บทที่448 แย่ง
การห่างเหินที่ชัดเจนของเย้นโม่หลินทำให้กู้จื่อเฟยอึ้งไป เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เธอชอบเย้นโม่หลิน แต่ว่าเขาทำกับเธอนั้น เหมือนกับว่าจะไม่ได้มีความหมายอะไรแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย
เย้นโม่หลินเห็นกู้จื่อเฟยมีท่าทางเหมือนโดนน้ำค้างแข็งตีเข้ามายังไงยังงั้น มโนธรรมในจิตใจของเขาก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย เขารู้สึกขอโทษ
เขาเม้มปาก และพูดอย่างไม่เป็นอิสระ “เมื่อกี้ ขอบคุณนะ”
ดวงตาของกู้จื่อเฟยเป็นประกายขึ้นมาทันที มองไปที่เย้นโม่หลินอย่างเซอร์ไพรส์
เขากำลังขอบคุณเธออยู่ แสดงว่าเขาก็ไม่ได้ไม่มีใจไปทั้งหมดใช่หรือไม่?
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เท่านี้ก็ตาม ใจเธอก็มีความหวังอีกครั้ง เธอยิ้มจนตาหยีและพูดว่า
“ไม่เป็นไรๆ ฉันสมควรทำอยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าพี่รู้สึกขอบคุณฉันจริงๆ ถ้ายังงั้นก็ซื้อสร้อยให้ฉันจริงๆ สิ”
เย้นโม่หลิน:“……”
เขาไม่เคยเห็นใครคนไหนที่จู่โจมขนาดนี้มาก่อน
เขาพยักหน้าอย่างเป็นสุภาพบุรุษ “ถ้า เธอเลือกเลย เดี๋ยวฉันจ่ายเงิน”
กู้จื่อเฟยรู้สึกดีใจ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนออกตัวอยากได้มันเอง แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นของขวัญชิ้นแรกที่เย้นโม่หลินมอบให้เธอ แค่นี้ก็ทำให้เธอดีใจมากแล้ว
เธอเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์อย่างตื่นเต้น แล้วก็พูดกับพนักงานว่า
“สร้อยเส้นที่สวยที่สุดของที่นี่คือเส้นไหนคะ? เอาออกมาให้ฉันเลือกหน่อย”
พนักงานรีบหยิบสร้อยคอหลายเส้นที่ขายดีที่สุด แล้วเอามาวางบนเคาน์เตอร์
“คุณผู้หญิง นี่เป็นตัวที่มีชื่อเสียงของร้านเรา เป็นสไตล์ที่ดูดีที่สุดแล้วก็ขายดีที่สุด”
กู้จื่อเฟยมอง แล้วก็หันไปพูดกับเย้นโม่หลินว่า
“พี่เย้น มาดูหน่อยสิ อันไหนสวยที่สุด? ”
เย้นโม่หลินสีหน้าเรียบเฉย “เธอชอบอันไหนก็เลือกอันนั่นแหละ”
“ในเมื่อพี่จะให้ฉัน พี่ก็เป็นคนเลือกสิ”
กู้จื่อเฟยมองเย้นโม่หลินอย่างดื้อรั้น แล้วก็พูดอย่างมีความหมายว่า “แบบนี้ต่างหากถึงจะแสดงถึงความจริงใจของพี่”
ถ้าเกิดว่าเขาไม่ซื้อ หมายความว่าเขาไม่ได้จริงใจที่อยากจะขอบคุณจริงๆ งั้นเหรอ?
เย้นโม่หลินพูดอะไรไม่ออก เขาถอนหายใจอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงนี่ไม่ค่อยดีจริงๆ เลย ไม่มีเหตุผลแล้วก็เซ้าซี้เกินไป
เขาทำได้แค่เดินเข้าไปตรงหน้าเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าที่หนักแน่น
ก้มหน้ามองดูสร้อยคอ
มันก็เป็นแค่ของชิ้นเล็กๆ ที่ห้อยอยู่บนคอ ดูแล้วก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ จะมีอะไรที่มันดูดีกว่ากันด้วยเหรอ?
