่งตรงต่อเวลามากที่สุด ก็คืออรุณสวัสดิ์และราตรีสวัสดิ์ ส่วนช่วงเวลาอื่น ๆ ต้องใช้เวลานานและยาวนานมากๆถึงจะพูดกับเธอได้สักคำ
เดิมทีการพูดราตรีสวัสดิ์เป็นการเปิดความสุขให้เธอ แต่ตอนนี้ดูท่า กลับทำให้เย้นหว่านรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
พอบอกฝันดีแล้ว ก็ให้เธอไปนอน แล้วก็มีค่ำคืนที่เงียบงันอย่างยาวนาน โดยไม่มีการติดต่อ
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
เมื่อก่อน เย้นหว่านรู้สึกเกรงใจ และไม่อยากรบกวนโห้หลีเฉิน หลังจากที่เขากล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วนั้น ก็ตอบกลับไปว่าราตรีสวัสดิ์และบอกเขาว่าจะนอนนะอย่างเชื่อฟัง
คืนนี้ หัวใจของเธอตุ้มๆต่อมๆ และหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
นิ้วมือของเธอกดปุ่มโทรศัพท์มือถือ และส่งข้อความไปว่า: นอนไม่หลับ
ทันทีที่ส่งข้อความไป ก็มีเสียง “กริ้ง กริ้ง กริ้ง” ดังขึ้นมา เป็นโห้หลีเฉินที่โทรศัพท์มาหาเธอ
เย้นหว่านมองไปสายเรียกเข้า ก็มีความสุขในใจ ดวงตาก็สว่างขึ้นเล็กน้อย
เขายังรู้จักโทรหาเธอเป็นด้วย นี่เป็นสายเรียกเข้าสายเดียวในสามวันที่ผ่านมา
เย้นหว่านหยิบมันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงของเธอระงับความสุข และพูดอย่างใจเย็นว่า: “คุณโทรหาฉันทำไมเหรอ?”
“ ทำไมนอนไม่หลับ?”
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินทุ้มต่ำ และฟังดูแหบแห้งเล็กน้อย
น้ำเสียงทุ้มต่ำเหมือนแม่เหล็กของเขาอย่างคุ้นเคย เย้นหว่านก็ไม่ได้สังเกตอะไร และบ่นเล็กน้อย: “ก็แค่ไม่ง่วงเฉยๆ ทำไมตอนนี้คุณว่างโทรหาฉันแล้วล่ะ ไม่ยุ่งแล้วเหรอ?”
“ยุ่งสิ”
คำพูดของหนักแน่น ทำให้อารมณ์ที่กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจของเย้นหว่านก็ถูกสาดด้วยน้ำเย็นในครั้งเดียว
อารมณ์ของเธอกังวลและหดหู่ และได้ยินโห้หลีเฉินพูดต่อไปอีกว่า: “อีกสักพักก็ยุ่งต่อ ตอนนี้ผมจะคุยเป็นเพื่อนคุณ โอเคไหม?”
เย้นหว่านกล่าวอย่างงุนงง: “คุณไม่จำเป็นต้องหาเวลาว่างมาอยู่กับฉันอย่างจงใจหรอก”
“ คุณสำคัญกว่า”
โห้หลีเฉินกล่าวด้วยเสียงต่ำ พร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดูจาง ๆ ในน้ำเสียง
หัวใจของเย้นหว่านมืดมน เพราะว่าคำพูดของเขา และละลายหายไปในขณะนั้นไม่ใช่น้อยทันที
ความน้อยใจนั้น ก็มุดออกมาอีกครั้ง
ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำของเธอ และมีความออดอ้อนโดยที่เธอไม่ได้สังเกตว่า “คุณก็พูดเป็น ของขวัญของฉันล่ะ ผ่านมาสามวันแล้ว ก็ไม่เห็นว่าคุณจะเอามาให้ฉันเลย”
น้ำเสียงบ่นนั้น เต็มไปด้วยท่าทางของลูกสาวคนเล็ก
และยิ่งบ่นไปอีกว่าเขาไม่มาหาเธอเลยในสามวันที่ผ่านมา
โห้หลีเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง และหัวเราะติดตลก: “จริงๆแล้วคุณคิดแค่ของขวัญเหรอ? ไม่คิดถึงผมบ้างเลยเหรอ ในใจของคุณ ผมยังไม่สำคัญเท่าของขวัญเลยด้วยซ้ำ”
“ ไม่ใช่ซะหน่อย”
เย้นหว่านโต้กลับอย่างรวดเร็ว ของขวัญเธอก็แค่หลุดพูดไปอย่างไม่ได้คิด ที่สำคัญที่สุดก็คือเธออยากเจอเขา
แต่หัวใจอัดแน่น พูดแบบนี้ เธอก็พูดไม่ออก
“แล้วคืออะไร?”
โห้หลีเฉินกลับไม่ได้ตั้งใจที่จะปล่อยเย้นหว่านไว้แบบนี้ และยังคงถามอีกต่อไปว่า
เย้นหว่านอยากที่จะกัดลิ้นของตัวเอง ถ้ารู้ว่าโห้หลีเฉินเป็นคนปล่อยไม่กัดขนาดนี้ตั้งแต่แรก เธอก็ไม่พูดถึงเรื่องของขวัญแล้ว
ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ เธอควรจะพูดอะไรดี?
บอกว่าคิดถึงเขางั้นเหรอ?
เย้นหว่านรู้สึกอึดอัดใจเป็นที่สุด แก้มก็แดงอย่างหนัก
โห้หลีเฉินหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า: “เป็นอะไรไป เป็นของขวัญที่สำคัญกว่าจริงๆด้วยใช่ไหม?”
น้ำเสียงโศกเศร้า ราวกับว่าเธอทำร้ายเขานั้น
พอเย้นหว่านได้ยินก็ใจอ่อน และความโกรธที่สงวนไว้ทั้งหมดก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และพูดตามคำพูดของเขา เธอกระซิบอย่างเขินอายว่า:
“ฉันเปล่าซะหน่อย จริงๆแล้วฉันอยากเจอ … ” คุณ …
“ เย้นหว่าน”
ทันใดนั้นโห้หลีเฉินก็ขัดจังหวะการพูดของเย้นหว่าน และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า: “ผมยุ่งต่อแล้วนะ คุณไปนอนก่อน”
เย้นหว่านเย้นหว่านตะลึงไปชั่วขณะ และคำพูดที่ยังไม่ทันได้พูดออกมานั้น ดูขมขื่นเล็กน้อย