บทที่478 ชายหนุ่มผู้บอบบาง
สมองของเย้นหว่านว่างเปล่าทันที ไปๆมาๆก็มีเพียงสองคำ จบแล้ว!
เธอแข็งทื่อไปหมดทั้งตัว พลาดโอกาสที่จะได้เห็นต้นไม้ที่งอกงาม เห็นเงาของเย้นโม่หลินรางๆ
เขามาแล้ว
เย้นหว่านผิดหวังจนอยากปกปิดหน้า ปิดตา และซ่อนมันไว้
ในขณะนั้น อยู่ๆก็มีแรงผลักที่เอวของเธออย่างกะทันหัน ร่างกายของเธอกระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ทันใดนั้นก็มีคนกระโจนเข้ามา เย้นโม่หลินเมื่อรู้ตัวก็ก้าวขาถอยหลังไปสองก้าวหลังจากเห็นได้ชัดแล้วว่าเป็นเย้นหว่าน จึงรีบเอื้อมมือออกไป จับไหล่ของเธอ ช่วยให้เธอยืนได้อย่างมั่นคง
“เสี่ยวหว่าน เธอทำอะ…..”ไร….
คำพูดที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเย้นโม่หลินยังพูดออกมาไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็ตัวแข็งไป ต่างสำลักเข้าไปในลำคอหมด
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว เมื่อปล่อยมือจากเย้นหว่าน เขาก็หันหลังกลับไปทันที
พูดด้วยเสียงแข็งกระด้าง “ใส่เสื้อผ้าให้ดี!”
เย้นหว่านอึ้งไปชั่วครู่ ก้มหน้าต่ำอย่างรู้ตัว มองไปก็อับอายจนต้องรีบเอาสองมือมาปิดหน้าอกไว้ เกือบจะร้องออกมาแล้ว
น่าขายหน้าจริงๆ
คอเสื้อข้างหนึ่งของเธอถูกมัดไว้ เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าชิ้นเล็กๆนั้น นี่ยังพอทนได้ ที่ทนไม่ได้คือ บนไหปลาร้าของเธอมีรอยจูบสีแดงสดที่สะดุดตา
และเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงของเธอ ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าก่อนหน้านี้เธอทำอะไรอยู่ด้านหลัง
ในสถานการณ์ที่น่าอับอายแบบนี้ ถูกพี่ชายเข้ามาเห็นพอดี เย้นหว่านอยากจะหาอุโมงค์ใต้ดินสักแห่งมุดเข้าไป และไม่ต้องออกมาเจอใครอีก
เธออับอายอย่างมาก และยืนอยู่ข้างกู้ซึง แต่ใบหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยยิ้มขี้เล่น
มองไปยังบางคนที่ยืนอยู่ตรงมุมอย่างมีความหมายลึกซึ้ง กู้ซึงเบะปากอย่างไม่ค่อยพอใจ ในความเป็นจริงคือมันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ บางคนเอาเนื้อไปกินแล้ว แต่เขาแม้แต่น้ำซุปก็ยังไม่ได้กิน แต่กลับต้องเช็ดปากให้เขา
ชีวิตช่างอาภัพเสียจริง
“โธ่โธ่”
กู้ซึงแสร้งทำเป็นอึดอัดและอุทานสองครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ “คุณชายเย้น ผมบอกไปแล้วว่าคุณอย่าเข้ามา..”
“นายยังพูดได้สนุกนะ!”
เย้นโม่หลินหงุดหงิด หันกลับไปจับคอเสื้อของกู้ซึง ยกเขาขึ้นมา แล้วทุบเข้ากับกำแพงทันที
กำปั้นของเขายกสูงขึ้นมา ท่าทางโหดร้ายต้องการที่จะทุบไปที่ใบหน้าของกู้ซึง
ไอ้ทุเรศสมควรตาย คิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องแบบนี้กับน้องสาวเขาในสวนดอกไม้นี้
กู้ซึงเบิกตาโพลงทันที เขายกมือขึ้นเพื่อป้องกันโดยไม่รู้ตัว แต่ความเร็วของเขานั้นกลับไม่ได้เร็วไปกว่าเย้นโม่หลินอยู่แล้ว หมัดหนักๆซัดเข้าไปที่ใบหน้าของเขา
เจ็บ!