เย้นโม่หลินขมวดคิ้ว รู้สึกว่าการเลือกครั้งนี้ค่อนข้างยากลำบาก
เย้นหว่านมองอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ขยับเข้าไปใกล้โห้หลีเฉินแล้วกระซิบว่า “จื่อเฟยเหมือนกับว่าจะไม่ถูกกับพี่ชายฉันจริงๆ ”
ตั้งแต่กู้จื่อเฟยมา เย้นหว่านก็เส้นสีหน้าที่ไม่เป็นตัวของตัวเองและยุ่งเหยิงของเย้นโม่หลินอยู่หลายครั้ง
ดวงตาของโห้หลีเฉินส่องแสงที่มืดมน ดึงเย้นหว่านให้มองไปที่เคาน์เตอร์ตรงหน้าของเธอ
“พวกเขาก็ดูของพวกเขาไป เธอก็ดูของเธอไป ชอบไหม? ”
เขายื่นมือออกมา แล้วหยิบสร้อยขึ้นมาเส้นหนึ่ง
สร้อยคอเส้นนั้นอยู่ระหว่างนิ้วมือที่มีข้อต่อชัดเจนของโห้หลีเฉิน ยิ่งเพิ่มสไตล์ที่โดดเด่น ทำให้ดูดีขึ้นไปอีก
เย้นหว่านอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มขึ้นมาแล้วพยักหน้า “อืม ชอบ”
“พนักงานครับ ห่ออันนี้เลยครับ”
โห้หลีเฉินส่งสร้อยคอเส้นนั้นให้พนักงานอย่างสบายๆ หมายความว่าเขาต้องการจะซื้อ
พนักงานรีบรับไปทันที จะเดินไปคิดเงินที่เคาน์เตอร์ ตอนนี้เอง จู่ๆ ด้านข้างก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามา แล้วก็แย่งสร้อยกล่องนั้นไป
พนักงานตกใจมาก เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นผู้ชายที่หล่อเหลาเลอเลิศอย่างไม่คาดคิด
เขามองดูกล่องที่อยู่ในมือ แล้วก็หันไปหาเย้นหว่านด้วยสายตาที่อ่อนโยน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
“เสี่ยวหว่าน เธอชอบสร้อยเส้นนี้เหรอ? ”
เย้นหว่านมองผู้ชายคนนั้นอย่างตะลึง ไม่คิดว่าจู่ๆ หยูซือห้านจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่
แล้วอีกอย่าง เขายังแย่งสร้อยเธอไปอีก นี่มันหมายความว่ายังไงกัน
เย้นหว่านขมวดคิ้ว “คุณชายหยู คุณเอาสร้อยฉันไปทำไม? ”
หยูซือห้านยิ้ม น้ำเสียงอ่อนโยนและรักและทะนุถนอมเป็นพิเศษ
“สร้อยเส้นนี้ฉันก็รู้สึกว่ามันสวย ในเมื่อเป็นเส้นที่เธอชอบ ถ้ายังงั้นฉันซื้อให้เธอแล้วกัน”
ระหว่างที่พูด เขาก็หยิบเช็คออกมา แล้วก็ส่งให้พนักงาน “เอาไปคิดเงินเถอะครับ ไม่ต้องทอน”
พนักงานรับเช็คไป แล้วใบหน้าที่ประหลาดใจก็เปลี่ยนไป
เช็คใบนี้ มันสามารถซื้อสร้อยได้สิบเส้นเลย แถมยังบอกว่าไม่ต้องทอนอีก อาจหาญเกินไปแล้วจริงๆ!
พนักงานดีใจจนอยู่ไม่เป็นสุข ถามแบบลองเชิงว่า “คุณผู้ชายคะ ไม่ต้องทอนจริงๆ เหรอคะ? ทอนเงินก็ไม่ได้ลำบากอะไรนะคะ”
“ไม่ต้องหรอก ของที่มอบให้เสี่ยวหว่าน ก็ควรจะเป็นชิ้นที่มูลค่าสูงที่สุดอยู่แล้ว”
หยูซือห้านถือสร้อยเส้นนั้น แล้วก็มองเย้นหว่านด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง เหมือนกับว่า เธอคือคนที่เขาวางไว้ในจุดที่สูงที่สุดของหัวใจ
พนักงานดีใจอย่างมาก รีบพูดว่า “ได้ค่ะ งั้นฉันจะไปออกใบเสร็จให้คุณเดี๋ยวนี้” ได้เงินเกินมาเยอะขนาดนี้ เจ้านายทำเงินได้มากมาย ไม่ต้องเอาของไปสแกนก็ยังได้เลย
เย้นหว่านขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อน! ”
เธอก้าวขึ้นไปด้านหน้าสองก้าว แล้วก็ดึงเช็คจากมือของพนักงานกลับมาแล้วส่งให้หยูซือห้าน