ราวกับว่ากระดูกของใบหน้าแตกละเอียด
กู้ซึงรู้สึกจิตใจหดหายอยากตาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กินเต้าหู้ แล้วทำไมคนที่ถูกทุบตีถึงเป็นเขาได้ !
ยังมีเรื่องที่น่าอึดอัดกว่านี้อีกไหม?
เย้นหว่านมองดูกู้ซึงที่กำลังถูกทุบตี ตะลึงไปชั่วขณะ ไม่นานก็เข้าใจขึ้นมา
แท้จริงแล้วโห้หลีเฉินตั้งใจจูบเธอ ทำรอยจูบไว้กับเธอ ก็เพื่อต้องการให้เย้นโม่หลินเข้าใจผิดว่าเธอกับกู้ซึงทำเรื่องแบบนั้นกันในนี้ ดังนั้นจึงหลบอายไม่กล้าออกมาเจอคน
ยิ่งเย้นโม่หลินเป็นผู้ชาย กลัวจะเสียหน้า จึงไม่สามารถมองดูจากข้างในได้อีกต่อไป
ในสถานการณ์คับขันแบบนั้น โห้หลีเฉินกลับมีความคิดราวกับไฟฟ้า คิดวิธีแบบนี้ออกมาได้
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด ก็…
น่าละอายเกินไปแล้ว
ใบหน้าเล็กของเย้นหว่านแดง จ้องไปตรงเงาที่มุมเล็กๆที่เห็นเพียงชายเสื้อ
“เย้นหว่าน รีบโน้มน้าวพี่ชายของเธอเร็วเข้าสิ ฉันใกล้จะถูกเขาต่อยจน….” ตายแล้ว
ยังไม่ทันพูดจบ กู้ซึงก็ต้องกลืนมันลงไปอีกครั้ง
คำพูดแบบนี้ ใช้บุคลิกที่เย็นชาและดูสูงส่งตอนที่โห้หลีเฉินปลอมเป็นกู้ซึง ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
เขาโกรธจัด ไม่เพียงแต่โดนทุบตีแทน แต่ยังช่วยรักษาบุคลิกของโห้หลีเฉินไว้ด้วย
กู้ซึงเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังที่ทำข้อตกลงนี้
เย้นหว่านหันไปก็เห็นเย้นโม่หลินใบหน้าดำคล้ำ และกำหมัดจะต่อยไปที่หน้าของกู้ซึงอีกครั้ง
อีกทั้งสองเท้าของกู้ซึงลอยห่างจากพื้น ถูกยึดไว้กับกำแพง เหมือนกับไก่น้อยที่ถูกรังแกไม่มีผิด ไม่มีแม้ความสามารถที่จะต้านทานได้เลย
ดูแล้ว คนที่ถูกรังแกก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน
เย้นหว่านรีบเดินขึ้นไปข้างหน้า เอื้อมมือไปคว้าแขนของเย้นโม่หลินที่กำลังจะต่อยคน
“พี่คะ หยุดเถอะ เขาโดยพี่ต่อยจนเกือบจะเสียโฉมหมดแล้ว”
“ผู้ชายร่างโตคนหนึ่ง จะอ่อนแอขนาดนั้นเลย…”
เย้นโม่หลินหันไปมองด้วยอารมณ์ ก็เห็นครึ่งหน้าของกู้ซึงนั้น มีเส้นเลือดฝอยที่เห็นได้ชัดเจน และมีรอยบวมแดงเล็กน้อย
ถ้าต่อยอีกหมัด คงได้เสียโฉมจริงๆแน่
เขาเดิมทีไม่เคยคิดว่าใบหน้าของผู้ชายนั้นมีความสำคัญแค่ไหน มีบาดแผลกลับเป็นความแข็งแกร่งของบุรุษ แต่ยังไงๆก็เป็นผู้ชายที่น้องสาวชอบ หากเขาซัดหน้าของกู้ซึงจนใช้การไม่ได้แล้ว ก็กลัวว่าจะถูกเย้นหว่านตำหนิเอา
เย้นโม่หลินกำหมัดแน่น เก็บมืออย่างไม่ค่อยพอใจ
อีกมือหนึ่งก็ปล่อยคอเสื้อของเขา แล้วถอยหลังหนึ่งก้าว แต่น้ำเสียงกลับไม่ค่อยพอใจ
“นายยิงปืนแข่งรถไม่ได้เก่งหรอกเหรอ? แต่ร่างกายนี้กลับแย่มาก”
กู้ซึง “…..”