“คุณชายหยูคะ สร้อยเส้นนี้กู้ซึงชอบมันก่อน เขาจะซื้อให้ฉัน ต่อให้เงินคุณเยอะ ก็น่าจะให้คนที่มาก่อนนะ เช็คนี้ คุณเอากลับไปเถอะ”
แววตาของหยูซือห้านมืดลง แต่ว่าใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน
แล้วเขาก็พูดว่า “เสี่ยวหว่าน ไม่ว่าใครจะเป็นคนให้เธอ สุดท้ายมันก็เป็นของเธออยู่ดี ในเมื่อฉันจะเป็นคนจ่าย คุณชายกู้เองก็ไม่ได้มีความคิดเห็นอะไร เธอก็ไม่ต้องมาสนใจรายละเอียดอะไรเล็กๆ พวกนี้หรอก”
ระหว่างที่พูด หยูซือห้านก็มองไปที่กู้ซึงอย่างแดกดันเล็กน้อย “ว่างั้นไหมครับ คุณชายกู้”
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำถาม แต่ว่าก็มีความหมายว่าใช่ แดกดันว่ากับเรื่องนี้แล้ว กู้ซึงไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
ถึงแม้ว่าของนี้จะมอบให้เย้นหว่าน แต่ว่าใครจะเป็นคนจ่ายนั้น ก็เป็นการแข่งขันระหว่างชายทั้งสองคน
ใครถอยก่อน คนนั้นแพ้
เย้นโม่หลินกับกู้จื่อเฟยซื้อสร้อยเสร้จแล้ว แล้วก็หันกลับไปเห็นทั้งสามคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่
กู้จื่อเฟยไม่มีความสุขแล้ว “หยูซือห้านคนนั้นเห็นได้ชัดว่าจงใจมาหาเรื่องทะเลาะ เขาแย่งของคนอื่น แถมยังมีหน้ามาพูดกับพี่ฉันอีก หน้าไม่อายจริงๆ เลย”
พอพูดจบนั้น กู้จื่อเฟยก็อยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อด่าคน แต่ว่ากลับโดนเย้นโม่หลินห้ามไว้
เย้นโม่หลินมองไปที่กู้ซึงกับหยูซือห้านอย่างพินิจพิจารณา แล้วก็พูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ
“นั่นคือเรื่องของผู้ชาย ให้พวกเขาแก้ไขกันเอง”
เขาอยากจะเห็นว่า กู้ซึงจะทำยังไง
โห้หลีเฉินเม้มปาก แล้วก็คลี่ยิ้มที่เหยียดหยาม
“คุณชายหยูคิดว่า แย่งไปจ่ายเงินแล้วของชิ้นนี้จะเป็นของคุณเหรอ? ยังไงคนที่ดูมันก็ไม่ใช่คน คนที่เลือกมันก็ไม่ใช่คุณ”
เขาหยุดชั่วคราว แล้วก็เลิกคิ้วอย่างเยาะเย้ย “หรือว่าคุณชายหยูไม่มีระดับในการชื่นชมชื่นชอบ ก็เลยทำได้แค่หยิบของที่คนอื่นเลือกเรียบร้อยแล้วเอาให้คนอื่น? ”
เพียงสามประโยค เป็นการดูถูกดูแคลนหยูซือห้านทั้งภายในและภายนอก
สีหน้าของหยูซือห้านดูแย่ลงไปมาก สายตาที่มองมาที่กู้ซึงนั้นก็เยือกเย็น
เย้นหว่านไม่ไว้หน้าเขาก็ช่างเถอะ แต่กู้ซึงเป็นแค่คุณชายตัวเล็กๆ จากเมืองหนาน ก็ยังกล้าขัดเขายังงั้นเหรอ?!
หยูซือห้านเดินเข้าไปใกล้โห้หลีเฉินด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น แล้วก็ขู่เขาด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ
“คุณชายกู้ บางสิ่งบางอย่าง มันควรจะเป็นของใครมันก็ควรจะเป็นของคนนั้น ไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีศักยภาพแถมยังอยากจะโลภมาก แย่งชิง ผลของมัน คุณเคยคิดไหมว่าคุณจะรับไหวรึเปล่า? ”
เหมือนจะพูดถึงเรื่องสร้อยคอ แต่ว่าความจริงแ้ลว เขากำลังพูดถึงภูมิหลังของครอบครัวของกู้ซึง กับตระกูลหยูของเขา ว่ามันต่างกันราวฟ้ากับเหว
มากกว่านั้นคือการขู่ ว่าถ้าเกิดกู้ซึงยังไม่รู้จักปรับตัวแล้วอยู่ให้เป็น เขาจะใช้อำนาจของตระกูลหยูเพื่อจัดการกับตระกูลกู้จากเมืองหนาน