เขาปิดหน้าไว้ และคร่ำครวญอยู่ในใจ
มันเรื่องอะไรของเขา เขาไม่เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอ ยงปืนก็ไม่ได้ ยิ่งแข่งรถแล้วขนาดดูยังไม่กล้าพอใจหรือยัง?
บนใบหน้า กลับยังรักษารอยยิ้มอยู่ครึ่งใบหน้าด้วยความยากลำบาก และบอก
“หลังจากนี้ผมจะออกกำลังกายเพิ่ม”
นี้ทำให้เย้นโม่หลินพอใจอยู่เล็กน้อย มองไปยังเย้นหว่าน จากนั้นก็พูดกับกู้ซึงด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เข้ามาทายาในบ้าน”
ทายาให้หลังจากเพิ่งจะต่อยไป? นี่ไม่ใช่ตบหัวแล้วลูบหลังหรอกเหรอ?
กู้ซึงรู้สึกเหนื่อยใจมาก
แต่บนใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มไว้ “ได้ครับ”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ขอเพียงเย้นโม่หลินออกไปจากตรงนี้ก็พอ
พูดไป กู้ซึงก็เดิอนไปยังข้างหน้าอย่างสบายอกสบายใจ
แต่เย้นหว่านกลับไม่อยากไป เธอยังมีคำพูดอีกมากที่ต้องการพูดกับโห้หลีเฉิน
เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่เคลื่อนไหว รอให้พวกเขาจากไป
แต่สวรรค์ไม่ให้ตามปรารถนา เย้นโม่หลินจะลืมเธออีกได้อย่างไร?
เดินไปสองสามก้าว เย้นโม่หลินก็หันหลังกลับมามองเย้นหว่านที่ยังมึนงงอยู่ที่เดิม แล้วพูด “เสี่ยวหว่าน ทำไมน้องถึงไม่เดินไปล่ะ”
เย้นหว่านรู้สึกใจอยู่ไม่สุข ดวงตากลอกไปมา และชี้ไปที่เท้าของตนเอง
“เมื่อสักครู่ฉันเท้าเคล็ดนิดหน่อย พวกนายไปกันก่อนเลย ฉันเดินตามไปช้า
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วทันที และเดินมาด้วยความตึงเครียด
“เท้าเคล็ดเหรอ? รุนแรงไหม?”
เย้นหว่านกลัวว่าเย้นโม่หลินจะเดินเข้ามาเจอเข้ากับโห้หลีเฉินที่หลบอยู่ จึงรีบก้าวขาหนึ่งข้างไปข้างหน้าสองก้าว ขวางหน้าเย้นโม่หลินไว้
เธอบอก “ไม่ได้เป็นหนักอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เดินช้าหน่อย ไม่เป็นไรเลย”
“เคล็ดก็ไม่ต้องเดินต่อแล้ว”
เย้นโม่หลินพูดอย่างเข้มงวด
พูดเสร็จ ก็เดินตรงไปยังด้านหน้าของเย้นหว่าน ยื่นมือประคองเธอ
แต่ยังไม่ทันสัมผัสเธอ ก็มองเห็นสตรอเบอร์รี่ลูกเล็กที่คอของเธออีกครั้ง ทำให้ท่าทางของเขานิ่งไปอีกครั้ง
ถึงจะเป็นน้องสาวแท้ ๆ รักที่เข้าไปถึงกระดูก แต่ยังไงก็โตเป็นสาวแล้ว อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของชายหนุ่ม
เขาอุ้มเธออีกคงจะดูไม่ดี
ดังนั้น เย้นโม่หลินจึงถอยไปข้างๆหนึ่งก้าวอดกลั้นความเจ็บปวดตัดเยื่อใย พูดกับกู้ซึงด้วยเสียงแข็ง “นายพยุงเธอเข้าไป”
กู้ซึงที่กำลังปิดหน้าอยู่ “…..”
ไม่ใช่สิ ใบหน้าของเขายังเจ็บอยู่เลย เขาจะกลายเป็นกรรมกรจับกังในพริบตาหรือไม่?
นอกจากนี้ โห้หลีเฉินยังอยู่ตรงนั้น เขาไม่มีความกล้าที่จะอุ้มเย้นหว่าน มองกลับไปไม่ใช่ว่าถูกโห้หลีเฉินส่งไปเจอยมบาลนะ